บทที่ 18 โอกาสมาถึงมือ
หลี่เฟยฮวายกมือขึ้นเกาหัวแกรก ๆ พลางกะพริบตาปริบ ๆ เธอไม่ค่อยรู้ราคาสินค้าในยุคนี้มากนัก จึงประมาณราคาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
“อืม… ฉันไม่แน่ใจว่าของพวกนี้มีขายในประเทศหรือเปล่า” เธอพูดพลางทำท่าครุ่นคิด “ถ้าเป็นของต่างประเทศ น่าจะไม่เกินสี่ร้อยหยวนมั้งคะ?”
เมื่อได้ยินราคานี้ อู่ไฉวั่งก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก หน้าตาสดใสขึ้นมาทันที
“ตกลง!” เขาตอบรับอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจ
“งั้นฉันจะลองซ่อมเครื่องสีข้าวให้ใช้ได้ไปพลาง ๆ ก่อนแล้วกันนะคะ” หลี่เฟยฮวาเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีคำถามอะไรแล้ว จึงก้มหน้าลงเริ่มซ่อมอย่างจริงจัง ราวกับนักรบที่กำลังจะเข้าสู่สนามรบ
แต่พอเห็นสภาพมอเตอร์ที่เสียหายหนัก เธอก็อดสบถด่าพ่อค้าเลวไม่ได้ ก่อนจะสูดหายใจลึก ๆ แล้วก้มหน้าก้มตาซ่อมต่อ
การซ่อมเครื่องจักรเป็นงานหนัก หลี่เฟยฮวาแทบจะถอดชิ้นส่วนทั้งหมดที่ถอดได้ออกมาดู ราวกับกำลังเล่นเกมต่อจิ๊กซอว์ชิ้นเล็ก ๆ นับพันชิ้น
จุดที่พอจะซ่อมได้นั้นอยู่ในที่ซ่อนเร้น จึงไม่แปลกที่ช่างชาวดัตช์จะบอกว่าทำอะไรไม่ได้ต้องเปลี่ยนใหม่
หลังจากประกอบมอเตอร์เสร็จ ความเมื่อยล้าปวดเอวปวดหลังก็ถาโถมเข้ามาทันที
“น่าจะใช้ได้แล้ว ลองเปิดดูสิคะ” หลี่เฟยฮวาบอกอู่ไฉวั่งพลางกุมเอวไว้ ท่าทางเหมือนคนแก่ปวดหลัง
อู่ไฉวั่งรีบไปเปิดปุ่มทำงานของเครื่องสีข้าวอย่างตื่นเต้น ราวกับเด็กน้อยที่กำลังจะได้เปิดของขวัญวันเกิด ไม่นานเสียงครืน ๆ ก็ดังขึ้นรอบ ๆ
“มันทำงานแล้ว!” เขาตะโกนลั่นด้วยความดีใจ ใบหน้าแดงก่ำเพราะความตื่นเต้น
วันนี้ช่างเป็นวันที่น่าจดจำจริง ๆ เขารีบสั่งให้คนงานกลับไปทำงานต่อ ก่อนจะล้วงเงินสามร้อยหยวนออกมา ยื่นให้หลี่เฟยฮวาพร้อมรอยยิ้มกว้าง
หลี่เฟยฮวาตาโตด้วยความประหลาดใจ “มันเยอะมากเลยนะคะ ฉันแค่ซ่อมนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
แต่อู่ไฉวั่งตั้งใจไว้แล้ว เขาพยายามยัดเงินใส่มือเธอ
“เก็บไว้เถอะ วันนี้เธอช่วยโรงสีข้าวฉันไว้นะ! ครั้งหน้าฉันก็ยังต้องรบกวนเธออีก”
หลี่เฟยฮวารับเงินไว้ในที่สุด นี่เป็นเหมือนรายได้แรกจากการทำงานพิเศษของเธอในร่างนี้ หัวใจจึงเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข
อู่ไฉวั่งอาสาจะไปส่งพวกเธอที่บ้าน แต่หลี่เฟยฮวารีบปฏิเสธทันควัน
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณแค่ไปส่งพวกเราที่ตลาดในเมืองก็พอ” หญิงสาวรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย อีกอย่างเธอยังมีของที่อยากซื้อก่อนกลับบ้าน
