บทที่ 128 เตรียมตัวสอบ
“เปิดเทอมมานานแล้ว พวกเธอก็ยังไม่ได้เที่ยวเมืองหลวงให้ทั่วเลย พวกเธอสามารถไปดูกำแพงเมืองจีนและพระราชวังต้องห้ามด้วยกันได้นะ”
ลู่ซือเจี้ยและเยว่ซูเม่ยคิดแล้วก็ตกลง ส่วนตู้จื่อเถิงก็พูดขึ้นมาบ้าง
“ฉันก็วางแผนจะพาตู้หลี่เจียงไปกำแพงเมืองจีนเหมือนกัน”
…
หลี่เฟยฮวาจึงถามถึงแผนของลู่อันหยางด้วย เพราะเขาก็ไม่ได้กลับบ้านมาเกือบครึ่งปีแล้ว และคราวนี้วางแผนจะกลับไปเยี่ยมบ้าน ซึ่งเขาก็ได้ซื้อตั๋วไว้ตั้งแต่สามวันก่อนแล้ว
หลี่เฟยฮวาเห็นดังนั้นก็ยัดเสบียงแห้งให้ลู่อันหยาง ตอนที่เขาจะไปเป็นจำนวนประมาณหนึ่ง ทำให้เลู่อันหยางรู้สึกซาบซึ้งมาก เขาน้ำตาคลอและโบกมือลาหลี่เฟยฮวา
เมื่อส่งลู่อันหยางเสร็จ วันหยุดของหลี่เฟยฮวาก็เริ่มขึ้น ส่วนหวงหมิงลู่นั้นมีวันหยุดแค่สามวัน และยังต้องพร้อมรับคำสั่งตลอดเวลา หากมีเหตุอะไรก็ต้องรีบกลับไปทันที ทำให้ทั้งสองคนได้แต่เที่ยวอยู่บริเวณนั้นไม่ไกลมาก
ชาติที่แล้วหลี่เฟยฮวาเติบโตในเมืองหลวง แต่จริง ๆ แล้วไม่เคยไปพระราชวังต้องห้าม กำแพงเมืองจีน หรือทะเลสาบชื่อดังสักครั้ง
หลังจากข้ามเวลามา นี่เป็นครั้งแรกที่มีเวลามากขนาดนี้ หลี่เฟยฮวาจึงบอกสถานที่ที่เธออยากไป ส่วนหวงหมิงลู่ก็ตอบตกลงทันทีโดยไม่ต้องคิด
“คุณก็ไม่เคยไปเหรอ?”
หลี่เฟยฮวารู้สึกตกใจมากเมื่อได้ยินว่า หวงหมิงลู่อยู่ในเเมืองหลวงมาสิบปีแต่ไม่เคยไปสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เลย
“ทำไมคุณถึงไม่เคยไปล่ะ?”
หวงหมิงลู่ตอบอย่างจนใจ “ปกติค่อนข้างยุ่ง ไม่ค่อยมีโอกาสออกไปไหน”
หลี่เฟยฮวารู้ว่าการจัดการในเขตทหารเข้มงวดมาก แค่จะออกนอกเขตก็ต้องขออนุญาตและทำรายงาน ดังนั้นทุกครั้งที่หวงหมิงลู่ขอลาไม่ได้ เธอก็ต้องรออยู่ที่หน้าประตูเขตทหารเท่านั้น
“งั้นถือโอกาสนี้พวกเราต้องเที่ยวให้สนุกเลยนะ”
หวงหมิงลู่ตอบรับเบา ๆ หลี่เฟยฮวาจึงรีบวางแผนเส้นทางอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าเธอไม่ได้อยากไปหลายที่ในวันเดียว เพียงแค่หนึ่งสถานที่ต่อหนึ่งวันก็เพียงพอ จากนั้นก็ค่อยกลับไปมหาวิทยาลัย
หลี่เฟยฮวาใช้เวลาไปกับการอยู่ในห้องสมุดของเขตทหารโดยตรงกับระยะเวลาอีกเพียงแค่สี่วันที่เหลือ
ตอนนี้หวงหมิงลู่เรียนรู้ได้เร็วมาก แม้ว่าการฝึกทุกวันจะเหนื่อยมาก แต่อย่างน้อยเขาก็ยังรักษาเวลาเรียนวันละหนึ่งถึงสองชั่วโมงไว้ได้ ทำให้ในช่วงนี้ภาษาอังกฤษของเขาพัฒนาขึ้นอย่างมาก และหลี่เฟยฮวายังเห็นเพิ่มเติมว่าเขาควรเริ่มเรียนภาษาเยอรมันแล้ว
หลี่เฟยฮวารู้มาตลอดว่าหวงหมิงลู่ฉลาดมาก หากไม่ใช่เพราะครอบครัวฉุดรั้งเขาไว้ ความสำเร็จของหวงหมิงลู่คงไม่น้อยกว่าตอนนี้แน่นอน
“หวงหมิงลู่”
ภายใต้แสงไฟในห้อง สายตาของหวงหมิงลู่ดูลุ่มลึก ทั้งขนตาที่ยาวตรงทอดเงาลงมา ชายหนุ่มเอียงหน้ามองหลี่เฟยฮวาและเอ่ยถามเสียงเบา
“มีอะไรเหรอ?”
