ตอนที่ 102 ปล่อยน้ำจับปลา
หลิวจี้รู้ว่าฉินเหยาจะนำเงินกลับมาวันนี้ ตั้งแต่เช้าตรู่เขาก็ไปดักรอที่ปากหมู่บ้าน หาใครสักคนที่กำลังจะเข้าไปในเมืองเพื่อฝากซื้อเนื้อกลับมา
มีทั้งซี่โครงหมูและหมูสามชั้นที่มีมันแทรกอย่างพอดี เย็นนี้เขาลงมือทำอาหารหลายอย่างส่งกลิ่นหอมฉุยจนพวกต้าหลางถึงกับเดินวนเวียนอยู่หน้าประตูครัว ไม่มีกะจิตกะใจจะฝึกเขียนหนังสือ
ทันทีที่ฉินเหยาเข้าบ้าน นางก็ได้กลิ่นเนื้อหอมฉุยลอยมาทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาทันที
หลิวจี้หันมาจากเตาในครัว “เมียจ๋า เจ้ากลับมาแล้ว!”
“กับข้าวจานสุดท้ายใกล้จะเสร็จแล้ว เจ้าไปล้างหน้าล้างตาเถอะ เสร็จแล้วค่อยกินข้าวพร้อมกัน”
ฉินเหยาอดไม่ได้ที่จะโผล่หน้าไปมองโถงบ้าน “วันนี้จัดใหญ่เลยนะ กับข้าวเยอะแยะเชียว”
บนโต๊ะมีซี่โครงหมูตุ๋นพุทรากับเผือกหนึ่งหม้อ หมูสามชั้นผัดพริกเขียวหนึ่งจาน หัวไชเท้าดองกรอบๆ หนึ่งถ้วยและน้ำแกงเต้าหู้กับผักกาดขาวที่กำลังทำอยู่ในครัว
แม้แต่วันปีใหม่ยังไม่ได้กินดีขนาดนี้เลย ฉินเหยาจุปาก “ดูท่าโรงโม่น้ำจะทำเงินได้ไม่น้อยเลยนะ”
เอ้อร์หลางรู้เรื่องนี้ดีจึงรีบยกมือรายงาน “ท่านแม่ ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา เราได้วันละสิบเหวินเลยนะ บางวันยังได้ไข่ไก่ ผักกาด หรือแป้งที่โม่เสร็จแล้วกลับมาด้วย”
ต้าหลางเสริม “ตอนนี้คนในหมู่บ้านไม่อยากใช้โรงโม่เก่าของหมู่บ้านแล้ว พากันมาที่โรงโม่น้ำของเราหมดเลย บอกว่าใช้งานดีมาก”
คำนวณดูแล้ว เดือนหนึ่งมีรายได้ถึงสามร้อยเหวิน นับว่ามากพอจะให้หลิวจี้ซื้อเนื้อมาทำกับข้าวได้บ่อยขึ้นเพราะเงินส่วนนี้ฉินเหยาไม่ได้เก็บไว้เอง แต่มอบให้เขาใช้เป็นค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมด
เมื่ออาหารในบ้านเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ นางก็ไม่คิดจะเอาเงินที่เหลือมาเก็บไว้ที่ตนอีก
หลิวจี้ตักน้ำแกงเต้าหู้ใส่ถ้วยเรียบร้อย เห็นฉินเหยาไม่เอ่ยถึงการเก็บเงินเข้ากระเป๋าตนเอง รอยยิ้มของเขาจึงดูจริงใจขึ้นอีกสองส่วน “เมียจ๋า กินข้าวเถอะ”
