บทที่ 87 ประกาศรับเข้ามหาวิทยาลัยชิงหัว
พ่อจ้าวพยักหน้า แล้วตอบว่า “ใช่ ใช่ครับ เสี่ยวหรงเป็นคนดี เธอนำเกียรติมาสู่วงศ์ตระกูลจ้าวของพวกเราครับ”
ชายหนุ่มผมเรียบแปล้ แบกของมากมายเดินเข้ามา
มีทั้งกาต้มน้ำร้อน กะละมังเคลือบ แก้วน้ำเคลือบ ผ้าเช็ดตัวสีขาวและกล่องข้าวอะลูมิเนียม ส่วนคนขับรถที่ชื่อเสี่ยวหวังเดินถือถุงใส่ข้าวและถุงใส่แป้งหมี่ขาวอย่างละถุง เดินตามเข้ามา
อาโม่กล่าวว่า “ของพวกนี้เป็นรางวัลที่กองบัญชาการมณฑล และที่ว่าการอำเภอมอบให้ยุวชนลี่ครับ”
หลังจากที่เขาพูดจบ ก็หยิบเงินสองร้อยหยวนและบัตรปันส่วนข้าวจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเอกสาร ก่อนวางไว้บนโต๊ะ “รวมถึงของเหล่านี้ด้วยครับ”
ลี่หรงโบกมือ “ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ…”
“นี่คือของที่กองบัญชาการมอบให้คุณโดยเฉพาะนะครับ ฉะนั้นจะปฏิเสธไม่ได้ครับ”
หลังจากมอบของให้แล้ว จุดประสงค์การมาเยือนชนบทของอาโม่และพรรคพวกของเขาก็เสร็จสิ้นแล้ว หลังจากพูดคุยกันอีกสองสามประโยค ต่างคนต่างก็กล่าวคำอำลา
ลี่หรงต้องการเชิญชวนพวกเขาให้อยู่ทานมื้อเย็นก่อน แต่ก็ไม่สำเร็จ จึงทำได้เพียงออกไปส่งพวกเขาออกจากลานบ้าน
หลังจากออกจากประตูมาแล้ว พวกเขาก็เข้าไปนั่งในรถ ส่วนเสี่ยวจางที่นั่งรออยู่ในรถ จึงยื่นหน้าออกไปโบกมือให้พวกลี่หรงแทนการกล่าวคำอำลา
หลังจากที่รถขับออกไปแล้ว ลี่หรงและคนอื่น ๆ ก็กลับไปยังห้องรับแขก แม่จ้าวจัดการเก็บรวบรวมข้าวของที่ได้มาทั้งหมด ก่อนบอกให้ลี่หรงยกของไปเก็บไว้ในบ้าน
ต้องบอกว่าสิ่งที่กองบัญชาการให้เป็นรางวัลนั้น ล้วนใช้งานได้จริง
ลี่หรงหยิบธนบัตร แล้วมอบสิ่งของทั้งหมดให้กับแม่จ้าว “แม่คะ แม่เก็บของพวกนี้เอาไว้เถอะ ส่วนของฉันยังมีอยู่อีกเยอะแยะเลยค่ะ หลังปีใหม่ หนูต้องรีบไปรายงานตัวกับทางมหาลัย ถึงตอนนั้นจ้าวชิงซงอาจจะตามหนูเข้าไปในเมืองด้วย พวกเราอาจจะไม่ได้กินข้าวที่บ้านแล้วล่ะค่ะ”
ในที่สุด แม่จ้าวก็ทำได้เพียงยอมรับไว้ด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ได้จ้ะ”
ต้าหนิวกล่าวว่า “ย่าครับ ผมขอแก้วน้ำเคลือบนี้ไปใส่น้ำดื่มได้ไหมครับ”
แม่จ้าวมองเขา “ย่ายังไม่ทันได้แกะออกมาเลย หลานก็อยากได้ซะแล้วเหรอ”
พูดจบเธอก็เหลือบมองลี่หรง เพราะกลัวว่าลูกสะใภ้จะรู้สึกอึดอัด ขณะที่เธอกำลังจะพูด ลี่หรงก็กล่าวว่า “ต้หนิว ทำคะแนนสอบปลายภาคให้ได้เก้าสิบคะแนน แล้วย่าจะให้หลานเป็นรางวัลนะ”
“อาสะใภ้รอง …” ต้าหนิวลากเสียงยาว “กว่าจะสอบเสร็จ ต้องรอถึงปีหน้าเลยนะครับ”
ลี่หรงยักไหล่ “งั้นก็รอจนถึงปีหน้าสิจ้ะ”
พ่อจ้าวตบท้ายทอยต้าหนิวเบา ๆ “คิดแต่ว่าอยากจะได้ของไปโดยเปล่า หลานต้องรู้จักเรียนรู้จากอาสะใภ้รองของหลานซะนะ ตั้งใจเรียนให้ดีแล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ด้วยตัวเอง เข้าใจไหม?”
“ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าจะได้แค่แก้วน้ำเคลือบเท่านั้น แต่ยังจะได้เงินอีกสองร้อยหยวนอีกด้วย” ลี่หรงจ่ายเงินในมือ “นี่สามารถเอาไปซื้อแก้วน้ำเคลือบได้หลายใบเลยนะ”
“แบบนั้นก็ต้องรออีกหลายปีเลยนี่ครับ” ต้าหนิวหงุดหงิด
คนในอำเภอมาเยี่ยมเยียนลี่หรง แล้วนำของขวัญมาแสดงความยินดีให้ด้วย
จ้าวเจี้ยนตงและจ้าวเจี้ยนผิงคิดเหมือนกันว่า ในฐานะที่พวกเขาเป็นแกนนำคนงานในหมู่บ้าน ก็ควรมอบรางวัลแก่ลี่หรงในนามของชุมชนด้วย
เพราะเมื่อไปประชุม แล้วต้องพูดต่อหน้าแกนนำคนงานของกลุ่มอื่น จะได้สามารถยืดอกพูดอย่างภาคภูมิใจได้
ว่าคนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เป็นอันดับสองในนครเอกของมณฑล เป็นคนในหมู่บ้านของพวกเขา!
นี่เป็นปีแรกของการเปิดสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง!
จ้าวเจี้ยนตงสามารถนำไปคุยโวเรื่องนี้ได้อีกหลายปีเลย!
ดังนั้นในคืนนั้น หลังจากที่ลี่หรงเพิ่งกินข้าวเสร็จ จ้าวเจี้ยนตงและจ้าวเจี้ยนผิงก็กลับมาอีกครั้ง
พวกเขานำเงินห้าสิบหยวน และกล่องอาหารกลางวันอะลูมิเนียมมามอบแสดงควาามยินดีให้แก่ลี่หรง โดยบอกว่าเป็นรางวัลในนามของตัวแทนหมู่บ้าน
ลี่หรงยอมรับไว้ด้วยความเต็มใจ
ในวันที่สามหลังจากประกาศผลสอบ ก็ต้องเริ่มลงทะเบียนเรียน
ลี่หรงสมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหัว โดยไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดให้มากเลย
ลี่หรงเคยเรียนด้านการออกแบบแฟชั่นเมื่อชาติก่อน แต่ตอนนี้เธอไม่ได้เลือกที่จะกลับไปสู่อาชีพเดิม เธอมีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องการออกแบบแฟชั่นไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเรียนซ้ำอีก
ในชาตินี้ นับตั้งแต่วินาทีที่ตัดสินใจก้าวขาเข้ามาในวงการธุรกิจ เธอก็อยากจะเป็นนักธุรกิจมาโดยตลอด
เธอเลือกเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ และการค้าระหว่างประเทศ
เพราะหวังว่าจะได้เรียนรู้ความรู้ทางธุรกิจและระบบกาารจัดการ
ประมาณสิบวันหลังจากกรอกแบบฟอร์มใบสมัคร ลี่หรงก็ได้รับแจ้งการรับเข้าเรียนจากมหาวิทยาลัยชิงหัว
ในที่สุดสิ่งต่าง ๆ ก็เป็นไปตามที่วางแผนไว้
ลี่หรงเขียนจดหมายถึงครอบครัวลี่อีกครั้ง โดยบอกข่าวดีแก่พวกเขา และยังบอกด้วยว่าไม่กี่วันก่อนเข้าเรียน จะพาจ้าวชิงซงกับลูกกลับไปอาศัยอยู่ที่บ้านด้วย
หัวใจของลี่หรงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อนึกว่าจะได้พบกับ ‘ญาติสนิท’ ที่เธอไม่เคยพบมาก่อน
เธอมีพี่ชายหลายคน พี่ชายคนโตแต่งงานมีลูกแล้ว หญิงสาวจึงต้องเตรียมของกลับบ้านแต่เนิ่น ๆ
เมื่อทั้งครอบครัวเห็นประกาศ ทุกคนต่างก็ดีใจกับลี่หรง
จ้าวชิงซงถึงกับซื้อเหล้า เพื่อมาดื่มฉลองกับพ่อจ้าวและพี่ใหญ่จ้าวด้วย
