บทที่ 93 ผ่านด่าน
“พี่สามครับ พี่ฟังไม่ผิดหรอก” จ้าวชิงซงยิ้ม
“เอาละ” ลี่รุ่ยจือคิดยังไงก็คิดไม่ตก “พ่อแม่ของฉันและพี่ชายอีกสองคนรวมกัน ก็ยังมีไม่มากเท่ากับนายเลย”
สีหน้าของจ้าวชิงซงดูไม่ภูมิใจนัก เขาจิบชาแล้วพูด “ผมไม่สามารถเทียบกับพวกคุณได้หรอกครับ พวกคุณต่างทำงานกันอย่างจริงจัง แต่ผมกลับอาศัยช่องทางหาเงินจากช่องโหว่เล็ก ๆ เท่านั้นครับ”
ลี่ข่ายจือวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ แม้จะไม่ได้มีน้ำหนักอะไรมาก ทว่ากลับส่งเสียงกระทบออกมา
จ้าวชิงซงมองไปตามเสียง ก่อนจะประสานสายตากับลี่ข่ายจือ
ลี่ข่ายจืออายุมากกว่าเขาเจ็ดถึงแปดปี และมีกลิ่นอายของผู้ที่เหนือกว่า เมื่อครู่เขาจงใจแสดงให้จ้าวชิงซงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกสอบปากคำ
เสียงของลี่ข่ายจือไม่แสดงอารมณ์ในขณะที่พูด “รู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่”
จ้าวชิงซงพยักหน้า
“ถ้าโดนจับได้ แม้แต่เสี่ยวหรงก็ต้องมีเอี่ยวไปด้วย” ลี่ข่ายจือพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “นายรู้ใช่ไหม?”
จ้าวชิงซงไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง เขาพูด “ผมจะไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับภรรยาแน่นอนครับ”
อีกนัยหนึ่งคือ เขารู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ดี
ถึงอย่างไรเขาก็ยังทำมัน
จ้าวชิงซงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูด “ผมรับประกันว่าลี่หรงจะไม่ได้รับอันตรายแน่นอนครับ ผมรู้แน่ชัดถึงสิ่งที่กำลังทำอะไรอยู่ อีกอย่าง ฟาร์มสุกรแค่ต้องพูดคุยกับคนที่รับผิดชอบในที่ต่าง ๆ เท่านั้น เขาจะขายกันเท่าไหร่ก็เป็นเรื่องของเขา ผมมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องเลี้ยงหมูเท่านั้นครับ”
“นายรับผิดชอบคนเดียวเหรอ?” ลี่สวนจือถาม “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น นายจะยอมรับผิดคนเดียวไหวไหม?”
“ไม่หรอกครับ ผมมีพี่น้องอีกสองสามคน” จ้าวชิงซงไม่ได้ปิดบังไว้
ลี่สวนจือทำงานในโรงงานเนื้อสัตว์ และคุ้นเคยกับราคาเนื้อหมูเป็นอย่างดี จ้าวชิงซงร่วมมือกับผู้อื่น พากันสร้างรายได้นับหมื่นหยวนต่อปี
ขนาดของฟาร์มก็สามารถคำนวณได้คร่าว ๆ
เขาเหลือบมองน้องชายตัวเอง หลังออกจากกองทัพจ้าวชิงซงซึ่งอายุเท่ากันกับน้องชายเขานั้น มีความกล้าพอที่จะเริ่มทำฟาร์มสุกรร่วมกับผู้อื่น
เขามองไปที่จ้าวซิงชงด้วยความซาบซึ้ง ราวกับจะชมเชย ‘น้องเขย นายกล้าหาญมาก’
แม้ว่าลี่สวนจือจะยังคงเงียบ แต่จ้าวชิงซงรู้สึกว่าตอนนี้เขาสอบผ่านไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว
ลี่รุ่ยจือดูตื่นเต้น “เอาละ ไม่น่าแปลกใจเลยที่น้องสาวและหลานชายของฉันจะสมบูรณ์ขึ้นขนาดนี้ ฉันคิดว่านายทำงานทำการไม่ได้เสียอีก”
“ลี่รุ่ยจือ!” ลี่ข่ายจือดุน้องชาย “นายน่ะทั้งวันไม่ได้ทำอะไร! นายไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดแบบนี้!”
