บทที่ 176 เพื่อนเก่ามาเยี่ยม
พูดถึงเรื่องนี้กู้ป๋อเหวินก็รู้สึกเศร้ามาก เขาคิดมาตลอดทั้งสัปดาห์ว่าถ้าเขาอายุมากกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงจะดี
เขาฉลาดขนาดนี้ น่าจะสามารถเรียนจบเร็วกว่าปกติได้สักหลายปี ถ้าเป็นแบบนั้นก็อาจจะได้เรียนโรงเรียนเดียวกับหลี่เฟยฮวา
แต่หลังจากที่เขาตรวจสอบแล้วถึงได้รู้ว่าโรงเรียนของหลี่เฟยฮวารับคะแนนสูงมาก ถึงแม้ว่าเขาจะเรียนยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวันโดยไม่หยุดพัก ก็ยังไล่ตามหลี่เฟยฮวาไม่ทันเมื่อเขาเรียนจบมหาวิทยาลัยหลี่เฟยฮวา อาจจะเรียนจบปริญญาเอกไปแล้วก็ได้
หลี่เฟยฮวารู้สึกขำเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของกู้ป๋อเหวิน
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเด็กน้อยพูดพึมพำ ไม่คิดว่าจะน่าสนใจขนาดนี้
“ไม่เป็นไรหรอก พอถึงเวลาที่เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ บางทีฉันอาจจะสอนเธอเรียนได้ด้วย แบบนี้ก็ดีไม่ใช่เหรอ?”
กู้ป๋อเหวินคิดแล้วก็รู้สึกว่ายังพอรับได้
“งั้น…หลี่เฟยอย่าเพิ่งเรียนจบเร็วนัก รอฉัน”
หลี่เฟยฮวา “…” เป็นครั้งแรกที่มีคนขอให้เธอเรียนซ้ำชั้น
หลี่เฟยฮวาไม่รู้จะพูดอะไรดีในตอนนั้น
แต่ในที่สุดเธอก็ตกลงกับกู้ป๋อเหวินหลังจากคุยกับเด็กชายเธอสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ากู้ป๋อเหวินมีความสุขขึ้นบ้าง
ต่อหน้าเธอ กู้ป๋อเหวินไม่ต่างอะไรจากเด็กปกติทั่วไปเขาจะเอาใจเธอเหมือนเด็กคนอื่น ๆ บอกเล่าความไม่สบายใจให้เธอฟัง และยังจะบ่นพึมพำด้วย
ถ้ากู้เจียอีรู้ว่าลูกชายของเขาจะบ่นพึมพำได้ ไม่รู้ว่าจะดีใจแค่ไหน
หลี่เฟยฮวาวางสายโทรศัพท์แล้วเดินวนเวียนอยู่แถวนั้น
เวลานั้นการฝึกของเหล่าทหารสิ้นสุดลงพอดี หลี่เฟยฮวาเดินไปพบหวงหมิงลู่ที่ทางเข้าสนามฝึก
หวังอวี่ชุนเดินมาด้วยกันกับหวงหมิงลู่เห็นหลี่เฟยฮวายืนอยู่ตรงนั้น จึงส่งสายตาให้เล็กน้อย แล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “พี่สะใภ้มาแล้ว ฉันไปก่อนนะ”
หวงหมิงลู่พยักหน้าให้เพื่อน ก่อนจะเดินตรงมาหาหลี่เฟยฮวาอย่างรวดเร็ว “ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?”
