บทที่ 51 เงินเดือนก้อนแรก
หวงหมิงลู่อยากจะดึงมือออก แต่ก็ทำไม่ลง จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ริมฝีปากเม้มแน่น ใบหูแดงก่ำเหมือนลูกท้อสุก
แต่หญิงสาวกลับไม่ทันสังเกตเห็นอาการเขินอายของเขา เธอมัวแต่ตั้งใจตรวจสอบว่าหวงหมิงลู่หนาวหรือไม่
หลี่เฟยฮวารู้สึกได้ถึงปลายนิ้วและฝ่ามือที่หยาบกร้านของชายหนุ่ม แต่มันกลับอบอุ่นและมั่นคงจนน่าประหลาดใจ
“หวงหมิงลู่ ใส่เสื้อผ้าน้อยแค่นี้ไม่หนาวเหรอ?” เธอกระซิบถามด้วยความอิจฉา
หวงหมิงลู่ตัวสูงใหญ่ ยามก้มมองจึงเห็นผมสีดำขลับของหลี่เฟยฮวาพอดิบพอดี ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลง รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอเสียดื้อ ๆ
“ไม่… ไม่หนาวหรอก” เขาตอบเสียงสั่น พยายามทำเสียงให้เป็นปกติ
หลี่เฟยฮวาอุทานอย่างตื่นเต้น “เก่งจัง!”
เธอเหลือบมองท้องฟ้า ริมฝีปากบางคลี่ยิ้ม “ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ!”
ร่างบางก้าวฉับ ๆ นำหน้าไปก่อน แต่ก็ต้องหันกลับมามองเมื่อเห็นหวงหมิงลู่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับมีรากไม้งอกออกมาจากรองเท้า
“เป็นอะไรไป? ขาแข็งเหรอ?” เธอเอ่ยแซวเบา ๆ พลางหัวเราะคิกคัก ไหนคนตรงหน้าบอกว่าไม่หนาวไง
หวงหมิงลู่ก้มมองปลายเท้าตนเองที่เหมือนจะขยับไม่ได้ชั่วขณะ ก่อนจะพึมพำเสียงเบา “อืม”
รถทหารสีเขียวคันใหญ่ บรรทุกทั้งสองส่ายไปมาจนมาถึงจุดหมายปลายทาง
ทันทีที่รถหยุดสนิท หลี่เฟยฮวาก็ตรงดิ่งไปยังสำนักพิมพ์ทันที ครั้งสุดท้ายที่เธอยื่นงานแปลก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว
อู่เล่อเถียนจะจ่ายเงินเดือนให้เธอทุกสิ้นเดือน นั่นหมายความว่า เดือนนี้เธอจะได้รับเงินเดือนหกสิบหยวน!
หลี่เฟยฮวาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง นี่มันรายได้ก้อนแรกหลังจากได้งานเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะเนี่ย!
ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะซ่อมเครื่องสีข้าวและได้เงินมาไม่น้อย แต่ความรู้สึกมันต่างกัน นี่มันเงินเดือนที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานทั้งเดือนเชียวนะ
คิดถึงเงินหกสิบหยวนที่จะได้รับ เธอก็อดอมยิ้มไม่ได้ ก่อนจะหันไปหาหวงหมิงลู่ พร้อมกับเอ่ยว่า “พอฉันได้เงินเดือนแล้ว ฉันจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้คุณสามตัวเลย!”
เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับหลี่เฟยฮวาอยู่แล้ว ตราบใดที่ยังมีเงินพอใช้ ชอบอะไรก็ซื้อ ไม่ต้องคิดนานให้เสียเวลา
“ซื้อตัวเดียวก็พอแล้ว ฉันไม่ค่อยได้ใส่หรอก” ปกติวัน ๆ เขาเอาแต่ลุยภารกิจกับฝึกซ้อม คงไม่มีเวลามาใส่ชุดธรรมดาไปเที่ยวเล่นที่ไหน
หลี่เฟยฮวาได้ยินแบบนั้นก็ส่ายหัวทันที “ไม่ได้หรอก ซื้อสามตัวไปเลย! ในตู้คุณมีแต่ชุดทหารกับเสื้อยืดแค่สามตัวเองนะ ฉันเห็นแล้วหนาวแทน”
พอพูดจบ เธอก็เผลอนึกถึงสัมผัสอุ่น ๆ จากมือของอีกฝ่ายขึ้นมา เลยหลุดปากแซวออกไป “หรือว่าคุณไม่หนาวอยู่แล้ว?”