เขาดุลี่รุ่ยจือ หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ลี่ข่ายจือก็ยังมีความกังวลเกี่ยวกับสภาพร่างกายของจ้าวชิงซงเช่นกัน
จ้าวชิงซงรู้อยู่แก่ใจ ว่าตระกูลลี่กังวลเกี่ยวกับความพิการทางร่างกายของเขาก่อนหน้านี้
เขาเม้มริมฝีปากแน่น
แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
เขาทำได้เพียงทำให้ภรรยามีชีวิตที่ดีขึ้น ตระกูลลี่ก็จะค่อย ๆ คลายกังวลเรื่องนี้เอง
ลี่สวนจือถามจ้าวชิงซงบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจฟาร์ม หลังจากพูดคุยกันอยู่นาน เขาพบว่าจ้าวชิงซงมองสิ่งต่าง ๆ และมีมุมมองมากมายที่ดูหัวก้วหน้านำสมัย ความรู้สึกของเขาต่อน้องเขยก็เปลี่ยนไปในแง่ดีขึ้นเล็กน้อย
จริง ๆ แล้วลี่สวนจือเต็มใจที่จะเป็นเพื่อนกับจ้าวชิงซงด้วยซ้ำ
เมื่อจบการสนทนา บรรยากาศก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง
ลี่ข่ายจือมองลี่รุ่ยจือด้วยความไม่ชอบใจ “นายต้องหัดเรียนรู้จากคนอื่นบ้างนะ ตั้งแต่กลับมาบ้าน นายก็ไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ฉันไม่รู้เลยว่านายจะเอาแน่เอานอนในชีวิตได้อย่างไร”
ลี่รุ่ยจือเม้มปาก และพึมพำบางอย่างด้วยเสียงแผ่วเบา
นายทหารเก่าคนนี้มีนิสัยใจคอตรงไปตรงมามาก ลี่รุ่ยจือชื่นชมจ้าวชิงซง และไม่ได้มองอีกฝ่ายในแง่ร้ายเหมือนเมื่อก่อน เขาจึงไม่พูดอะไรเกี่ยวกับจ้าวชิงซงอีก
ตอนนี้เมื่อถูกเปรียบเทียบกับจ้าวชิงซง เขายอมรับว่าตัวเองด้อยกว่า และไม่สามารถแย้งกลับไปได้
บนโต๊ะอาหารเย็น
ผู้เป็นพ่อขอให้ลี่รุ่ยจือไปเอาเหล้ามาสองสามขวด และถามจ้าวชิงซงว่าเขาดื่มได้ไหม
จ้าวชิงซงยิ้ม “คนจากมณฑล H จะพูดว่าไม่ดื่มไม่ได้ครับ”
ชายสองสามคนดื่มขณะพูดคุยกัน หลังจากดื่มไปสักพัก พวกเขาก็เริ่มพูดเรื่องไร้สาระ
จ้าวชิงซงก็ตามทันเช่นกัน
แม่ของตระกูลลี่ให้กำเนิดลูกหลายคน ทั้งยังต้องเลี้ยงหลานอีกหลายคนอีก เมื่อมองดูหลานอย่างอันอัน ก็พอจะบอกได้เลยว่าเขากินอาหารแบบไหนในทุก ๆ วัน
ทว่าเธอยังกังวลว่าเจ้าตัวเล็กจะกินแค่เส้นเท่านั้น จึงถามลี่หรงก่อน หลังจากรู้ว่าเจ้าตัวเล็กไม่ได้เลือกกินมากนัก ทั้งยังกินอาหารได้หลากหลาย เธอก็ตักข้าวใส่ชามตามด้วยหั่นเนื้อเป็นเส้นบาง ๆ พร้อมที่จะป้อนอันอันแล้ว
ลี่หรงรีบหยุด แล้วหยิบชามในมือแม่ลี่มา “แม่คะ อันอันกินได้เองแล้วค่ะ ตอนนี้อย่ากลับไปป้อนเขาเลยนะคะ หนูปล่อยให้ลูกกินข้าวเองมานานแล้วค่ะ”
ลี่หรงเจอชิ้นเนื้อที่มีกระดูกค่อนข้างใหญ่ จึงปล่อยให้คนตัวเล็กหยิบมันขึ้นมากินเอง
ชายร่างเล็กคว้าเนื้อด้วยมือทั้งสอง แล้วมองแม่ลี่ “อันอันกินเอง”
แม่ลี่มองดูหลานชายด้วยความกังวล “กินเองได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?”
ลี่หรงยิ้ม “ไม่ต้องห่วงเขาหรอกค่ะ พวกเรากินข้าวกันเถอะค่ะแม่”
ระหว่างมื้ออาหาร แม่ลี่ตักผักมาให้ลี่หรงและลูกน้อยอีกเรื่อย ๆ
เจ้าตัวเล็กยังกินไม่ได้ ทว่าเขาจะไม่ปฏิเสธ เพราะตอนยังเด็ก ผู้เป็นแม่บอกเขาว่าเป็นเด็กกินทิ้งกินขว้าง ไม่รู้จักคุณค่าของอาหาร ดังนั้นอันอันเลยจะกินอาหารที่ผู้อื่นมอบให้อย่างรู้ความ
ลี่หรงให้เขากินอย่างพออิ่ม เพื่อให้เขาเรียนรู้การกินข้าวให้หมดจานตั้งแต่เด็ก ๆ
เธอมองดูแม่ลี่ตักอาหารให้เจ้าตัวน้อยไม่หยุดมือ จึงรีบหยุดแม่ลี่ไว้ “แม่คะ ไม่ต้องตักให้เขาเยอะขนาดนี้ก็ได้ค่ะ เขากินไม่หมดหรอก แม่กินเถอะนะคะ”
แม่ลี่หยุดตักตามคำแนะนำของลูกสาว และเริ่มกินอาหารของตัวเอง
หลังจากกินเสร็จ พวกเขาก็นั่งในห้องนั่งเล่น กินผลไม้พลางพูดคุยกัน
ในเมืองหลวงมีผลไม้มากมายหลายชนิดบนโต๊ะ ด้วยแม่ลี่ออกไปซื้อมาเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กน้อยได้กินองุ่น เขานั่งบนพรมแล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย
แม่ลี่ถามขึ้นมา “อันอัน ชอบกินองุ่นเหรอจ้ะ?”
