บทที่ 93 ตอนนี้มีครอบครัวจริง ๆ แล้ว
หลี่เฟยฮวาพยายามกลั้นขำจนแก้มปริ ต้องก้มหน้าก้มตาซ่อนรอยยิ้มเอาไว้
น้องชายไม่กล้าขัดคำสั่งพี่ชาย จำต้องสูดหายใจลึก หมุนตัวเข้าห้องไปอย่างไม่เต็มใจ
พอเห็นน้องชายจากไป หวงหมิงลู่ก็เงยหน้าคุยกับหลี่เฟยฮวาที่ยืนขำอยู่ข้าง ๆ
“ดูท่าน้องชายฉันจะกลัวฉันมากเลยนะ”
หลี่เฟยฮวาเลยถามอย่างแปลกใจปนขำ “คุณไม่ได้กลับบ้านตั้งสิบปี น้องชายจะกลัวสักแค่ไหนกันเชียว”
หวงหมิงลู่ตอบกลับไปหน้าตาเฉย “ถ้าไม่เชื่อฟัง ก็ต้องตีสิ เป็นเรื่องธรรมดา”
สิบปีผ่านไป…ยังกลัวหวงหมิงลู่อยู่อีกหรือ?
“ไม่ได้กลับบ้านตั้งสิบปีแบบนี้ มีแต่จะยิ่งทำให้เขาไม่กลัวฉันมากขึ้นไม่ใช่เหรอ? ตอนเด็ก ๆ เขาขโมยเงิน แถมยังตีหัวฉันจนแตกอีกต่างหาก”
หลี่เฟยฮวาได้ฟังแบบนั้นก็ได้แต่อึ้ง นึกภาพไม่ออกจริง ๆ ว่าหนุ่มน้อยคนเมื่อกี้จะกล้าทำแบบนั้นกับหวงหมิงลู่ได้
“อย่าไปดูถูกน้องชายเชียว ถึงปกติผมจะดูใจดี แต่ถ้าใครคิดลองดีล้ำเส้นล่ะก็ ผมเอาจริงแน่”
หลี่เฟยฮวานึกถึงภาพลักษณ์ของน้องชายขึ้นมา เด็กหนุ่มหน้าหวานแบบนั้น ตอนนั้นคงยังเด็กมากจริง ๆ ถึงได้กล้าต่อกรกับหวงหมิงลู่ได้ขนาดนั้น
“อะไรนะ? หวงหมิงเจ๋อขโมยเงินเหรอ? แล้วแม่คุณไม่ทำอะไรเขาบ้างเหรอ? ปกติแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เห็นโวยวายจนบ้านแตกแล้วไม่ใช่เหรอ?”
หวงหมิงลู่รีบอธิบายด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้า “ตอนเด็กฉันหาเงินด้วยการรับตัดหญ้าให้พวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน พวกเขาก็ใจดี ให้ข้าวบ้าง เงินบ้าง เป็นค่าขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เก็บสะสมไว้”
“หมิงเจ๋อดันรู้ว่าผมแอบเก็บเงินไว้ ก็เลย…” หวงหมิงลู่พูดเสียงเบาหวิว เหมือนกำลังรื้อฟื้นความทรงจำอันเลวร้าย “…ขโมยเงินฉันไปหมดเลย พอแม่รู้เรื่อง แทนที่จะดุเขา กลับมาตีฉันซะเอง บอกว่าไปเก็บเงินไว้ทำไม?”
หลี่เฟยฮวาได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งสะเทือนใจแทนหวงหมิงลู่ แค่คิดภาพตอนเด็ก ๆ ที่ต้องทำงานหนักหาเงินเอง แล้วยังโดนน้องชายขโมยไป แถมแม่แท้ ๆ ยังไม่เข้าข้างอีก ช่างน่าสงสารจริง ๆ
“พอมีโอกาสฉันก็เลยตีเขาไปนิดหน่อย” หวงหมิงลู่พูดออกมาอย่างแผ่วเบา พลางทำหน้าเขิน ๆ
หลี่เฟยฮวายิ้มกว้าง “สมควรแล้ว! ใครใช้ให้น้องคุณทำตัวแบบนั้นล่ะ!”
