บทที่ 189 โกลาหล
หลี่ฟางอันไม่เพียงแต่ไม่ให้เงินใช้จ่ายแก่อันหนิงเยว่แม่ของหลี่เฟยฮวา แต่ยังบังคับให้เธอทำงานหนักมากมายทุกวัน
ต่อมาร่างกายของอันหนิงเยว่ก็ยิ่งทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ เจ้าของร่างเดิมรู้ว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ไหว ถ้าไม่ขอความช่วยเหลือ แม่ของเธอคงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
ตอนนั้นเจ้าของร่างเดิมอายุเพียงสิบขวบเท่านั้นคุณปู่ตระกูลหลี่เป็นผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้าน ไม่มีใครกล้าไปยุ่งกับเขา ดังนั้นทุกคนจึงทำเป็นมองไม่เห็น เพราะฉะนั้นถ้าหลี่เฟยฮวาร่างเดิมกล้าไปฟ้องร้องใคร สุดท้ายผู้ที่ได้รับบาดเจ็บก็คือแม่ลูกทั้งสองคนนั่นเอง
ดังนั้นเจ้าของร่างเดิมจึงตัดสินใจครั้งสำคัญ
เธอใช้เงินที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดซื้อตั๋วรถไฟไปยังเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด หลังจากลงจากรถไฟแล้วก็สอบถามจนพบกองทัพที่พ่อของเจ้าของร่างเดิมอยู่
เด็กหญิงอายุสิบขวบคนหนึ่งนั่งรถไฟมาคนเดียว และเดินทางสามวันสองคืน เมื่อหลี่หวังเหล่ยเห็นลูกสาว ทั้งคนก็ตกตะลึงในที่สุด หลี่หวังเหล่ยก็ได้รับรู้ความจริง
ตัวเขาเองยอมอดอยากไม่กินไม่ดื่ม หวังจะดูแลภรรยาและลูกสาวให้ดี แต่ใครจะรู้ว่าพ่อแม่ของเขากลับทำตรงกันข้าม ปากบอกว่ารักและดีกับลูกสะใภ้และหลานสาวมากแค่ไหน แต่ลับหลังกลับทารุณคนที่เขารักที่สุด
หลี่หวังเหล่ยเป็นคนทำอะไรเด็ดขาดมาตลอด ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้ขึ้นเป็นผู้นำตั้งแต่อายุยังน้อยแม้ว่าเจ้าของร่างเดิมจะไม่ได้ไป เขาก็คิดว่าจะพาภรรยาและลูกสาวมาอยู่ด้วยกันในเดือนหน้า ใครจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องขึ้น
หลี่หวังเหล่ยกลับบ้านไปและก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โต ที่บ้านเกิดนั้นเขาสร้างความอื้อฉาวอย่างมาก ถึงขนาดตัดขาดการติดต่อกับคู่สามีภรรยาสูงอายุของตระกูลหลี่
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือแม่ของเจ้าของร่างเดิมก็เสียชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บในที่สุดนี่ก็เป็นเหตุผลที่หลี่เฟยฮวาข้ามเวลามาเกือบสองปีแล้วแต่ยังไม่เคยพบกับคู่สามีภรรยาสูงอายุตระกูลหลี่
เมื่อได้ยินเสียงตำหนิอย่างหนักแน่นของชายชรา
หลี่เฟยฮวาก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นจึงถามว่า “พวกคุณเป็นใครกัน?”
คู่สามีภรรยาสูงอายุตระกูลหลี่ชะงักไปครู่หนึ่ง คำพูดต่อไปของหลี่ลู่เสียนก็ติดอยู่ที่ลำคอ
“สหายลี่เซียนเหมย เธอพาพวกเขาเข้ามา เธอรู้จักพวกเขาเหรอ?”
ลี่เซียนเหมยอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความงุนงง “นี่ไม่ใช่คุณปู่คุณย่าของคุณหรอกเหรอ?”
หลี่เฟยฮวาสีหน้าเปลี่ยนเป็นดำมืดในทันที “อะไรนะ? คุณปู่คุณย่าของฉัน? แต่พ่อของฉันตัดขาดความสัมพันธ์กับคุณปู่คุณย่าไปตั้งแต่สิบปีก่อนแล้วนะ”
พูดจบ หลี่เฟยฮวาขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วอีกอย่าง พวกเขาบอกว่าเป็นคุณปู่คุณย่าของฉันก็เป็นเลยเหรอ? มีหลักฐานไหม?”
“สหายลี่เซียนเหมย เธอกำลังทำร้ายฉันนะ รู้ตัวไหม?”