องุ่นเป็นผลไม้ที่มีราคาแพงเกินกว่าที่สามารถซื้อได้ในเวลานี้ ดังนั้นแม่ลี่จึงซื้อเพียงสองพวงเท่านั้น
แม่ลี่เห็นว่าเขาชอบกิน จึงวางไว้ข้างหน้าเจ้าตัวน้อย
ลี่หรงขมวดคิ้ว “อันอัน อย่ากินเยอะมากนะ ลูกเพิ่งกินข้าวอิ่มมา ถ้ากินองุ่นมากเกินไปจะท้องเสียและปวดท้องเอาได้นะจ้ะ”
อันอันกินองุ่นเต็มปากเต็มคำ ในมือยังมีองุ่นอีกสองลูก และหันไปมองลี่หรง
หลังจากตระหนักได้ถึงสิ่งที่ลี่หรงพูด เขาก็ปล่อยมือเล็ก ๆ และจับท้องของตัวเอง “ปวดแล้ว”
“ไม่หรอก ถ้าอยากกินก็กินเถอะ” แม่ลี่จับท้องเด็กน้อย พออุ้มเข้าไปก็รู้สึกได้ว่าท้องยังไม่แข็ง เธอจึงพูดว่า “ถ้าหลานยังกินไหว ก็กินเถอะจ้ะ”
ลี่หรงปรายตามอง เธอรู้สึกว่าแม่ลี่ดูจะตามใจเด็กน้อยเกินไปเสียแล้ว
เธอปวดหัวเล็กน้อย “อย่าให้อันอันกินมากเกินไปเลยค่ะ เขาจะท้องเสียเอาได้”
แม่ลี่รู้สึกเสียใจกับหลานชายตัวเอง เธอนึกถึงสถานที่ที่ลี่หรงไป พื้นที่ชนบทห่างไกลความเจริญเช่นนั้น คงจะไม่มีผลไม้ให้หลานตัวน้อยกินเป็นแน่
เธอเริ่มถามเกี่ยวกับชีวิตของลี่หรงในชนบท “ฤดูหนาวในหมู่บ้านต้าเจียงหนาวไหมลูก แล้วที่นั่นมีผลไม้ไม่เยอะไหม?”
“อากาศค่อนข้างหนาวค่ะ แต่เพราะที่บ้านมีเตียงเตา เลยไม่ได้หนาวอะไรมากมายค่ะ” ลี่หรงพูด “อันอันยังไม่เคยเห็นองุ่นมาก่อน และองุ่นเองก็รสชาติหวานอร่อย เขาเลยอยากกินเยอะ ๆ น่ะค่ะ”
ที่จริงแล้ว สิ่งที่ลี่หรงต้องการพูดก็คือ แม้ว่าจะมีผลไม้ที่นั่น คนธรรมดาก็จะไม่ซื้อมันหรอก
แม่ลี่โบกมือ “หลานกินเถอะ ไว้ให้ลุงซื้อให้อีกก็ได้จ้ะ”
เธอถามลี่หรงอีกหลายคำถาม ถึงแม้จะเคยถามผ่านจดหมายแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบมากนัก
เธอรู้ว่าลี่หรงไม่ได้ทำงาน และก็รู้ด้วยว่าพวกเขาแยกออกจากตระกูลจ้าวแล้ว
ในจดหมายถามว่าพวกเขากินอะไรเป็นอาหารบ้าง
โดยปกติ ลี่หรงจะไม่บอกเกี่ยวกับการทำธุรกิจของตัวเองใน ‘ตลาดเสรี’ และก็จะตอบแม่ลี่ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
ตอนนี้ต่อหน้าแม่ลี่ ลี่หรงก็พูดอย่างคลุมเครือ “มีแค่จ้าวชิงซงที่ออกไปทำงานข้างนอก ส่วนหนูที่อยู่บ้านเลยไม่ได้สนใจอะไรมากนักหรอกค่ะ”
MANGA DISCUSSION