บทที่ 21 คนแซ่ลู่
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น ลู่อันหยางหันไปมอง สายตาเหลือบไปเห็นผ้าพันแผลบนศีรษะของหญิงสาวที่เพิ่งเดินเข้ามา เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเล็กน้อย
หงเปาฝูรีบแนะนำ “ลู่อันหยาง นี่หลี่เฟยฮวาที่ฉันเล่าให้ฟัง เธอพูดอังกฤษและดัตช์ได้”
ชายหนุ่มรีบตั้งสติและลุกขึ้นยืน “สวัสดีครับ ผมลู่อันหยาง”
หลี่เฟยฮวาก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่วงท่าสง่างาม วันนี้เธอสวมชุดกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อน ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางบางเบา ผ้าพันแผลบนศีรษะทำให้ภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบของเธอดูบอบบางลง
“สวัสดีค่ะ ฉันหลี่เฟยฮวา พอดีฉันหัวฟาดพื้นน่ะค่ะเลยมีผ้าพันแผล” หลี่เฟยฮวาแนะนำตัว ก่อนจะอธิบายสั้น ๆ เมื่อเห็นสีหน้าของลู่อันหยาง แต่อยู่ ๆ ความรู้สึกคุ้นเคยแปลก ๆ ก็พลันแล่นผ่านในใจ เธอมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์
“เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าคะ?” เธอถามออกไปโดยไม่ทันคิด
คำถามนั้นทำให้ลู่อันหยางประหลาดใจ เขาส่ายหน้า “ผมเป็นคนตะวันตกเฉียงใต้ครับ เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก คุณเป็นคนท้องถิ่นเหรอครับ?”
“อะ… อ๋อ! สงสัยฉันคงจะจำคนผิดไป ตอนนี้ฉันอยู่ที่อำเภอต้าซิงค่ะ” ความผิดหวังวูบผ่านดวงตาของหลี่เฟยฮวา แต่เธอรีบปรับอารมณ์ นึกขึ้นได้ว่ายังมีแขกอีกสองคนรออยู่ เธอจึงเดินไปทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้มสุภาพ
ลู่อันหยางยังไม่ทันหายสงสัยกับท่าทีของหลี่เฟยฮวา แต่ตอนนี้เป็นเวลาของการสนทนาพูดคุยธุรกิจ เขาจึงต้องเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ก่อน
“ขอบคุณที่มาครับ รบกวนคุณด้วยนะครับ”
ลู่อันหยางกลับไปสนใจเรื่องธุรกิจต่อ เขาเป็นชายหนุ่มวัย 25 ปี ที่เกิดในครอบครัวมีฐานะ แต่ถึงอย่างนั้น พ่อแม่ก็ไม่ได้สนับสนุนสิ่งที่เขาอยากทำ และมักปฏิเสธเขาในทุกเรื่อง
ความอัดอั้นที่สะสมมานาน ทำให้เขาโมโหและหนีออกจากบ้านมาเริ่มธุรกิจเอง ทั้งที่ในยุคนี้คำว่า ‘เริ่มธุรกิจ’ ยังไม่เป็นที่นิยม แม้ประเทศจะเปิดกว้างมากขึ้นแต่ก็ยังไม่มีใครกล้าทำธุรกิจอย่างเปิดเผยมากนัก
ลู่อันหยางมีหัวก้าวหน้า เขาอยากทำธุรกิจกับชาวต่างชาติ แม้เขาจะจบมัธยมปลาย แต่ปัญหาคือภาษาอังกฤษของเขาไม่ค่อยแข็งแรงนัก เมื่อชาวต่างชาติพูดรัวเร็ว เขาก็ได้แต่ยืนงงเป็นไก่ตาแตก ราวกับกำลังฟังภาษาต่างดาว
เขาจำเป็นต้องหาล่ามมาช่วยในการแปลบทสนทนาระหว่างเขากับนักธุรกิจชาวต่างชาติ แต่ล่ามก่อนหน้านี้ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ขาดความเป็นมืออาชีพ บ้างก็แต่งตัวมอซอใส่เสื้อโคร่ง ๆ ทำให้การพูดคุยติดขัดจนชาวต่างชาติไม่พอใจ หลี่เฟยฮวาจึงเป็นเหมือนกับความหวังสุดท้าย