คำพูดนั้นทำเอาหัวใจของหวงหมิงลู่อุ่นวาบ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนอาสาซื้อเสื้อผ้าให้… ย้อนกลับไปตอนอยู่บ้านเกิด แค่เสื้อผ้าที่ไม่ขาดรุ่ยก็แทบจะไม่มีแล้ว
หลี่เฟยฮวายื่นเงินจำนวนหนึ่งให้หวงหมิงลู่ “ให้ฉันได้ดูแลคุณบ้างเถอะนะ รับไว้สิ”
หวงหมิงลู่ยกยิ้มมุมปากนิด ๆ “เธอเก็บไว้เถอะ เอาไปซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ใส่สักสองสามชุดดีกว่า”
สุดท้ายหลี่เฟยฮวาก็เก็บเงินมาไว้กับตัวเอง แต่เธอคิดไว้แล้วว่าจะใช้เงินนี้เพื่อหวงหมิงลู่
ทั้งสองคนเดินทางมาถึงสำนักพิมพ์หลังจากใช้เวลาสักพัก
อู่เล่อเถียนมาถึงแต่เช้าตรู่เช่นเคย แต่พอเห็นร่างสูงของหวงหมิงลู่ยืนอยู่ข้าง ๆ หลี่เฟยฮวา ก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง
หลี่เฟยฮวาแนะนำหวงหมิงลู่ด้วยรอยยิ้มสดใส “นี่คือสามีของฉันค่ะ หวงหมิงลู่”
จากนั้นเธอก็แนะนำอู่เล่อเถียนให้หวงหมิงลู่รู้จักบ้าง ชายหนุ่มทั้งสองพยักหน้าให้กันอย่างสุภาพ ถือว่าเป็นการรู้จักกันแล้ว
หลี่เฟยฮวามอบต้นฉบับที่แปลเสร็จแล้วทั้งหมดให้กับอู่เล่อเถียน เขาเปิดดูอย่างพิจารณาไปสองสามหน้า ก่อนจะเอ่ยชม “ต้นฉบับที่คุณแปลมาครั้งก่อน ผมส่งให้สำนักพิมพ์ต้นทางเจ้าของลิขสิทธิ์ตรวจดูแล้ว ทางนั้นแจ้งว่าไม่มีปัญหาอะไร”
“เร็วขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” หลี่เฟยฮวาถามอย่างประหลาดใจ
เธอคิดว่าหลังจากแปลแล้ว อย่างน้อยต้องใช้เวลาครึ่งปี กว่าจะตรวจสอบเสร็จสิ้น
การตีพิมพ์หนังสือไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ต้องใช้ทั้งความรอบคอบและขั้นตอนที่ซับซ้อนมากมาย เวลาครึ่งปีจึงไม่นับว่านานเลย
“ช่วงนี้สำนักพิมพ์ต้นทางไม่มีหนังสือออกใหม่ การตรวจสอบเลยเร็วขึ้นบ้าง แต่กระบวนการทั้งหมดก็น่าจะยังต้องใช้เวลาประมาณห้าเดือน”
อู่เล่อเถียนอธิบายพลางยื่นต้นฉบับใหม่และซองจดหมายสีน้ำตาลให้กับหลี่เฟยฮวา
หญิงสาวรับซองจดหมายมาลูบเบา ๆ รู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่หนาอย่างผิดปกติ จึงอดถามออกไปไม่ได้ “นี่มัน… เยอะไปรึเปล่าคะ?”
เธอเปิดออกดูอย่างช้า ๆ ข้างในเป็นธนบัตรใบละสิบหยวนอย่างดี เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ รวมทั้งหมดสิบใบ
“ไม่หรอกครับ ถือเป็นโบนัสเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มอบให้คุณ”
อู่เล่อเถียนอ่านผลงานแปลของเธอแล้ว เขาค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าได้วางขายเมื่อไหร่ ต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แถมอนาคตอาจจะได้รางวัลอะไรติดไม้ติดมือมาด้วย เงินแค่นี้จึงไม่อยู่ในสายตาเขาเลย
หลี่เฟยฮวาเห็นท่าทางหนักแน่นเช่นนั้น ก็รับเงินมาด้วยรอยยิ้มกว้าง “วางใจได้ค่ะ ฉันจะตั้งใจทำงานให้เต็มที่แน่นอน!”