อู่ไฉวั่งก็ไม่ได้ขัด ก่อนจะเชิญหลี่เฟยฮวาและจางอี้เฉินขึ้นรถ
รถจากัวร์สีแดงเข้มพาพวกเขามาจอดที่หน้าร้านหนีห่าวเมี่ยนเถียวในเวลาบ่ายสามโมง หลี่เฟยฮวาเขียนที่อยู่ลงบนกระดาษแผ่นเล็ก ๆ แล้วยื่นให้เขา
“คุณมาหาฉันที่หมู่บ้านทหารได้นะคะ ถ้าชิ้นส่วนมาถึง”
อู่ไฉวั่งเหลือบมองที่อยู่บนกระดาษ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
“เธอแต่งงานแล้วหรือนี่!?” เขาอุทานเสียงหลง
“ใช่ค่ะเถ้าแก่ สหายหลี่เฟยฮวาแต่งงานแล้ว สามีของเธอเป็นทหาร เขาดูแลเธอเป็นอย่างดีมากเลยนะคะ” จางอี้เฉินตอบอย่างรวดเร็ว จนหลี่เฟยฮวาไม่ทันคาดคิด
“ฉันเพิ่งแต่งงานน่ะค่ะ” หลี่เฟยฮวาเห็นสายตาที่มองมาอย่างมีเลศนัยของจางอี้เฉินก็รู้สึกจนใจ พี่สาวคนนี้ได้ทีก็เอาใหญ่ อวดหวงหมิงลู่ราวกับว่าเขาเป็นน้องเขยดีเด่น
อู่ไฉวั่งพยักหน้าหัวเราะ ก่อนจะพูดติดตลก “นอกจากเธอจะเป็นยอดยุทธแล้ว ยังเจอกับสามีที่ดีด้วย ช่างโชคดีจริง ๆ”
หลี่เฟยฮวาไม่เพียงแต่พูดได้หลายภาษาราวกับกลืนพจนานุกรมเข้าไป เธอยังซ่อมเครื่องสีข้าวได้อีก เรียกได้ว่าเธอเป็นคนมีความสามารถ
การที่เธอมีสามีที่ดี จึงนับเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะเขาจะต้องสนับสนุนเธอในทุกเรื่องแน่นอน
“แล้วเธอมีงานทำหรือยังล่ะ?” อู่ไฉวั่งถามต่อ ความอยากรู้อยากเห็นยังไม่จางหาย
“ตอนนี้ฉันยังไม่มีงานทำค่ะ” หลี่เฟยฮวาตอบตามความจริง ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในร่างนี้เธอก็เจอแต่เรื่องให้ปวดหัว ไม่มีเวลาได้คิดถึงเรื่องการหางานเลย กระทั่งได้มาซ่อมเครื่องสีข้าวให้อู่ไฉวั่ง
“ยังไม่มีเหรอ?” อู่ไฉวั่งเลิกคิ้ว หากหลี่เฟยฮวายังว่างงาน ความสามารถของเธอก็เหมือนปล่อยทิ้งไปเปล่า ๆ “อยากได้งานแบบไหนล่ะ?”
หลี่เฟยฮวามองเห็นความหวังเล็ก ๆ จากคำถามของเถ้าแก่ เธอตอบออกไปด้วยท่าทางมั่นใจ “ขอแค่มีงานที่เหมาะสม ฉันก็พร้อมจะลุยทุกอย่างค่ะ!”
อู่ไฉวั่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะผุดไอเดียขึ้นมา “เอางี้สิ! ฉันเห็นว่าเธอมีความรู้ด้านภาษาต่างประเทศและแปลได้ดี ฉันมีเพื่อนอยู่ที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง เดี๋ยวฉันจะลองถามเขาดูว่าขาดคนหรือเปล่า ไม่แน่อาจได้แปลหนังสือเทคโนโลยี หรือนิยายวิทยาศาสตร์ก็ได้นะ!”
ดวงตาของหลี่เฟยฮวาเป็นประกายวิบวับ “โอ้โห! ขอบคุณมากเลยค่ะเถ้าแก่!”
อู่ไฉวั่งยิ้มกว้าง “ไม่เป็นไร ๆ ฉันจะบอกทางสำนักพิมพ์ให้ แต่จะเข้าทำงานได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของเธอเองนะ อย่าลืมเตรียมประวัติไว้ด้วยล่ะ!”