หลี่เฟยฮวาตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “ฉันเขียนแผนการสอนภาษาอังกฤษเสร็จไปบางส่วน เหนื่อยเลยออกมาเดินเล่น เมื่อกี้โทรคุยกับกู้ป๋อเหวินมา เจ้าตัวน้อยบอกว่าไม่มีความสุขที่โรงเรียน”
คำพูดของหลี่เฟยฮวาฟังดูเหมือนเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั่วไป แต่สำหรับหวงหมิงลู่แล้ว เสียงของเธอกลับฟังไพเราะเป็นพิเศษ
เงาของทั้งสองทอดยาวใต้แสงไฟริมถนน ราวกับเป็นคู่สามีภรรยาที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาอย่างยาวนาน เดินเคียงข้างกลับบ้านหลังเลิกงาน จนกระทั่งเงาของพวกเขาหายลับไปยังปลายขอบฟ้า
…
วันที่ลี่เซียนเหมยและลี่จางเหว่ยมาเยี่ยม ตรงกับวันหยุดพอดีของหวงหมิงลู่
หลี่เฟยฮวาตื่นเช้าตามปกติ หลังจากอ่านหนังสือเสร็จในช่วงเช้า เธอก็เริ่มช่วยสอนภาษาอังกฤษให้หวงหมิงลู่
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
หวงหมิงลู่ลุกไปเปิดประตู เมื่อเห็นลี่จางเหว่ยที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ซึ่งไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก แต่ด้วยความจำที่ดี เขาจำได้ทันทีว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นใคร
“ลี่จางเหว่ย?” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความระแวดระวังเล็กน้อย
ลี่จางเหว่ยยิ้มกว้าง สีหน้าดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากไม่ได้เจอกันนานถึงสิบกว่าปี หวงหมิงลู่จะยังจำเขาได้ทันที
“ใช่ เกือบจำไม่ได้เลย แต่คุณไม่เปลี่ยนไปเลยจากเมื่อสิบกว่าปีก่อน”
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างรวดเร็ว ความคุ้นเคยที่เคยมีในอดีตกลับคืนมาในเวลาไม่นาน
แม้หวงหมิงลู่จะไม่ได้เก่งเรื่องการเข้าสังคมมากนัก แต่เมื่อเขาได้ติดต่อกับใครแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองมักจะพัฒนาดีขึ้นอย่างแน่นอน
สำหรับหวงหมิงลู่ ลี่จางเหว่ยคือเพื่อนร่วมรบที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตั้งแต่เข้ากองทัพใหม่ ๆ ในช่วงเวลานั้น ทุกอย่างไม่ได้สะดวกสบายเหมือนในปัจจุบัน แม้สงครามจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ในอดีตพวกเขายังต้องเผชิญกับภารกิจเสี่ยงตายมากมาย
หลังจากผู้บังคับกองพันจากไป หวงหมิงลู่เคยพยายามติดต่อกับลี่จางเหว่ย แต่ในเวลานั้นเขาไม่มีช่องทางใด ๆ การจากลาครั้งนั้นจึงกินเวลายาวนานถึงสิบกว่าปี
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน หลี่เฟยฮวาที่ได้ยินเสียงดังจากหน้าประตูก็เดินออกมาดู เมื่อเห็นลี่จางเหว่ย เธอถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง
แม้เวลาจะผ่านไป แต่เธอก็จำได้ทันทีว่าชายวัยกลางคนตรงหน้าคือนายพลผู้มีชื่อเสียงในอนาคต ในช่วงหนึ่งเขาเคยเป็นที่กล่าวขานเพราะภาพถ่ายขณะสวมเครื่องแบบในวัยหนุ่ม
ต่อมาในบั้นปลายชีวิต ลี่จางเหว่ยได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ พร้อมด้วยลูกหลานมากมายที่ล้อมรอบ
หวงหมิงลู่เองก็ไม่คิดว่าจะได้พบกับอีกฝ่ายในสถานการณ์เช่นนี้ และไม่นานนัก หลี่เฟยฮวาก็ตระหนักถึงบางอย่างที่ดูไม่ชอบมาพากล
ลี่เซียนเหมย…
ขณะหลี่เฟยฮวากำลังครุ่นคิด เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง และลี่เซียนเหมยก็โผล่เข้ามาที่หน้าประตูพอดี
เธอยิ้มหวาน มองไปที่หวงหมิงลู่ก่อนจะเหลือบสายตามาทางหลี่เฟยฮวา “หลี่เฟยฮวา”
สุภาษิตกล่าวไว้ว่า ‘ยื่นมือไม่ตีคนยิ้ม’ *[1] แต่รอยยิ้มของลี่เซียนเหมยกลับทำให้หลี่เฟยฮวารู้สึกเหมือนเธอกำลังแสร้งทำ
“เราไม่สนิทกัน ต่อไปเรียกฉันว่าสหายหลี่ก็พอ” หลี่เฟยฮวาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่หนักแน่น
แม้เธอจะยอมรับว่าหวงหมิงลู่กับลี่เซียนเหมยเป็นเพื่อนกัน แต่เธอก็ยังคงต้องระมัดระวังท่าทีของอีกฝ่าย และยิ่งไปกว่านั้น หลี่เฟยฮวายังชื่นชมในตัวลี่จางเหว่ย นายพลอาวุโสผู้มากความสามารถในอนาคต
ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมปล่อยให้ใครเข้ามาทำให้ตัวเองต้องเสียเปรียบ
ลี่เซียนเหมยที่พยายามแสดงท่าทางเป็นสาวหวาน แต่ขาดทักษะอย่างสิ้นเชิง เมื่อถูกหลี่เฟยฮวาปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้ เธอจึงรู้สึกอึดอัดทันที
เธอพยายามรักษารอยยิ้มของตัวเอง แต่ในใจกลับรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง
แต่อย่างไรก็ตาม เธอก็อยู่ในเขตทหารมาหลายปี หลังจากความอึดอัดผ่านไป สีหน้าของเธอก็กลับมาเป็นปกติ “หลี่เฟยฮวา ฉันบอกแล้วว่าระหว่างพวกเราต้องมีความเข้าใจผิดแน่ ๆ ก่อนหน้านี้ฉันบอกว่าฉันกับพี่หวงหมิงลู่เคยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่คุณไม่เชื่อ ตอนนี้เราได้เจอกันแล้ว คุณเชื่อฉันแล้วใช่ไหม?”