หลี่เฟยฮวามองหนังสือในมือของหวงหมิงลู่แล้วถามว่า “คุณยังอยากเรียนต่อไหม?”
คำถามของหลี่เฟยฮวาทำให้หวงหมิงลู่อึ้งไปชั่วขณะ และเห็นได้ชัดจากแววตาว่าคำถามนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดของเขาเลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง หวงหมิงลู่จึงยิ้มพูดว่า “หลี่เฟยฮวา ฉันใกล้จะสามสิบแล้วนะ”
แต่หลี่เฟยฮวากลับส่ายหน้า “ใกล้สามสิบแล้วยังไง อีกตั้ง2-3 ปี ผู้ชายสามสิบยังแจ๋วคุณเคยได้ยินไหม คุณฉลาดขนาดนี้ เรียนสักหนึ่งถึงสองปีไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่แก่หรอก เพื่อนร่วมชั้นของฉันส่วนใหญ่ก็อายุเท่าคุณนี่แหละ ถ้าคุณอยากลองก็ลองดูสิ ไม่ได้เสียหายอะไรหรอกนะ”
หลี่เฟยฮวาพูดพลางดึงแขนเสื้อของหวงหมิงลู่อย่างตื่นเต้น “อนาคตต้องใช้สมองทำงานมากขึ้นแน่นอน คุณก็ต้องแก่สักวัน ถ้ายังอยู่ในกองทัพต่อไปอีกสิบปี คุณก็ต้องพิจารณาย้ายไปทำงานฝ่ายพลเรือนแล้ว ถ้าคุณยกระดับวุฒิการศึกษาขึ้นมา มันจะช่วยอนาคตของคุณได้มากแน่นอน!”
คนเราไม่สามารถทำงานใช้แรงงานไปได้ตลอดชีวิต ตอนนี้หวงหมิงลู่ ยังหนุ่มร่างกายแข็งแรง แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักวันหนึ่งเขาก็จะตามยุคสมัยไม่ทันและอนาคตก็จะยิ่งลำบากมากขึ้น
เมื่อเห็นหวงหมิงลู่ไม่พูดอะไร หลี่เฟยฮวาก็กลัวว่าตัวเองจะพูดผิดและอีกฝ่ายจะเข้าแบบผิด ๆ ไป เธอจึงรีบอธิบาย “ฉันหมายความว่า…”
“ฉันรู้…”
หวงหมิงลู่เอ่ยขัดขึ้นมาทันที
หลี่เฟยฮวาจึงมองสีหน้าของชายหนุ่มที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไรเท่าไหร่ แต่เพราะอยู่ด้วยกันมานาน ก็พอจะรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธจริง ๆ จึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“หลี่เฟยฮวา ฉันรู้ว่าเธอหวังดี”
หวงหมิงลู่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพูดต่อว่า “ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น แต่ที่เธอพูดก็ถูกต้อง ฉันจะเก็บไปคิดอย่างดี”
หลี่เฟยฮวาพยักหน้าหงึก ๆ เหมือนลูกไก่จิกข้าว
หวงหมิงลู่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือออกมาอย่างลังเล เขาลูบศีรษะของหลี่เฟยฮวาเบา ๆ สัมผัสได้ถึงเส้นผมนุ่มลื่นที่แผ่กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่บริสุทธิ์ มือของเขาสั่นน้อย ๆ ราวกับไม่อาจควบคุมความรู้สึกในใจได้ สุดท้ายจึงค่อย ๆ ถอนมือกลับอย่างระมัดระวัง
เขาอธิบายต่อว่า “ช่วงก่อนหน้านี้ทางกองทัพให้โควตามา ทหารระดับร้อยเอกขึ้นไปมีโอกาสสอบเลื่อนขั้นได้หนึ่งครั้ง การสอบจะมีขึ้นในอีกหนึ่งปี ถ้าผ่านการคัดเลือกก็จะได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย ช่วงนี้ฉันกำลังเตรียมตัวอยู่”
หลี่เฟยฮวาดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย “แล้วทำไมคุณถึงไม่บอกฉันเลย ฉันสามารถช่วยคุณได้นะ”
หวงหมิงลู่ “ก่อนหน้านี้ฉันยุ่งมาก ทุกครั้งที่คิดจะพูด ก็ลืมไปเสียทุกที”
“งั้นฉันยกโทษให้คุณแล้ว” หลี่เฟยฮวา พูดโดยไม่ต้องคิด
ที่แท้เวลาเรียนของหวงหมิงลู่ที่ยาวนานขึ้นก็เพราะต้องการเปลี่ยนสายงานนี่เอง
หลี่เฟยฮวาอดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก “พวกคุณต้องสอบอะไรบ้างล่ะ?”