หลังจากพูดคุยเรื่องงานกับอู่เล่อเถียนอีกเล็กน้อย เธอก็ออกมาพร้อมกับต้นฉบับใหม่เอี่ยมและเงินเดือนก้อนโตที่ยังอุ่น ๆ อยู่ในมือ
“หวงหมิงลู่ ฉันเก่งไหมล่ะ!”
เธอโบกธนบัตรไปมาต่อหน้าเขาอย่างอารมณ์ดี แถมยังหอมเงินไปอีกสองฟอดใหญ่
หวงหมิงลู่มองเธอที่กำลังทำท่าทางดีใจราวกับกระรอกน้อยได้ถั่ว เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย
“เก่งมาก”
ได้ยินคำชมจากปากเขา หลี่เฟยฮวาก็ยิ่งรู้สึกปลื้มใจ
“ไปกันเถอะ วันนี้ฉันจะพาไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ แล้วเราไปฉลองกันสักมื้อนะ!”
นี่เป็นเงินเดือนก้อนแรกอย่างเป็นทางการหลังจากที่เธอหลุดเข้ามาในโลกนี้ เธอตื่นเต้นจนแทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้วว่าจะเอาเงินก้อนนี้ไปทำอะไรดี
หลี่เฟยฮวาพูดเจื้อยแจ้วตลอดทาง ส่วนหวงหมิงลู่ก็เดินเงียบ ๆ ฟังเสียงใส ๆ นั้นอย่างนึกเอ็นดู
ไม่นานนัก พวกเขาก็เดินมาถึงหน้าร้านสหกรณ์ บรรยากาศวันนี้ค่อนข้างคึกคัก ลูกค้าเข้าออกร้านกันไม่ขาดสาย หวงหมิงลู่เหลือบตามองเสื้อผ้าผู้ชายแบบต่าง ๆ
เสื้อผ้าในยุคนี้ไม่ได้มีรูปแบบที่หลากหลายเหมือนในยุคปัจจุบัน เสื้อนอกผู้ชายส่วนใหญ่จะเป็นชุดจงซาน สีสันก็มีให้เลือกไม่กี่สี
หลี่เฟยฮวาเลือกดูเสื้อผ้าอย่างสนุกสนาน สุดท้ายก็เลือกซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้กับเขาไปสามชุด
แต่พอถึงเวลาจ่ายเงิน หวงหมิงลู่ได้ยินราคา เขาก็แทบจะหงายหลังผึ่ง ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจ
“เท่าไหร่นะ?!”
น้ำเสียงที่ดังขึ้นอย่างตื่นตระหนกของเขาทำเอาหลี่เฟยฮวาสะดุ้ง
เธอเป็นขาประจำของร้านสหกรณ์แห่งนี้ พนักงานขายเกือบทุกคนรู้จักเธอดี พนักงานขายจึงยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ทั้งหมดเก้าสิบหยวนค่ะ บวกกับคูปองผ้าด้วยนะคะ”
ยังไม่ทันที่หวงหมิงลู่จะได้เอ่ยปาก หลี่เฟยฮวาก็ควักคูปองผ้าและธนบัตรใหม่เอี่ยมใบละสิบหยวนออกมาเก้าใบ จ่ายให้กับพนักงานเรียบร้อย
“พวกเราไม่เอาแล้วครับ!” เขารีบคว้าข้อมือของเธอไว้ “หลี่เฟยฮวา ฟังฉันนะ ปกติฉันไม่มีโอกาสได้ใส่เสื้อผ้าแบบนี้หรอก เก็บเงินไว้ซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ให้ตัวเองเถอะ”
ถ้าเงินเกือบร้อยหยวนหมดไปกับเสื้อผ้าแค่สามชุดแบบนี้ หัวใจของเขาคงสั่นจนหลุดออกมาแน่ ๆ
หลี่เฟยฮวามองหวงหมิงลู่ที่ทำท่าทางเหมือนจะร้องไห้ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ
ไม่คิดเลยว่าสามีของเธอคนนี้จะขี้เหนียวขนาดนี้
แต่จะให้พูดแบบนั้นออกไปก็คงดูไม่ดี ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจะบริจาคเสื้อผ้าเก่า ๆ ของเจ้าของร่างเดิมทิ้งไป แล้วซื้อเสื้อผ้าใหม่มาใส่จนเต็มตู้ หวงหมิงลู่ก็ไม่ได้บ่นอะไรเธอเลยสักคำ
MANGA DISCUSSION