ทันใดนั้น หวงหมิงเจ๋อก็เดินออกมาจากห้องในชุดที่เรียบร้อย แต่คราวนี้เขากลับไม่กล้ามองสบตาพี่สะใภ้เลยสักนิด คงจะเข็ดจากบทเรียนที่เพิ่งได้รับไป แถมยังมีหวงหมิงลู่อยู่ตรงนั้นอีก ทำให้เขารีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
พอถึงตอนเที่ยง หวงหมิงลู่ก็ลากหลี่เฟยฮวาออกจากบ้านไปเลย ไม่แม้แต่จะให้กินข้าวสักคำ
เธอถึงได้รู้ว่าที่เขาบอกจะพาไปพักข้างนอกน่ะ ไม่ได้พูดเล่น
“ลุงหยาง ป้าจู ขอเช่าบ้านสักสองสามวันนะครับ”
หลี่เฟยฮวามองหวงหมิงลู่ที่กำลังพยายามยัดเงินห้าสิบหยวนใส่มือลุงขาเป๋เจ้าของบ้านเช่าหลังน้อยอย่างงง ๆ ภาพตรงหน้าช่างเหมือนกับตอนตรุษจีน ที่ผู้ใหญ่เอาอั่งเปาให้ลูกหลาน แต่เด็ก ๆ ก็ทำเป็นไม่กล้ารับ สุดท้ายก็ต้องรับมาจนได้
หวงหมิงลู่บอกว่าคุณลุงใจดีที่ยืนถือไม้เท้าตากพริกแห้งอยู่ตรงหน้านี่ ชื่อหยางตงอวิ๋น ตอนเด็ก ๆ เขาได้รับความช่วยเหลือไว้มากมาย แต่ชีวิตของลุงหยางกับป้าจูค่อนข้างอาภัพ ตอนหนุ่มสาวลูกก็มาเสียชีวิต พออายุเลยสามสิบไปแล้วกว่าจะมีลูกได้อีกคน ก็ดันรักษาเอาไว้ไม่ได้อีก
ที่ขาของลุงหยางมีแผลเป็นน่ากลัวแบบนั้น เป็นเพราะโดนลูกหลงตอนออกรบเมื่อนานมาแล้ว สมัยก่อนการแพทย์ยังไม่เจริญเท่านี้ แถมยังไม่มีเงินรักษาขาที่บาดเจ็บ แผลจึงเน่าติดเชื้อเรื้อรังมาจนถึงทุกวันนี้
ส่วนป้าจูเศร้าเรื่องลูก ๆ ที่จากไปทั้งสองคน เลยดูไม่ค่อยร่าเริงเท่าไหร่ แต่พอเห็นหวงหมิงลู่กับหลี่เฟยฮวามาเยี่ยม ก็รีบออกไปจับไก่ในลานบ้านมาฆ่าเพื่อทำอาหารกลางวันให้กินอย่างตั้งใจ
หลี่เฟยฮวามองเห็นสภาพความเป็นอยู่ของลุงหยางกับป้าจูแล้วก็รู้สึกเห็นใจ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมก่อนมาหวงหมิงลู่ถึงยืมเงินเธอไปตั้งห้าสิบหยวน
ลุงหยางได้แต่น้ำตาซึม ถึงปากจะบ่นว่าหวงหมิงลู่ไม่ควรให้เงิน สิ้นเปลืองเปล่า ๆ แต่ในใจลึก ๆ นั้นกลับปลื้มจนตาแดง
ปกติแล้วหมิงลู่มักจะเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า แต่หลี่เฟยฮวาที่อยู่เคียงข้างกันมานานสังเกตเห็นว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่หวงหมิงลู่ได้พูดคุยกับคนที่ตัวเองรักและเอ็นดู น้ำเสียงของเขามักจะอ่อนโยนขึ้นเสมอ
เหมือนกับตอนนี้ไง ที่หวงหมิงลู่พูดกับลุงหยางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่สิ้นเปลืองหรอกครับลุง ตอนเด็ก ๆ ถ้าไม่ได้ลุงกับป้าคอยช่วยเหลือ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะรอดมาได้ยังไง เงินนี้ลุงรับไว้เถอะครับ อีกสองสามวัน ผมกับภรรยาจะพาลุงกับป้าไปตรวจสุขภาพเอง”
ได้ยินดังนั้น ลุงหยางก็ยิ่งน้ำตาไหล อยากจะเอ่ยปากห้ามหวงหมิงลู่ไม่ให้ใช้เงินฟุ่มเฟือย แต่ลึก ๆ ก็รู้ดีว่า นี่คือความรัก ความห่วงใย ที่ชายหนุ่มตรงหน้ามีให้ ทำได้เพียงกลืนความซาบซึ้งปนเศร้าใจเล็ก ๆ รับน้ำใจอันยิ่งใหญ่นี้ไว้
สมัยหมิงลู่ยังเด็ก แค่ได้กินข้าวบ้านลุงหยางกับป้าจูมื้อเดียว โตมาหมิงลู่ก็จำได้ไม่ลืม คอยส่งเงินส่งของมาให้ตลอด จนลุงหยางต้องเอ่ยปากแซว
“เมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ ลุงกับป้าแค่ให้ข้าวแค่นิดเดียวเอง ตอนนี้โตจนแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ดูแลตัวเองดีกว่า ไม่ต้องส่งอะไรมาให้ลุงกับป้าแล้ว”
