บทที่ 108 ฉันคือหลี่เฟยฮวา
หลายวันต่อมาหลี่เฟยฮวาได้ติดต่อกับผู้อำนวยการเหวินเทียน
ก่อนหน้านี้ เครื่องบินรบล่องหน E-101 ได้ผ่านการวิจัยจนเสร็จสิ้นแล้ว แต่การจะให้เครื่องบินรบล่องหนไปโลดแล่นบนน่านฟ้าได้ ต้องขึ้นประจำการบนเรือบรรทุกเครื่องบิน ซึ่งแน่นอนว่าต้องเจอกับความท้าทายอีกมาก แม้จะผ่านการทดสอบบินมาแล้วก็ตาม
หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องสายดึงเครื่องบินที่ต้องแก้ไขปรับปรุงกันต่อไป
ยุคนี้หลาย ๆ ประเทศกำลังเห่อเรือบรรทุกเครื่องบินกันใหญ่ เพราะเห็นแอบไปทำวิจัยกันอย่างลับ ๆ แต่จะให้เทียบชั้นพวกขาใหญ่ที่เขานำหน้าไปไกลลิบก็คงยังยากอยู่ เพราะเทคโนโลยีเรือบรรทุกเครื่องบินยากระดับพระกาฬเลยล่ะ!
ส่วนประเทศที่สร้างเองได้จริง ๆ บนโลกใบนี้ก็แทบจะนับนิ้วได้
รู้มั้ย ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?
เพราะมีเทคโนโลยีลับ ๆ ซ่อนอยู่ที่เรียกว่าเป็นคอขวดเลยก็ว่าได้ หนึ่งในนั้นก็คือ “สายดึงเครื่องบิน” นี่แหละ
เจ้าสิ่งนี้แหละตัวดี!
ตอนนี้สองยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตครองตลาดสายดึงเครื่องบินอยู่ ใครอยากได้ก็ต้องมาซื้อกับพวกเขาเท่านั้นแหละ เพราะเทคโนโลยีมันล้ำหน้าเกินกว่าใครจะลอกเลียนแบบได้
แถมตอนนี้เศรษฐกิจโลกก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก กว่าจะกลับมาเฟื่องฟูเหมือนเดิม คงต้องใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ อย่างน้อยก็สองสามปีเห็นจะได้
แน่นอนว่าสายดึงเครื่องบินแพงหูฉี่ เพระาเส้นนึงตั้ง 150,000 ดอลลาร์แถมยังใช้ได้เพียงแค่ 80 ครั้งเท่านั้น หากจะใช้เกินกว่านี้ก็ต้องเปลี่ยนใหม่แล้ว
หลี่เฟยฮวาถึงกับต้องกุมขมับเลยล่ะตอนที่รู้เรื่องนี้
เธอจึงมีความคิดดี ๆ ขึ้นมาว่า “เราสร้างสายดึงเครื่องบินขึ้นมาเองกันดีกว่า!”
การมาถึงของหลี่เฟยฮวาเป็นไปอย่างราบรื่น เธอได้ที่พักใหม่ แถมยังได้ผู้ช่วยคนเก่งอย่างคุณป้าจงใจดีมาช่วยงานอีกต่างหาก ทีนี้แผนการลับสุดยอดของเธอที่จะทลายตลาดสายดึงเครื่องบินก็เริ่มขึ้น!
หลี่เฟยฮวานึกถึงเรื่องตลกสมัยก่อน ที่ประเทศจีนเคยต้องนำเข้าสายดึงเครื่องบินราคาแพงจากต่างประเทศ แต่พอตรวจสอบดูก็พบว่าสายดึงเครื่องบินพวกนั้นดันผลิตในประเทศจีนตั้งแต่แรก
แถมยังขายแพงกว่าเดิมหลายเท่าอีกต่างหาก งานนี้ทำเอาฮือฮากันทั้งประเทศ จนต้องมีการตรวจสอบภาคเอกชนครั้งใหญ่
ผลปรากฏว่าเจอของดีที่ “ซ่อนเร้น” ไว้เพียบ ทั้งสีเคลือบล่องหน โดรนส่งอาหาร อุปกรณ์ตกปลา ฯลฯ เรียกว่างานนี้ได้เห็นธาตุแท้ของบริษัทเอกชนกันเต็ม ๆ
“ไม่ต้องห่วงค่ะ!” หลี่เฟยฮวาประกาศกร้าวในที่ประชุม
“แค่สายดึงเครื่องบินเอง ง่ายมาก! เรียกบริษัทเอกชนมารวมตัวกันเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะเป็นผู้ให้เทคโนโลยีนี้เอง รับรองว่าภายในเดือนครึ่ง เราจะผลิตสายดึงเครื่องบินคุณภาพระดับเทพที่ทั้งโลกต้องอิจฉา แถมขายได้ราคาแพงกว่าของอเมริกาอีกต่างด้วยค่ะ”
ว่าแล้วเธอก็หยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมา จดสูตรและวิธีการสังเคราะห์ลงไปอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็เริ่มลงมือทดลองกับทีมงานทันที
งานนี้บอกเลยว่าไม่ใช่แค่จะพัฒนาประเทศ แต่เธอกำลังจะสร้างรายได้มหาศาลจากสายดึงเครื่องบินสุดล้ำนี้ด้วย!