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่มีคนมากมาย หลี่เฟยฮวาตั้งใจพูดเสียงดังขนาดนี้ ทำให้ทุกคนหยุดเดิน
นักศึกษาส่วนใหญ่ในตึกนี้รู้จักหลี่เฟยฮวา บางส่วนเป็นเพื่อนร่วมคณะ อีกส่วนหนึ่งรู้จักเธอเพราะหลี่เฟยฮวาหน้าตาดี
เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ล้วนเป็นของที่หาซื้อได้ยากที่สุดในร้านสหกรณ์ เพียงแค่เธอยืนอยู่ตรงไหน คนอื่นก็จำเธอได้
ปกติแล้วหลี่เฟยฮวาเป็นคนอัธยาศัยดี ผู้คนแทบไม่เคยเห็นหลี่เฟยฮวาโกรธเลยดังนั้นสายตาของทุกคนจึงจับจ้องไปที่หลี่เฟยฮวาและลี่เซียนเหมย
ลู่ซือเจี้ยและตู้เจียวเหม่ยก็แทรกตัวเข้ามาจากด้านนอกของฝูงชน เมื่อเห็นว่าเป็นลี่เซียนเหมยทั้งสองคนก็ขมวดคิ้ว
ลู่ซือเจี้ยพูดตรง ๆ “ลี่เซียนเหมย ทำไมถึงเป็นเธออีกล่ะ? หลี่เฟยฮวาไม่ได้บอกให้เธอเลิกไปรบกวนเธอแล้วหรอ ไม่งั้นทุกครั้งคนที่ไม่รู้เรื่องก็จะคิดว่าหลี่เฟยฮววาของพวกเรากำลังรังแกเธอนะ”
ก่อนหน้านี้ลี่เซียนเหมยก็เคยพูดจาประชดประชันมาบ้าง แต่ลู่ซือเจี้ยเป็นคนหัวทึบ ไม่สามารถเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของลี่เซียนเหมยได้เลย
ทว่าบางครั้ง ลู่ซือเจี้ยก็มองเห็นจุดบอดในท่าทีของลี่เซียนเหมยได้อย่างชัดเจน ขณะที่ตู้เจียวเหม่ยพยายามระมัดระวังทุกอย่างอยู่เสมอ แต่ลี่เซียนเหมยกลับไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้เลย จนกระทั่งลี่เซียนเหมยขี้เกียจจะพูดอะไรกับพวกเขาทั้งสอง
ในหอพัก ลี่เซียนเหมยมักจะแสดงออกด้วยการกลอกตาใส่พวกเธออย่างไม่แยแสแทน
แม้ว่าลู่ซือเจี้ยจะเคยกลัวอิทธิพลของครอบครัวลี่เซียนเหมยอยู่บ้าง แต่ในเวลาต่อมาเธอก็เริ่มเข้าใจว่า ลี่เซียนเหมยไม่ได้มีอำนาจมากมายอย่างที่ตัวเองพยายามแสดงออก จนถึงจุดที่หากลี่เซียนเหมยทำให้ลู่ซือเจี้ยไม่พอใจ ลู่ซือเจี้ยก็ไม่ลังเลที่จะเปิดปากโต้เถียงกลับทันที
ลี่เซียนเหมยถูกลู่ซือเจี้ยพูดต่อหน้าคนมากมายแบบนี้ สีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ ได้แต่พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “แต่สิ่งที่พวกเขาพูดก็ตรงกันหมดนะ”
หลี่เฟยฮวาหันหน้าไปเล็กน้อย แล้วถามว่า “พวกเขาพูดตรงกับอะไร มีรูปถ่ายไหม ในเมื่อเป็นคุณปู่คุณย่าแท้ ๆ ของฉัน ก็ควรจะมีรูปถ่ายของฉันก่อนมาสอบถามข่าวคราวของฉันสิ แล้วอีกอย่าง ถ้าเป็นคุณปู่คุณย่าของฉันจริง ทำไมไม่ไปที่บ้านฉันโดยตรงล่ะ”
ลี่เซียนเหมย “…”
ลี่เซียนเหมยพูดไม่ออกแล้วสองผู้สูงอายุจากตระกูลหลี่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มมีสีหน้าเขียวคล้ำ
โดยเฉพาะหลี่ห่าวอี้ เขาชี้นิ้วตรงไปที่หลี่เฟยฮวาพร้อมด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรง
“แกมันเป็นแค่สุนัขลืมคุณ! ก่อนหน้านี้เลี้ยงแกมาสิบปีเหมือนให้อาหารหมาเสียเปล่า ตอนนี้พอได้มาอยู่ในเมืองใหญ่ แต่งงานแล้วก็เริ่มหยิ่งยโสใช่ไหม! ฉันจะบอกให้ชัด ๆ ไม่ว่ายังไง ฉันก็ยังเป็นปู่ของแกอยู่ดี!”