“ฉันจะตั้งใจและทำอย่างเต็มที่ค่ะ” หญิงสาวมอบความมั่นใจให้กับเขาพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากนั้น ทุกอย่างในห้องรับรองที่เคยเต็มไปด้วยบรรยากาศอันน่าอึดอัดใจ ก็เปลี่ยนไปเป็นราบรื่น หลี่เฟยฮวากำลังแปลบทสนทนาระหว่างลู่อันหยางและชาวต่างชาติทั้งสองอย่างคล่องแคล่วราวกับน้ำไหล
ความสามารถของหลี่เฟยฮวาทำเอาลู่อันหยางถึงกับรู้สึกทึ่งในใจ เขาเพิ่งรู้ว่าทำไมแขกทั้งสามถึงได้เลือกล่ามอย่างพิถีพิถันนัก
หลี่เฟยฮวานั้นต่างออกไปจากคนอื่น ๆ เธอมีบุคลิกน่าเกรงขาม แปลได้ลื่นไหลไม่มีสะดุด ไม่ทันไรชาวต่างชาติทั้งสองก็จรดปลายปากกาเพื่อเซ็นชื่อ เป็นการยืนยันว่าพวกเขาตกลงที่จะร่วมทำธุรกิจกับลู่อันหยาง
พวกเขาลุกพรวดขึ้นยืน ยื่นมือออกมาพร้อมกล่าวเป็นภาษาจีนสำเนียงแปร่ง ๆ
“คุณลู่อันหยาง ยินดีที่ได้ร่วมงานกัน”
ลู่อันหยางตื่นเต้นจนเกือบจะร้องไห้ออกมา เขาคิดว่าความร่วมมือครั้งนี้จะจบแบบพังพินาศ ใครจะรู้ว่าล่ามคนนี้จะเก่งกาจขนาดนี้!
หลังส่งแขกกลับ ลู่อันหยางหันมาหาหลี่เฟยฮวาด้วยดวงตาแดงก่ำ เขาพูดอย่างจริงจัง “สหายหลี่เฟยฮวา ขอบคุณที่ช่วยกู้สถานการณ์ทันเวลานะครับ”
หลี่เฟยฮวาส่ายหน้า ไม่กล้ารับคำชม “ไม่ต้องเกรงใจค่ะ คุณลู่อันหยางก็จ่ายค่าตอบแทนแล้ว อีกอย่าง… ฉันก็รู้สึกดีกับคนแซ่ลู่ด้วยนะคะ” เธอยิ้มน้อย ๆ อย่างมีเลศนัย
“หรือว่าสามีของคุณแซ่ลู่?” ลู่อันหยางเอ่ยออกมาโดยไม่ทันคิด ดวงตาเป็นประกายด้วยความหวัง คิดว่าญาติของตัวเองได้แต่งงานกับเธอ
“…สามีของฉันแซ่หวง” หลี่เฟยฮวาตอบเสียงเรียบ ทำให้ความหวังของชายหนุ่มดับวูบลงทันที
ลู่อันหยางปัดความคิดนั้นทิ้งไป เขายิ้มกว้างพลางกล่าว “ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณมากสำหรับวันนี้ ผมขอเลี้ยงอาหารคุณนะครับ!”
หลี่เฟยฮวากำลังจะปฏิเสธ แต่หงเปาฝูได้สั่งอาหารไปแล้ว เธอจึงจำต้องพยักหน้ารับคำอย่างเสียไม่ได้
ระหว่างทางกลับบ้าน อู่ไฉวั่งที่อาสามาส่งเธอก็พูดขึ้นว่า “ฉันได้สอบถามเรื่องสำนักพิมพ์ให้เธอแล้ว อีกสามวันให้ไปทำงาน ส่วนใหญ่เป็นการแปลหนังสือ งานเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ น่าจะได้หกสิบหยวนต่อเดือน”
“หกสิบ?!” หลี่เฟยฮวาอุทานเสียงหลง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ไม่แน่ใจว่าเธอได้ยินถูกต้องหรือไม่
อู่ไฉวั่งมองดูหลี่เฟยฮวาด้วยสายตาชื่นชมปนเอ็นดู คิดในใจว่าเธอช่างเก่งเกินคำบรรยาย พลันรู้สึกว่าค่าตอบแทนที่ให้เธอนั้นน้อยเกินไป
“เอาเป็นว่า เพราะเธอเป็นมือใหม่ เลยได้ค่าแปลน้อยหน่อย แต่ไม่ต้องกังวลนะ รอให้เธอคุ้นเคยกับงานแล้ว เงินเดือนจะพุ่งพรวดแน่นอน!” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลี่เฟยฮวาถึงกับอ้าปากค้าง ตาโตเป็นไข่ห่านยิ่งกว่าเดิม เงินเดือนหกสิบหยวนนี่ก็ถือว่ามากโขแล้วในยุคนี้ ถ้าเธอทำงานไปเรื่อย ๆ เงินเดือนจะสูงแค่ไหนกันเชียว?