ฉินเหยาเร่งให้เด็กๆ ล้างมือ ก่อนจะพากันไปหยิบถ้วยชามและตะเกียบ แต่ละคนตักข้าวสวยเต็มถ้วย แล้วนั่งล้อมวงรอบโต๊ะอาหาร รอให้นางเริ่มลงมือก่อนจึงเริ่มกินพร้อมกัน
กับข้าวล้วนเป็นเนื้อ รสชาติยังอร่อยมาก ทุกคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อยจนไม่มีใครอยากพูดคุย
จนกระทั่งกินกันจนอิ่มสักเจ็ดแปดส่วน ความเร็วในการตักอาหารก็ค่อยๆ ลดลง
ตอนนี้กับข้าวบนโต๊ะเหลือเพียงเล็กน้อย
หลิวจี้มือไว คว้าน้ำแกงเต้าหู้ที่เหลืออยู่สุดท้ายราดลงถ้วยตัวเอง คีบหัวไชเท้าดองสองชิ้นคลุกเข้าด้วยกัน รสเปรี้ยวกรอบเผ็ดนิดๆ อร่อยเสียจนอดยิ้มไม่ได้
พอกินอิ่ม อารมณ์ก็เบิกบานเป็นพิเศษ มุมปากของฉินเหยามีรอยยิ้มน้อยๆ ตลอดเวลา
หลิวจี้ซดข้าวคลุกน้ำแกงคำสุดท้าย ก่อนวางถ้วยตะเกียบลงแล้วเช็ดปาก ถามขึ้นอย่างสงสัย
“เมียจ๋า โรงโม่น้ำของหมู่บ้านเซี่ยเหอเสร็จแล้วหรือ”
ฉินเหยาพยักหน้า นางรู้ว่าเขาจะถามอะไรจึงเอ่ยตรงๆ ว่า “ค่าเล่าเรียนของเจ้าในปีนี้พร้อมแล้ว รอให้สิ้นเดือนนี้คัดลอกตำราให้เสร็จ ต้นเดือนเจ็ดเจ้าก็กลับไปศึกษาที่สำนักศึกษาในอำเภอได้”
หลิวจี้ลองคำนวณค่าเล่าเรียนในใจ คร่าวๆ ก็ราวห้าตำลึงเงิน แต่ฉินเหยาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเดือนก็หาได้แล้ว!
ถึงแม้เงินจะไม่ได้อยู่ในมือเขา แต่สุดท้ายก็ต้องใช้ไปกับเขาอยู่ดี หลิวจี้จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “เมียจ๋า บ้านนี้มีเจ้าอยู่ช่างเป็นวาสนาของพวกข้าจริงๆ”
ฉินเหยาแค่นหัวเราะเบาๆ ตัดบทการประจบประแจงของเขา “คัดลอกตำราไปถึงไหนแล้ว”
“ใกล้แล้วๆ เหลือแค่สองเล่มที่มีตัวอักษรเยอะๆ สิ้นเดือนก็น่าจะเสร็จ” หลิวจี้ตอบอย่างมั่นใจ
พอคิดถึงชีวิตในสำนักศึกษาที่กำลังจะมาถึง เขาก็ตื่นเต้นจนแทบอดใจไม่ไหว
ไม่ต้องลงทุ่งนาอีกแล้ว แถมยังได้ไปอยู่ในตัวอำเภอนานๆ อีก หากได้รวบรวมสหายเก่าๆ มากินดื่มเที่ยวเล่นกันล่ะก็ ช่างเป็นชีวิตที่สุขสบายเหลือเกิน!