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะใกล้ถึงเวลาที่หลี่เฟยฮวาต้องไปรายงานตัวเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เธอเลยถือโอกาสถาม ผู้อำนวยการเหวินเทียนว่าจะกลับไปสอนที่นั่นด้วยหรือเปล่า?
เหวินเทียนก็ตอบตกลง พร้อมกับกำชับไม่ให้หลี่เฟยฮวาเหลิงไปกับตำแหน่งผู้ทำคะแนนได้เป็นอันดับหนึ่ง เพราะยังมีอะไรอีกมากมายให้เรียนรู้
“อาจารย์คะ” หลี่เฟยฮวาถูมืออย่างตื่นเต้น “ช่วยเปิดทางให้ฉันเข้าห้องทดลองเร็ว ๆ หน่อยได้ไหมคะ ฉันอยากวิจัยหลายอย่างเลยค่ะ”
“ใจเย็น ๆ น่า” เหวินเทียนหัวเราะ “อยากลงมือทดลองแล้วสินะ”
“ค่ะ ฉันอยากวิจัยทุกอย่างเลย ทั้งที่บินบนฟ้า วิ่งบนดิน ว่ายในน้ำ แม้แต่อวกาศฉันก็อยากลอง!”
ผู้อำนวยการเหวินเทียนตกตะลึงกับความทะเยอทะยานของลูกศิษย์คนนี้ “ทำได้จริงเหรอ?”
“ทำได้สิคะ!” หลี่เฟยฮวาตอบอย่างมั่นใจ ในเมื่อชาติที่แล้วเธอเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมทหารที่เก่งรอบด้าน
“เอาล่ะ ๆ อาจารย์สัญญา แต่ปีแรกคงไม่ได้ เพราะอุปกรณ์ยังไม่พร้อม ต้องรอปีสองก่อน ถึงตอนนั้นจะให้เธอมีส่วนร่วมในโครงการวิจัยของอาจารย์เอง” ผู้อำนวยการเหวินเทียนตอบตกลง ”
หลี่เฟยฮวาก็เข้าใจดี จึงวางแผนว่าในระหว่างนี้จะหารายได้พิเศษจากการแปลงานไปพลาง ๆ ก่อน ซึ่งเธอก็แอบเป็นห่วงหวงหมิงลู่ ที่ทำงานหนักเพื่อหาเงินส่งเธอเรียน ถึงขนาดรับภารกิจเสริมบ่อย ๆ จนเธออดเป็นห่วงไม่ได้
วันสุดท้ายที่ฐานทัพ หลี่เฟยฮวาเก็บกระเป๋าเสร็จก็ตรงดิ่งกลับบ้านทันที ระหว่างทางเธอมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความรู้สึกหลากหลาย รู้สึกเหมือนผ่านอะไรมามากมาย
ทันใดนั้น รถก็มาจอดที่หน้าค่ายทหาร เธอเหลือบไปเห็นร่างสูงอันแสนคุ้นตาที่ป้อมยามก็ถึงกับตะลึง
หวงหมิงลู่เดินมาเปิดประตูรถให้ พร้อมกับรับกระเป๋าไปถือเอง “เหนื่อยไหม” เขาถามเสียงอ่อนโยน ก่อนจะพาเธอเดินไปที่บ้านพัก
“เมื่อวานนายบอกว่าออกไปปฏิบัติภารกิจไม่ใช่เหรอ?” หลี่เฟยฮวาถามอย่างสงสัย
“อืม ภารกิจเสร็จเร็วกว่าที่คิด” หวงหมิงลู่ตอบ “แล้วเธอก็ใกล้เปิดเทอมแล้ว ฉันเลยรีบกลับมาส่ง”
หลี่เฟยฮวารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นที่สุด แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “หวงหมิงลู่ ฉันใช้เงินน้อยลงได้นะ คุณไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ก็ได้”
หวงหมิงลู่ถึงกับนิ่งไปชั่วอึดใจหลังจากได้ยินแบบนั้น ก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก “ไม่เหนื่อยหรอก”
หลี่เฟยฮวาได้ยินแล้วก็ได้แต่นิ่ง เธอไม่รู้จะคุยกับผู้ชายคนนี้ยังไง เลยเลือกที่จะเงียบไว้ดีกว่า
ซักพักหลี่เฟยฮวาก็พูดขึ้นว่า “งั้นฉันจะตั้งใจเรียนให้เต็มที่เลยนะ”
“อืม” หวงหมิงลู่ตอบรับเสียงเบา ในใจคิดแต่ว่าตัวเองก็ต้องขยันหาเงินให้มากกว่านี้แล้วล่ะ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ถึงวันเปิดเทอม พอดีวันนั้นหวงหมิงลู่หยุดพอดี เขาเลยนัดกับลู่อันหยางล่วงหน้าว่าจะพาหลี่เฟยฮวาไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัย พร้อมกัน
ถึงแม้ว่าเขตทหารจะอยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยอยู่บ้าง แต่โชคดีที่พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงอยู่แล้ว หวงหมิงลู่เลยขับรถมา โดยขนสัมภาระของหลี่เฟยฮวามาเต็มท้ายรถ ก่อนจะมาจอดเทียบท่าอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัย
หลี่เฟยฮวากวาดตามองบรรยากาศรอบตัว หากเทียบกับความทรงจำในชาติก่อนแล้วบอกเลยว่าต่างกันลิบลับ!