หลี่เฟยฮวาพยักหน้าอย่างมุ่งมั่น ดวงตาเป็นประกายด้วยความตั้งใจแน่วแน่
หลังจากพูดคุยกันเสร็จแล้ว เธอก็กล่าวขอบคุณอู่ไฉวั่งอย่างเป็นมิตร ก่อนจะลากันเพื่อไปทำธุระของตัวเอง
หลี่เฟยฮวายืนอยู่หน้าร้านขายบะหมี่สุดหรู พลางนึกถึงสิ่งที่เธอต้องการจะซื้อ จึงหันไปบอกจางอี้เฉินที่อยู่ข้าง ๆ
“พี่อี้เฉิน ช่วยพาฉันไปที่ร้านขนมหน่อยได้ไหมคะ?”
หลี่เฟยฮวาใช้เวลาอยู่ที่ร้านขนมสักพัก ก่อนจะเดินมายังจุดรอรถ พอดีกับที่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น รถของกองทัพเตรียมจะออกตัวกลับหมู่บ้านครอบครัวทหาร ราวกับโชคชะตากำลังเร่งเร้าให้เธอออกเดินทาง
หลี่เฟยฮวาพบว่าเธอสามารถขึ้นรถได้ด้วยตัวเอง ภาพเหตุการณ์เมื่อเช้าตอนที่ถูกใครอีกคนอุ้มขึ้นมาพลันแวบเข้ามาในหัว เธอเม้มปากแน่น พยายามสงบใจที่อยู่ ๆ ก็เต้นรัว หวงหมิงลู่ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลย จริง ๆ แล้วเธอก็ขึ้นได้นี่นา เพียงแต่ลำบากหน่อยเท่านั้นเอง
หลี่เฟยฮวาหันไปมองนอกหน้าต่าง ไล่ความคิดชวนฟุ้งซ่านเหล่านั้นออกจากหัว
จางอี้เฉินสังเกตเห็นเธออมยิ้ม ก็รู้สึกอยากแซวขึ้นมา “หลี่เฟยฮวา เธอกำลังคิดถึงหวงหมิงลู่อยู่เหรอ”
หลี่เฟยฮวาได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับสะดุ้ง แม้การแต่งงานของเธอกับเขาจะไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความรัก แต่ทั้งสองคนก็เป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน ดังนั้น เธอไม่จำเป็นที่จะต้องปฏิเสธ
“คนเป็นสามีภรรยากันก็ต้องคิดถึงกันเป็นธรรมดาสิคะ”
“แหม ขนมที่เธอซื้อคงจืดชืดไปหมดแล้วล่ะ” จางอี้เฉินเห็นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน ก็รู้สึกดีใจตามไปด้วย
หลี่เฟยฮวายิ้มให้กับจางอี้เฉินแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอหันออกไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง มองดูสิ่งต่าง ๆ ขณะที่รถแล่นผ่านถนนในกรุงปักกิ่ง
ตอนนี้ยังไม่มีตึกระฟ้าสูงทะลุเมฆ ไม่มีรถไฟความเร็วสูง แต่เธอรู้ดีว่าอีกไม่นาน ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
เป้าหมายในใจของหลี่เฟยฮวาชัดเจนขึ้นทุกขณะ เธอจะนำพาการวิจัยและเทคโนโลยีล้ำสมัยมาสู่ยุคนี้ ทำให้ประเทศจีนก้าวกระโดดสู่ความเจริญรุ่งเรือง!
ความมุ่งมั่นและความฝันอันยิ่งใหญ่จุดประกายหัวใจของหลี่เฟยฮวา เธอพร้อมแล้วที่จะเผชิญกับความท้าทายทุกอย่างที่รออยู่เบื้องหน้า
ฤดูหนาวมักจะมืดเร็วกว่าปกติ ตอนที่หลี่เฟยฮวามาถึงหมู่บ้านครอบครัวทหาร ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มแล้ว ข้างถนนยังมีหิมะที่กวาดไม่เสร็จ ราวกับพรมขาวที่ปูไว้ต้อนรับการกลับมาของเธอ
พอลงจากรถและโบกมือลาจางอี้เฉินแล้ว หัวใจของหลี่เฟยฮวาก็เต้นแรงขึ้นทันที เมื่อเห็นร่างสูงโปร่งยืนตระหง่านอยู่ที่ประตูหมู่บ้าน
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ใบหน้าคุ้นเคยก็ปรากฏชัดขึ้นในสายตาของเธอ
MANGA DISCUSSION