ฉินเหยาเห็นแววตารอคอยของเขา แววตานางพลันมืดลงเล็กน้อย
สายฝนในเดือนหก บทจะตกก็ตกลงมาทันที ค่ำคืนนี้ฝนเทลงมาอย่างกะทันหัน ลมเย็นจากภูเขาพัดผ่าน ชะล้างไอร้อนออกไปจนหมด จังหวะนั้นพลันมีเสียง “ฮัดชิ่ว!” ดังขึ้นจากห้องเด็ก
ฉินเหยาลุกขึ้นรีบเดินไปที่ห้องข้างๆ เปิดประตูเข้าไป หยิบผ้าห่มบางที่เก็บไว้ในหีบออกมา ก่อนจะกำชับเด็กทั้งสี่ให้เอาผ้าคลุมท้องไว้ดีๆ อย่านอนเปิดเสื้อผ้า
ในหมู่บ้าน การแพทย์ยังล้าหลัง หากเป็นไข้หวัดเล็กน้อย หมอเท้าเปล่าสามารถจ่ายยาให้ได้ แต่หากอาการหนักขึ้นมาก็ทำได้เพียงภาวนาขอให้ฟ้าดินเมตตา
ซานหลางกับซื่อเหนียงหลับสนิท ทั้งคู่ใส่เพียงเสื้อซับในตัวเล็ก เสียงรบกวนในห้องไม่ได้ทำให้พวกเขาตื่น แต่ถึงอย่างนั้น ร่างกายก็ยังรับรู้ได้ถึงความเย็น พอถูกคลุมด้วยผ้าห่ม ทั้งคู่ก็รีบม้วนเข้าหาความอบอุ่น เหลือเพียงใบหน้ากลมเล็กๆ โผล่ออกมา
มือของฉินเหยาคันยุบยิบ นางอดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มเด็กทั้งสองเบาๆ พวกเขาส่งเสียงงึมงำเล็กน้อย ก่อนจะขยับริมฝีปากแล้วกลับไปหลับต่อ
ครืน! ฟ้าร้องสนั่นหวั่นไหวเหนือหลังคา ฝนตกหนักขึ้นอีกแล้ว
ฉินเหยาก้มลงมอง เห็นเด็กน้อยทั้งสองไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
คุณภาพการนอนเช่นนี้ นางอิจฉาเสียจริง!
ฉินเหยาส่งสัญญาณให้ต้าหลางและเอ้อร์หลางที่นอนอยู่บนเตียงชั้นบนให้หลับต่อ จากนั้นจึงปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อยแล้วกลับไปยังห้องของตน กว่าจะหลับได้ก็ใช้เวลาอยู่นาน
นางอดกังวลไม่ได้ว่าฝนที่ตกหนักขนาดนี้จะรั่วซึมเข้ามาหรือไม่จึงลืมตาขึ้นมองหลังคาบริเวณขื่ออยู่เรื่อยๆ จนแน่ใจว่าแผ่นกระเบื้องปิดแน่นสนิทดีแล้ว ถึงค่อยปล่อยตนเองให้หลับไปท่ามกลางเสียงฝนโปรยปราย
เช้าวันรุ่งขึ้น ฝนเบาลงมากแล้ว แต่ก็ยังคงตกอยู่
อากาศเช่นนี้ทำให้ไม่สามารถออกไปฝึกยามเช้าได้ ต้าหลางและเอ้อร์หลางเลยได้นอนตื่นสายเป็นกรณีพิเศษ
ฉินเหยาได้ยินเสียงถอนหายใจของเหล่าชาวนาดังมาจากทุ่งนาเบื้องล่าง นางจึงบอกหลิวจี้ที่กำลังทำอาหารเช้าอยู่ในครัว จากนั้นก็สวมเสื้อกันฝน สวมงอบ แบกจอบขึ้นบ่าแล้วมุ่งหน้าไปยังท้องนา
ดินโคลนบนเส้นทางถูกฝนกระหน่ำเมื่อคืนกัดเซาะจนเกิดเป็นลำธารเล็กๆ ดีที่ฉินเหยาสวมรองเท้าฟาง ไม่เช่นนั้นหากเป็นรองเท้าทั่วไปคงเปียกโชกไปหมด