ถนนหนทางก็ไม่ได้กว้างขวาง ตึกสูง ๆ ก็ไม่มีให้เห็น รถราที่วิ่งกันขวักไขว่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง บรรยากาศโดยรอบยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์
หน้าประตูมหาวิทยาลัย มีรถจอดอยู่เพียงไม่กี่คัน แต่บอกเลยว่ายุคนี้ แค่มีรถขับสักคันก็เรียกสายตาคนได้ทั่วแล้ว หลี่เฟยฮวาที่ใช้รถของทางการไม่อยากเป็นจุดสนใจ เลยบอกให้หวงหมิงลู่จอดรถไว้ไกล ๆ หน่อย
ลู่อันหยางสะพายกระเป๋าเป้ใบโต ในขณะที่หลี่เฟยฮวาเดินตัวปลิวมาพร้อมกระเป๋าถือใบเล็ก ๆ ส่วนสัมภาระทั้งหมดหวงหมิงลู่รับหน้าที่แบกให้ทั้งหมด
แหม… อากาศก็แสนจะร้อน แดดเปรี้ยง ๆ ส่องต้นไม้จนใบเหี่ยวเฉา แต่แดดแรงขนาดนี้ก็ไม่อาจละลายความสวยงามของ หลี่เฟยฮวา ในชุดกระโปรงสีขาวยาวได้เลย เดินไปทางไหนก็มีแต่คนเหลียวมองทั้งนั้น
ปีนี้ถือเป็นปีแรกที่มีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัย แน่นอนว่าไม่มีรุ่นพี่มาคอยต้อนรับน้องใหม่ แต่ทางมหาวิทยาลัยก็จัดทำป้ายบอกทางไว้รอบ ๆ เป็นอย่างดี
หลี่เฟยฮวามองไปรอบ ๆ อีกครั้ง อาคารเรียนก็ยังคงแตกต่างจากในความทรงจำ ชาติก่อนตอนที่เธอเรียนอยู่ อาคารหลาย ๆ หลังถูกรื้อทิ้งไปเพื่อสร้างเป็นห้องแล็บสูงหลายชั้นแทน
ทั้งสามคนเดินตามป้ายบอกทางจนมาถึงประตูใหญ่ของคณะวิทยาศาสตร์ บนผนังของอาคารติดประกาศเอาไว้ พวกเขาตื่นเต้นที่ได้พบชื่อและชั้นเรียนของตัวเอง ก่อนจะรีบขึ้นไปรายงานตัว โดยที่หวงหมิงลู่จะรออยู่ข้างล่าง
หลี่เฟยฮวาถูกจัดให้อยู่ชั้นปีที่หนึ่ง เมื่อเธอเอ่ยชื่อตัวเองดวงตาของอาจารย์ที่รับลงทะเบียนเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “เธอคือหลี่เฟยฮวางั้นเหรอ?”
หลี่เฟยฮวาเอียงคอเล็กน้อยด้วยความงุนงง “ใช่ค่ะ ฉันคือหลี่เฟยฮวา”
รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของอาจารย์ “เธอคือนักเรียนที่สอบได้คะแนนสูงสุดระดับประเทศ 736 คะแนนใช่ไหม!?”
แม้จะมีบางปีที่คะแนนสูงกว่า 736 แต่การสอบครั้งนี้ ไม่ธรรมดา! เพราะเป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยครั้งแรกหลังจากการฟื้นฟูระบบ
นักเรียนส่วนใหญ่มีเวลาเตรียมตัวไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ! การที่หลี่เฟยฮวาสอบได้คะแนนสูงขนาดนี้ในเวลาอันจำกัด ถือเป็นเรื่องน่าทึ่งสุด ๆ ไปเลยล่ะ!
MANGA DISCUSSION