หลี่เฟยฮวากะพริบตาเร็ว ๆ สองครั้งก่อนจะจ้องมองไปที่ลี่เซียนเหมยด้วยสายตาเคร่งขรึม เธอไม่ได้เอ่ยคำใด แต่เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยในท่าทีที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ราวกับมองอีกฝ่ายจากที่สูงด้วยความเหนือกว่า
ลี่เซียนเหมยเอง แม้จะไม่แสดงอารมณ์ชัดเจน แต่ภายในใจรู้สึกถึงแรงกดดันที่ไม่อาจปฏิเสธได้
เธอเป็นลูกหลานจากตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง พ่อของเธอมีตำแหน่งสูงส่ง เธอเคยชินกับการได้รับการยอมรับและเชิดชูจากผู้คนในทุกที่ที่ไป มีเพียงที่นี่เท่านั้น ที่ทำให้เธอพบกับความรู้สึกพ่ายแพ้ในรูปแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
สายตาของหวงหมิงลู่มองไปยังทั้งสองคนที่กำลังเผชิญหน้ากัน บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความตึงเครียด แม้เขาจะรู้สึกถึงแรงเสียดทานระหว่างพวกเธอ แต่เขายังคงกอดหลี่เฟยฮวาไว้ในอ้อมแขนโดยไม่ทันรู้ตัว ความตื่นเต้นจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะเลือนหายไป
“หลี่เฟยฮวา เธอรู้จักลี่เซียนเหมยด้วยเหรอ?” หวงหมิงลู่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย สายตาของเขาย้ายไปมาระหว่างผู้หญิงสองคนตรงหน้า
คำถามของเขาไม่ได้รับคำตอบจากหลี่เฟยฮวา เธอเพียงยืนนิ่ง มองเขาและลี่เซียนเหมยโดยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ลี่เซียนเหมยทนไม่ไหวจึงตัดสินใจพูดขึ้นแทนด้วยน้ำเสียงสุภาพที่พยายามรักษาความนิ่งไว้
“ฉันกับหลี่เฟยฮวาเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยกันค่ะ เมื่อไม่กี่วันก่อน เราอาจมีเรื่องเข้าใจผิดกันไปบ้าง แต่ตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว ไม่มีอะไรให้กังวลอีกค่ะ”
หลี่เฟยฮวาหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่แววตาของเธอกลับฉายชัดถึงความเย้ยหยัน “นั่นเป็นความคิดของคุณเองสินะ?”
ลี่เซียนเหมยที่เห็นท่าทีเช่นนั้นพยายามควบคุมอารมณ์ ก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หวงหมิงลู่ อย่าเข้าใจผิดนะคะ ฉันได้ทำความเข้าใจทุกอย่างแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความขัดแย้งเล็กน้อย หลี่เฟยฮวาอาจเข้าใจผิด คิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับคุณมีเรื่องอะไรแอบแฝง แต่พวกเราก็แค่เด็กสาวที่อารมณ์ร้อนและมีปากเสียงกันบ้าง”
เธอสูดหายใจลึก ก่อนจะพูดต่อ “ตอนนี้ความจริงก็ปรากฏชัดแล้ว ฉันอยากให้เราปล่อยวางเรื่องในอดีตแล้วกลับมาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเถอะค่ะ ไม่ว่าจะเคยมีอะไรเกิดขึ้น ขอให้มันจบไปตรงนี้ ตกลงไหม?”
[1] ยื่นมือไม่ตีคนยิ้ม หมายความ คนที่มีท่าทีเป็นมิตร ใจดี หรือมีไมตรีให้กับเรา มักจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่รุนแรงกลับ
MANGA DISCUSSION