หลี่เฟยฮวายังคงพูดเหมือนเดิม “ขอโทษนะคะ เมื่อสองปีที่แล้วฉันเคยได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ จำอะไรหลาย ๆ อย่างไม่ได้ ถ้าคุณคิดจริง ๆ ว่าฉันเป็นหลานสาวของคุณ คุณต้องแสดงหลักฐาน ไม่อย่างนั้นฉันจะต้องแจ้งตำรวจแล้วล่ะ”
พอได้ยินว่าจะแจ้งตำรวจ ไม่รู้ทำไม สองผู้สูงอายุจากตระกูหลี่ก็ขี้ขลาดขึ้นมาทันที
ในขณะที่คำพูดของหลี่เฟยฮวาทำให้หลี่ห่าวอี้โกรธจัดอย่างสิ้นเชิง ทันใดนั้นเขาก็ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วยกมือขึ้นสูงเตรียมตบ
หลี่เฟยฮวาระวังคนกลุ่มนี้ที่อยู่ตรงหน้าตั้งแต่แรก ดังนั้นเมื่อหลี่ห่าวอี้ตบลงมา หลี่เฟยฮวาก็รีบถอยหลังไปสองก้าวอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่าหลี่ห่าวอี้ไม่คิดว่าหลี่เฟยฮวาจะถอยหลัง เขาจึงใส่แรงทั้งหมดไว้ที่มือ ผลคือเพราะแรงเฉื่อยทำให้ทั้งตัวเซไปข้างหน้าหลายก้าว เดินโซเซไปหลายก้าวกว่าจะทรงตัวได้
เมื่อเห็นว่าหลี่เฟยฮวากล้าหลบ หลี่ห่าวอี้โกรธจนตัวสั่น “แกกล้าหลบงั้นเหรอ!”
หลี่เฟยฮวารู้สึกงุนงงอย่างไม่เข้าใจ “คุณกำลังจะตีฉัน ทำไมฉันจะไม่หลบล่ะ!”
เธอไม่ใช่เจ้าของร่างเดิมซะหน่อย
ก่อนหน้านี้ เหตุผลที่เจ้าของร่างเดิมไม่หลบหนีเพราะเธอและแม่ของเธอไม่สามารถหลบหนีได้ แม้ว่าจะหลบหนีได้ สิ่งที่ได้รับกลับมาก็จะเป็นเพียงการถูกทุบตีอย่างรุนแรงยิ่งขึ้นเท่านั้นแต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน
ทว่าหลี่เฟยฮวาคนนี้ไม่เคยเป็นคนที่ยอมยืนนิ่งให้คนอื่นทำร้าย ยิ่งไปกว่านั้นยุคสมัยก็เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนั้นเจ้าของร่างเดิมยังเด็กเกินกว่าจะต่อสู้ได้ แต่ตอนนี้เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ในขณะที่คู่สามีภรรยาสูงอายุตระกูลหลี่ก็แก่ชราลงแล้ว
หลี่เฟยฮวามองด้วยสายตาเย็นชา “ลองแตะต้องฉันอีกสักครั้งสิ ถ้าพวกคุณกล้าทำอีก ฉันจะให้เพื่อนร่วมชั้นแจ้งตำรวจทันที!”
หลี่ห่าวอี้ไม่กลัว เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าการตีหลานสาวแท้ๆ ของตัวเองจะผิดกฎหมาย “วันนี้ฉันจะสั่งสอนแกให้หลาบจำ นังหลานเนรคุณ!”
พูดจบ หลี่ห่าวอี้ก็ยกไม้เท้าขึ้นมา พร้อมจะฟาดลงบนตัวของหลี่เฟยฮวา
ลู่ซือเจี้ยเห็นว่าเรื่องไม่ดีแน่ จึงรีบวิ่งไปตามอาจารย์ที่ปรึกษา
ส่วนตู้เจียวเหม่ยก็ยืนอยู่ข้าง ๆ ฟลี่เฟยฮวาคอยช่วยเพื่อนตนเอง ห้ามปรามคู่สามีภรรยาสูงอายุตระกูลหลี่โดยไม่ได้เกรงใจอีกฝ่าย
เมื่อเห็นไม้เท้ากำลังจะฟาดลงมา หลี่เฟยฮวาก็ยื่นมือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บออกไปจับไว้ทันที พร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วพูดว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ทุกคนต่างเห็นกันหมด ถึงแม้คุณจะเป็นปู่แท้ ๆ ของฉัน ก็คงต้องไปนั่งที่สถานีตำรวจสักหน่อยแล้วละ”
“พูดเหลวไหล! ปู่ย่าสั่งสอนหลานสาว มันเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าหน้าที่พวกนั้นด้วย!”
MANGA DISCUSSION