บทที่ 29 เชิดเงินหนี
หลี่เฟยฮวากลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ มองซ้ายมองขวา ไม่มีใครอยู่แถวนี้เลย เธอคนเดียวเท่านั้นที่เห็นเหตุการณ์นี้
ใจหนึ่งก็กลัวจนขาสั่น แต่พอสบตากับลู่อันหยาง เธอก็เห็นริมฝีปากของเขาขยับ พูดคำว่า ‘ช่วยด้วย!’ อย่างชัดเจน
ทันใดนั้น ไอ้หัวล้านร่างใหญ่ในกลุ่มคนร้ายก็คว้าท่อนไม้ขึ้นมา เล็งไปที่ขาของลู่อันหยาง ราวกับจะตีให้แหลก!
สมองของหลี่เฟยฮวาว่างเปล่าไปชั่วขณะ แต่ปากกลับตะโกนออกมาดังลั่น “หยุดเดี๋ยวนี้นะโว้ย!”
เสียงกรีดร้องดังลั่นตรอก ทำเอาไอ้หัวล้านสะดุ้งโหยง! เขาหันขวับไปมองต้นเสียงด้วยความตกใจ
ภาพที่ปรากฏเด่นชัดคือหญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าสดใส ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ปากซอย ดูเปราะบางราวกับตุ๊กตากระเบื้อง แต่แววตากลับเด็ดเดี่ยวดุดัน เธอตะโกนสุดเสียง “หยุดนะ! ไม่งั้นฉันจะเรียกตำรวจเดี๋ยวนี้!”
หัวล้านอึ้งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะระเบิดหัวเราะลั่นราวกับได้ฟังมุกตลกสุดฮา
หลี่เฟยฮวารู้สึกใจเต้นตึกตัก ทั้งชาตินี้และชาติที่แล้ว เธอไม่เคยเผชิญหน้ากับอันธพาลมาก่อน ร่างบาง ๆ นี่จะสู้ไหวเหรอ?
พวกนักเลงมองเธอด้วยสายตาดูแคลน ก่อนจะหัวเราะเยาะซ้ำอีกรอบ
“เฮ้ย! หนูน้อย” ไอ้หัวล้านตะโกนกลับ “อย่ายุ่งกับเรื่องของพวกผู้ใหญ่ ฉันให้โอกาสเธอนะ รีบไสหัวไปซะ ไม่งั้นฉันจะสั่งสอนเธอด้วยมือฉันเอง!”
หลี่เฟยฮวาขมวดคิ้วครุ่นคิด สมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว… พวกนี้คงเป็นแค่อันธพาลท้องถิ่น ไม่ใช่ศัตรูตัวฉกาจของลู่อันหยาง และที่สำคัญ พวกมันกลัวตำรวจ!
ดวงตาคมกริบของเธอหรี่ลง ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ฉันก็จะให้โอกาสพวกแกเหมือนกัน ปล่อยเขาไปซะ แล้วฉันจะไม่แจ้งตำรวจ”
หลี่เฟยฮวาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะตะโกนออกไปอีกครั้ง “สามีของฉันเป็นหัวหน้ากองร้อยในเขตทหาร! ถ้าพวกแกแตะต้องฉันแม้แต่ปลายผม รับรองว่าพรุ่งนี้จะได้นอนคุกกันทั้งแก๊ง!”
คำพูดนั้นทำเอาไอ้หัวล้านถึงกับสะดุ้ง ตาเหลือกลานราวกับเห็นผี
“หะ… หัวหน้า เราจะทำยังไงดีวะ?” เด็กเกเรข้าง ๆ กระซิบถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
หัวล้านยืนนิ่งอึ้ง เริ่มคิดไม่ตก ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ “วะ… วันนี้ปล่อยยัยนี่ไปก่อนแล้วกัน ไป ๆ ๆ พวกเรารีบไปกันเถอะ!”