หลี่เฟยฮวาผู้เคยมีเงินใช้จ่ายไม่ขาดมือในศตวรรษที่ 21 พอรู้ว่าจะได้ค่าตอบแทนจำนวนมากในยุคขาดแคลน ก็รู้สึกกระหายเงินราวกับคนบ้า
“ขอบคุณเถ้าแก่มากนะคะ คุณวางใจได้เลย ฉันจะทุ่มเททำงานสุดชีวิตแน่นอนค่ะ!”
รถจากัวร์แล่นมาถึงหน้าหมู่บ้านครอบครัวทหารในเวลาพลบค่ำ หลังลงจากรถ หลี่เฟยฮวาโบกมือลาอู่ไฉวั่งอย่างร่าเริง แต่พอหันหลังกลับ ใจของเธอก็เกือบจะหล่นวูบลงไปที่ตาตุ่ม เมื่อเห็นฉินลี่ลี่ยืนจ้องอยู่ฝั่งตรงข้าม
“บังเอิญจังเลยนะ!” หลี่เฟยฮวาทำหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะแสยะยิ้ม “มาคืนเงินฉันเหรอ?”
ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘คืนเงิน’ สีหน้าของฉินลี่ลี่ก็เปลี่ยนไปในพริบตา ราวกับเพิ่งกลืนมะนาวลูกโต เธอหน้าบึ้งตึงและไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
แม้ว่าวันนั้นพ่อของเธอจะให้เงินไปแล้วเก้าสิบหยวน แต่ถ้าอาการป่วยหรือบาดแผลของหลี่เฟยฮวากำเริบขึ้นมา พวกเขาก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก
แต่ฉินลี่ลี่ไม่ได้มาที่นี่เพื่อให้หลี่เฟยฮวาพูดจาเหน็บแนมใส่ เธอเปลี่ยนมาส่งสายตาเยาะเย้ยทิ่มแทงหลี่เฟยฮวาราวกับมีดคม “หึ! ข่าวที่เธอไปพึ่งพาเศรษฐีน่ะ หวงหมิงลู่รู้รึยัง?”
เอาอีกแล้ว! ผู้หญิงคนนี้จะตามรังควานชีวิตเธอไปถึงไหน พอเห็นเธอขึ้นรถไปใคร ก็จะหาว่าเธอให้เขาเลี้ยงแล้วเหรอ? เป็นคนผลักเจ้าของร่างเดิมตกบันไดจนเกือบตายแล้วแท้ ๆ ยังไม่รู้จักสำนึก อยากรู้จริง ๆ ว่าหน้าของฉินลี่ลี่หนาขนาดไหนกัน!
หลี่เฟยฮวากลอกตา ก่อนตอบเสียงเย็น “…ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับเธอเลยสักนิด”
เธอไม่อยากเสียเวลาพูดจากับฉินลี่ลี่อีก ปฏิเสธหรือยอมรับก็มีค่าเท่ากัน เห็นชัดว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ร้าย หลี่เฟยฮวาจึงสะบัดหน้าเดินจากไปอย่างไม่ไยดี
เพียงก้าวที่สองเท่านั้น อยู่ ๆ เสียงเบรกรถดังแหลมหวีดหวิวจากริมถนนก็ดึงความสนใจของเธอทันที
เอี๊ยดดดด… โครม!!!
หลี่เฟยฮวาสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ห่างจากเธอไม่ถึงร้อยเมตร ภาพที่เห็นคือรถซานตานาสีเทาคันหนึ่งพุ่งชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ฝั่งตรงข้ามอย่างจัง!
MANGA DISCUSSION