ระดับน้ำในแม่น้ำสูงขึ้นเกือบยี่สิบเซนติเมตร นาข้าวที่อยู่ใกล้แม่น้ำหลายหมู่ถูกกระแสน้ำกัดเซาะคันนา น้ำจากแม่น้ำทะลักเข้าสู่นาข้าวทำให้ต้นข้าวบางส่วนถูกทำลาย
ฉินเหยาถอนหายใจไปพร้อมกับเหล่าชาวนา ก่อนจะรีบพับขากางเกงขึ้นแล้วช่วยขนหินกับโคลนมาเสริมคันนา จากนั้นช่วยดันต้นข้าวที่ล้มลงให้ตั้งตรง
ต้นข้าวบางส่วนถูกกดทับจนตาย นางเห็นรวงข้าวที่ถูกทำลายแล้วอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ คิดว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลผลิตที่ควรจะเติบโตเป็นอาหารในอนาคต
น้ำในนามากเกินไปไม่ใช่เรื่องดี เมื่อฝนเริ่มซาลง ชาวบ้านแทบทั้งหมู่บ้านต่างพากันออกมา ลงมือขุดลอกร่องน้ำและขุดช่องที่คันนาเพื่อระบายน้ำออก
เมื่อเจ้าของนาที่อยู่ใกล้แม่น้ำและตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำเห็นน้ำขุ่นที่ถูกระบายออกจากนาของคนอื่นไหลเข้ามาในนาตัวเองก็พากันเดือดดาล ด่าทอออกมาเสียงดังลั่น
แต่ทุกคนก็ไม่มีทางเลือกอื่น เจ้าของที่ดินลุ่มต่ำทำได้เพียงทำใจยอมรับความโชคร้ายไปพร้อมกับเสริมคันนาใกล้ร่องน้ำให้สูงขึ้น
ฉินเหยาเองก็ทำแบบเดียวกัน เสริมคันนาใกล้ร่องน้ำของตัวเองให้สูงขึ้น จังหวะนั้นเอง ไม่รู้ว่าปลาที่เลี้ยงไว้ในนาของใครบางคนถูกกระแสน้ำพัดลงมาตามร่องน้ำ
นางมือไว คว้าปลาตัวอ้วนพีได้หนึ่งตัว
เจ้าของที่ดินลุ่มต่ำหัวเราะอย่างชอบใจ ส่วนเจ้าของที่นาสูงที่ปลาไหลลงมากลับร้องเสียงหลง “ปลาข้า! ปลาข้า!”
“ข้าไม่สนว่าจะเป็นของใคร หากมันหลุดลงมานาใครก็ต้องเป็นของคนนั้น!” ทุกคนพากันหัวเราะร่วน
ฉินเหยาเองก็หัวเราะตามไปด้วย ขณะเดียวกันก็เห็นปลาตัวใหม่ถูกน้ำพัดมาอีก นางรีบตบปลาตัวที่จับได้จนมึนงงแล้ววางไว้บนคันนา จากนั้นรีบยื่นมือไปจับตัวที่เพิ่งไหลมา
เด็กๆ ในหมู่บ้านได้ยินเสียงเอะอะก็ตื่นเต้น พากันกรูเข้ามาแย่งจับปลาจนตอนนี้แยกไม่ออกแล้วว่าตัวไหนเป็นของบ้านใคร แต่ละคนพกตะกร้าติดตัว เด็กๆ กลุ่มหนึ่งพากันไปอออยู่ช่วงกลางทางน้ำ พอจับปลาได้ก็เอาใส่ตะกร้าตัวเองทันที
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางเองทำคะแนนได้ดีเยี่ยม ตะกร้าไม้ไผ่ของทั้งสองคนเต็มไปหมด
ซานหลางกับซื่อเหนียงไม่กล้าลงไปในร่องน้ำที่ลึกขนาดนั้นจึงยืนอยู่บนคันนาเชียร์พี่ชายแทน ทั่วทั้งท้องนาเต็มไปด้วยเสียงร้องให้กำลังใจและเสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่กำลังตื่นเต้นสนุกสนาน
MANGA DISCUSSION