พอไอ้หัวล้านพูดจบ เหล่าแก๊งอันธพาลก็รีบวิ่งหนีหายไปในตรอกมืดทันที
หลี่เฟยฮวาถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะรีบวิ่งไปหาลู่อันหยางที่นอนจมกองเลือด ใบหน้าบวมปูดเขียวช้ำไปหมด
เธอมองร่างของชายหนุ่มด้วยความสงสาร นึกย้อนไปถึงภาพของเขาเมื่อครึ่งเดือนก่อน ที่ยังเป็นเจ้าของธุรกิจข้ามชาติสุดหล่อ เปี่ยมด้วยความมั่นใจ
‘ทำไมชีวิตของเขาถึงได้มาเจออะไรแบบนี้นะ?’ เธอนึกในใจ ขณะที่น้ำตาคลอเบ้าด้วยความรู้สึกสงสาร
เธอมองสำรวจลู่อันหยางตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้จะดูเหมือนผ่านสมรภูมิมาอย่างหนักหน่วง แต่เธอก็ดูออกว่านั่นเป็นแค่แผลภายนอกเท่านั้น
“คุณลู่อันหยาง ไปพัวพันกับศึกชิงมรดกตกทอดของตระกูลไหนมารึไงคะ ถึงได้สะบักสะบอมขนาดนี้” หลี่เฟยฮวาแกล้งแซวเสียงใส เพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลง เขาจะได้รู้สึกสบายใจขึ้น
ลู่อันหยางได้ยินคำถามของหญิงสาวตัวน้อยแล้ว แทบอยากจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ “เกิดเรื่องนิดหน่อยเกี่ยวกับธุรกิจน่ะ”
หลี่เฟยฮวาพูดด้วยหน้าตาใสซื่อ “แบบนี้ต้องแจ้งตำรวจสิคะ!”
แต่ลู่อันหยางกลับยิ้มอย่างปลง ๆ “แจ้งไปแล้ว! ไม่มีประโยชน์หรอก เงินฉันมันถูก เสิ่นเจียวกุ้ย… ไอ้บ้านั่น! ที่มันนั่งกินข้าวกับเราที่โรงแรมวันนั้นไง มันเอาเงินผมไปจนหมดเลย!”
พอได้ยินแบบนี้ หลี่เฟยฮวาก็ถึงบางอ้อ
วันนั้นที่โต๊ะอาหาร เสิ่นเจียวกุ้ยแทบไม่ปริปากพูดอะไร เธอเลยคิดว่าเขาเป็นลูกน้องของลู่อันหยาง ใครจะไปคิดว่าจะเป็นถึงหุ้นส่วนทางธุรกิจกัน
“แล้วเขาเอาเงินคุณไปเท่าไหร่คะ?” หลี่เฟยฮวาถามอย่างใคร่รู้
ลู่อันหยางรู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ แต่ก็กัดฟันตอบอย่างเจ็บใจ “สี่หมื่น!”
เสิ่นเจียวกุ้ยเอาเงินทั้งหมดของลู่อันหยางไป แล้วยังจ้างนักเลงมาทำร้ายเขาอีก
โชคดีที่หลี่เฟยฮวามาช่วยไว้ ไม่งั้นลู่อันหยางได้พิการแน่!
หลี่เฟยฮวาเห็นแล้วก็สงสารลู่อันหยางจับใจ แต่ไม่กล้าพูดอะไรมาก กลัวลู่อันหยางจะคิดมาก เธอเลยเปลี่ยนมาคุยเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ “ไปโรงพยาบาลกันเถอะค่ะ”
ลู่อันหยางส่ายหัวเป็นพัลวัน
เขาหยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วมองหลี่เฟยฮวาด้วยสายตาเว้าวอน “คือ… ผมไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว พาผมไปกินข้าวก่อนได้ไหมครับ?”
หลี่เฟยฮวา “…”
บาดแผลเต็มตัวขนาดนี้ แต่เขายังเอาเรื่องกินมาก่อน แปลกคนจริง ๆ เหมือนใครกันนะ…
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง
ลู่อันหยางซัดบะหมี่ในร้านข้างทางอย่างเอร็ดอร่อย นี่ชามที่สามแล้วนะ!
ซดน้ำซุปจนหมดหยดสุดท้าย ลู่อันหยางก็รีบตะโกนบอกลุงเจ้าของร้านที่กำลังลวกเส้นอยู่ทันที “ลุง! เอาอีกชาม!”