ลุงหยางหันไปมองหน้าหลี่เฟยฮวาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยแววตาเอ็นดู
“ชื่อหลี่เฟยฮวาใช่ไหม หมิงลู่ลำบากมาเยอะ แต่ลุงเห็นเขามาตั้งแต่เด็ก รู้ว่าเป็นเด็กดี แค่ให้ข้าวกินนิดเดียวก็จำได้จนโต แบบนี้แหละ ถึงเรียกว่าคุ้มค่าที่เกิดมาแล้ว”
หลี่เฟยฮวาเองก็พอรู้เรื่องที่หวงหมิงลู่คอยดูแลครอบครัวลุงหยางมาตลอด ยิ่งตอนที่ลุงหยางกับป้าจูรู้ข่าวว่าเขาแต่งงาน และรู้ว่าพ่อแม่ของหลี่เฟยฮวาเสียหมดแล้ว ก็ส่งผ้าห่มมงคลหนักตั้งสิบกิโลกรัมมาให้
บุญคุณแค่ข้าวหนึ่งมื้อหวงหมิงลู่ยังจำได้ไม่ลืม ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมลุงหยางกับป้าจูถึงดีกับเขาขนาดนี้
หลี่เฟยฮวายิ้มหวาน แล้วพูดเสียงใส “จริงอย่างที่ลุงว่าค่ะ เขาเป็นคนดีจริง ๆ และการกตัญญูต่อลุงกับป้าเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว”
ลุงหยางถึงกับอึ้ง น้ำตาไหลพราก เขาหันไปมองหวงหมิงลู่แล้วพูดเสียงสั่นเครือ “หมิงลู่…ตอนนี้มีครอบครัวจริง ๆ แล้วนะ”
หลี่เฟยฮวาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจความหมายของลุงหยาง
หวงหมิงลู่เมื่อ 27 ปีก่อน เหมือนไม่มีครอบครัว แต่ตอนนี้แต่งงานมีครอบครัวเล็ก ๆ ของตัวเองแล้ว ลุงหยางเลยพูดแบบนี้
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม ยึดร่างกายคนอื่นมาใช้ชีวิต ใช้ความรู้สึกของคนอื่น แม้หวงหมิงลู่จะบอกว่าไม่มีความรู้สึกกับเจ้าของร่างเดิม แต่ร่างกายนี้ก็คือร่างกายของคนอื่น เธอเป็นเหมือนคนนอก ถ้าวันหนึ่งกลับไปโลกเดิมแล้ว เขาจะอยู่ยังไง? พวกเรามีเวลาห่างกันตั้ง 40 กว่าปีเชียวนะ
เหมือนจะรู้ใจหลี่เฟยฮวา เขารีบถาม “เป็นอะไรไป?”
เธอถอนหายใจ สีหน้าไม่สู้ดีนัก “ไม่มีอะไรหรอก”
หลี่เฟยฮวาส่ายหน้ามองสามีนิ่ง ๆ ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “ลุงหยางพูดถูก คุณมีครอบครัวแล้ว”
เธอเองก็มีครอบครัวแล้วเหมือนกัน
มุมปากหมิงลู่ยกขึ้นเล็กน้อย พลางพยักหน้ารับ
หลี่เฟยฮวากับหมิงลู่ก็ทานข้าวที่บ้านลุงหยาง ป้าจูฝีมือดีมาก ซุปไก่อร่อย หอม นุ่มลิ้น ทั้งสองคนคอยตักกับข้าวให้เธอกินไม่หยุด อิ่มจนแทบกลิ้ง หวงหมิงลู่เลยช่วยจัดการส่วนที่เหลือให้
ป้าจูไม่พูดอะไรมาก แค่มองสามีภรรยาคู่นี้บนโต๊ะอาหารด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
“เฟยฮวา กินเยอะ ๆ นะ”
ท้องของหลี่เฟยฮวาจะแตกอยู่แล้ว แต่ก็ยังพยักหน้าอย่างว่าง่าย “ค่ะ ไว้กินตอนเย็นก็ได้ค่ะ”
เอ๊ะ?
พูดจบเธอก็ชะงัก ไม่ใช่ว่านี่เป็นการชวนกินข้าวเย็นหรือ? คิดได้แบบนั้น เธอก็มองหน้าป้าจูอย่างเกรงใจ
ป้าจูกลับยิ้มดีใจ “ได้สิ เย็นนี้กินข้าวด้วยกัน”
หลี่เฟยฮวาอึกอักเล็กน้อย เห็นหวงหมิงลู่ไม่พูดอะไร เลยพยักหน้ารับเบา ๆ
บ้านลุงหยางมีแต่ความอบอุ่น ต่างจากบ้านหมิงลู่ที่เต็มไปด้วยความอึมครึม
แม้ว่าใกล้จะเที่ยงแล้ว แต่ห้องครัวของบ้านตระกูลหวงยังคงเงียบเชียบ
เมื่อเหอม่านชิงกลับมาจากทำงานและเห็นว่าไม่มีใครทำอาหารก็โกรธจัด จนตบหน้าลูกสาวดังเพียะในทันที
หวงมี่มี่ที่โดนแม่ตบก็ตกใจ “แม่! แม่ไม่ได้บอกให้หลี่เฟยฮวาทำอาหารเหรอ หนูก็เพิ่งกลับมาเองนะ!”
เหอม่านชิงหน้าบึ้ง “แล้วเธอรู้มั้ย พี่สะใภ้เธอหายไปไหน?!”
MANGA DISCUSSION