หวงหมิงลยู่พูดอธิบายคร่าว ๆ มีศัพท์เฉพาะทางบางคำที่หลี่เฟยฮวาไม่เข้าใจ แต่เธอก็พยายามจดจำทุกอย่างที่เข้าใจไว้ในความทรงจำ
“หนังสือในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยปักกิ่งมีมากกว่าในเขตทหารมาก ตอนนั้นฉันจะหาหนังสือมาให้คุณอ่านสักสองสามเล่ม”
หลี่เฟยฮวาไม่อยากให้หวงหมิงลู่กดดันมากเกินไป จึงพูดล้อเล่นว่า
“แต่คุณก็ไม่ต้องกดดันมากนะ มีฉันอยู่นี่ ฉันทั้งฉลาดทั้งหาเงินเก่ง เลี้ยงดูคุณไปทั้งชีวิตก็ไม่มีปัญหา”
หวงหมิงลู่เพิ่งเคยได้ยินคนพูดว่าจะเลี้ยงดูเขาเป็นครั้งแรก อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “งั้นฉันก็ต้องพยายามหน่อยแล้ว”
จริง ๆ แล้วก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดจะเปลี่ยนสายงาน แต่ตอนนี้เขามีครอบครัว มีภรรยา การออกปฏิบัติภารกิจระยะยาวมีความไม่ปลอดภัย ดังนั้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขาจึงเริ่มพิจารณาถึงอนาคตของตัวเองเป็นครั้งแรก
พอดีมีโอกาสแบบนี้ เขาจึงจำเป็นต้องคว้าเอาไว้
หลี่เฟยฮวาพูดแล้วทำจริง หลังจากกลับไปมหาวิทยาลัยก็ตรงไปที่ห้องสมุด หาหนังสือมากมายให้หวงหมิงลู่ แล้วพอถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็นำกลับไปให้เขาทั้งหมด
ช่วงเวลาหลังวันหยุดมักเป็นช่วงเวลาที่แสนทรมาน การเรียนที่หนักหน่วงทำให้ทุกคนต่างเหนื่อยล้า และหลี่เฟยฮวาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ทุกเช้าต้องตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง และเมื่อเร็ว ๆ นี้อากาศในเมืองหลวงก็เย็นลง หลี่เฟยฮวาจึงต้องสวมเสื้อไหมพรมตัวโคร่งตั้งแต่เช้า
เสื้อไหมพรมที่หลี่เฟยฮวาสวมใส่นั้นเป็นฝีมือถักทอของจางอี้เฉินถักทีละเข็มด้วยความตั้งใจ พอดีตัวหลี่เฟยฮวาและทุกครั้งที่จางอี้เฉินเห็นก็อุทานว่าหลี่เฟยฮวาเป็นราวแขวนเสื้อเคลื่อนที่
แต่ก่อนจางอี้เฉินชอบทำเสื้อผ้าให้ลูกของตัวเอง แต่ตอนนี้ไม่แล้ว เธอมอง หลี่เฟยฮวาเหมือนน้องสาวแท้ ๆ สิ่งที่ลูกชายของตัวเองอาจไม่มี แต่หลี่เฟยฮวาต้องมีแน่นอน
MANGA DISCUSSION