หลี่เฟยฮวาแอบเหล่มองนาฬิกาเป็นรอบที่ร้อย ถึงจะไม่มีนาฬิกาติดข้อมือ แต่ดูจากแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาในร้าน เธอก็รู้ชะตากรรมตัวเองแล้วว่าพลาดรถรอบสุดท้ายกลับบ้านเรียบร้อย ต้องนั่งรออีกสี่ชั่วโมงเต็ม ๆ
ฝั่งตรงข้าม ลู่อันหยางก็กำลังง่วนอยู่กับบะหมี่ชามใหม่ที่เพิ่งถูกยกมาเสิร์ฟ เขาซู้ดเส้นหมดชามในพริบตา ราวกับไม่เคยเจออาหารมาก่อนในชีวิต!
หลี่เฟยฮวาได้แต่แอบถอนหายใจเบา ๆ ใครจะไปคิดล่ะว่าจะต้องมานั่งเป็นหนุ่มนักธุรกิจกินบะหมี่แก้เครียดแบบนี้
ลู่อันหยาง ชายหนุ่มหน้ามนคนนี้เป็นลูกคนรวย แต่เขาอยากพิสูจน์ตัวเอง เลยแอบเอาเงินเก็บสี่หมื่นหยวนออกมาหาลู่ทางในเมืองใหญ่ ใครจะไปรู้ว่าจะโดนหุ้นส่วนเชิดเงินหนีไปใช้หนี้เก่าเสียอย่างนั้น แถมตำรวจก็ตามจับไม่ได้อีกต่างหาก
จากหนุ่มนักธุรกิจไฟแรงกลายเป็นหนุ่มสิ้นไร้ไม้ตอกในพริบตา และลู่อันหยางไม่กล้าบอกที่บ้าน เลยต้องทนหิวโซมาสองวันสองคืน ไม่แปลกใจที่เขาจะกินอาหารมื้อนี้ราวกับเสือหิว
“คุณหลี่เฟยฮวา ขอบคุณมากนะครับ ผมจะไม่ลืมบุญคุณในครั้งนี้แน่นอน ผมให้ที่อยู่ไว้ พอมีเงินเมื่อไหร่จะรีบเอามาคืน!” ลู่อันหยางรีบพูดหลังจากซัดบะหมี่สองชามหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่กี่นาที
เห็นหลี่เฟยฮวาทำหน้าอึ้ง ๆ ลู่อันหยางเลยรีบออกตัวเสียงดังฟังชัด “ผมไม่ได้จะกินฟรีนะครับ!”
หลี่เฟยฮวามองลู่อันหยางอย่างพิจารณา แม้จะเพิ่งเจอกันครั้งแรก แต่การที่ลู่อันหยางรู้จักมักจี่กับทั้งอู่ไฉวั่งและหงเปาฝู ก็พอพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร และท่าทางของเขาทำให้เธอนึกถึงอาจารย์ในชาติก่อน
ในชาติที่แล้วอาจารย์ก็เหมือนกับลู่อันหยางนี่แหละ ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จนกระทั่งวันหนึ่ง พ่อแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตพร้อมกัน อาจารย์เองก็ต้องกลายเป็นคนพิการ เดินอย่างคนปกติไม่ได้อีกต่อไป ชีวิตหลังจากนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากแสนสาหัส
หลี่เฟยฮวายังจำได้ดีถึงคำพูดของเขาที่เคยพร่ำบอกกับเธอ
‘ถ้าตอนนั้นมีใครสักคนเตือนสติฉัน ให้ฉันรู้ตัวว่ากำลังหลงทางบ้าง ชีวิตของฉันคงไม่พังพินาศแบบนี้’
พ่อแม่ของอาจารย์ต้องมาตายก็เพราะเขา ส่วนขาของเขาก็พิการเพราะความหุนหันพลันแล่นของตัวเอง แต่กว่าจะสำนึกได้ ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว
ความเสียใจไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้ เหมือนรถไฟที่แล่นออกจากชานชาลา ทิ้งผู้โดยสารไว้เบื้องหลัง มีแต่ต้องมุ่งต่อไปข้างหน้าเท่านั้น
ลู่อันหยางรู้สึกขนลุกซู่ เมื่อเห็นหลี่เฟยฮวาจ้องมองเขาด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก เขาเอามือลูบใบหน้าหล่อเหลาของตัวเองเบา ๆ แล้วเอ่ยถามอย่างหวั่น ๆ ว่า “หลี่เฟยฮวา คุณมองผมทำไมเหรอครับ?”
MANGA DISCUSSION