ในตอนเย็น จ้าวชิงซงเล่าเรื่องงานล่าสุดของเขาให้ลี่หรงฟัง “ผมมอบฟาร์มสุกรให้ซ่งเซียนผิงดูแลแล้ว ถึงตอนนั้นผมจะไปเมืองหลวงกับคุณ ในระหว่างที่คุณไปเรียน ผมจะไปหางานทำนอกบ้านนะครับ”
“จริงเหรอคะ?” ลี่หรงถามด้วยความประหลาดใจ จากนั้นโผเข้ากอดจ้าวชิงซง แล้วหอมแก้มเขา “ถ้าอย่างนั้นเราสามคนพ่อแม่ลูก ก็จะไม่ต้องแยกจากกันแล้วนะคะ”
“ครับ” จ้าวชิงซงรู้สึกอบอุ่นในใจ ตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ร่วง เขาค่อย ๆ เริ่มส่งต่อกิจการฟาร์มสุกรให้กับซ่งเซียนผิง
หลังจากนั้นไม่นาน ลี่หรงก็ถามอีกครั้ง “เอ๊ะ! นี่คุณลาออกจากฟาร์มสุกรแล้วเหรอคะ?”
ลี่หรงขมวดคิ้ว เธอไม่อยากไปเรียนมหาวิทยาลัยโดยต้องห่างจากสามี ทว่าก็ไม่อยากทิ้งผลกำไรมหาศาล ที่ได้จากฟาร์มสุกรทุกปีเหมือนกัน
ธุรกิจฟาร์มสุกร สามารถสร้างรายได้หลักหมื่นต่อปี
ด้วยหากต้องสูญเงินส่วนนี้ไป แค่คิดก็น่าเสียดาย
“ไม่ครับ” จ้าวชิงซงตอบ “ผมไม่ได้กะจะทิ้งเงินก้อนนั้นทิ้งไปโดยเปล่าครับ ผมยังคงทำงานร่วมกับพวกอาเจิ้งอยู่ เพียงแต่จะได้รับเงินปันผลน้อยลงเท่านั้น และไม่ต้องเข้าไปจัดการทุกอย่างเหมือนอย่างเคยอีกต่อไป คุณอย่ารังเกียจผมเลยนะครับ”
“คุณพูดแบบนี้อีกแล้วนะคะ” ลี่หรงชกหน้าอกของจ้าวชิงซง จากนั้นลูบหน้าอกตัวเอง พลางปลอบใจว่าเรื่องทุกอย่างจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี
บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปอีกนานสองนาน
พูดคุยเรื่องการใช้ชีวิตในนครเอกของมณฑล
จ้าวชิงซงบอกว่าเขาต้องหางานทำก่อน
จินตนาการในตอนนี้ฟังดูแล้วเหมือนง่ายดายและสวยงาม
ทว่าเมื่อความจริงมาถึง พวกเขาจะตระหนักได้ว่าในยุคนี้ มีความยากลำบากบางอย่างที่ยากจะเอาชนะได้อยู่
ในมณฑล H ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านต้าเจียง มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ไปชิงเป่ย
อันดับหนึ่งเลือกเรียนมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ส่วนลี่หรงสอบได้อันดับสอง เนื่องจากเหตุผลทางวิชาชีพของเธอ หญิงสาวได้เลือกลงทะเบียนเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหัว ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์
ในปีแรกหลังจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัยกลับมาอีกครั้ง ก็มีนักเรียนได้ไปชิงเป่ยถึงสองคน
นอกจากผู้นำจะมาเยือนแล้ว ยังมีนักข่าวจากสำนักหนังสือพิมพ์ชื่อดังของมณฑลมาเยี่ยมเยียนด้วย
หลังจากสัมภาษณ์แล้ว ลี่หรงก็ต้องถ่ายรูปประกอบหนังสือพิมพ์ด้วย
ลี่หรงเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าตัวใหม่ แล้วสวมรองเท้าหนังคู่เล็ก เธอยืนอยู่ที่ลานบ้านสกุลจ้าว ขณะมองกล้องด้วยรอยยิ้ม
นักข่าวหนังสือพิมพ์ชอบอันอันมาก ด้วยความไร้เดียงสาของเจ้าตัวน้อยที่ทั้งน่ารักและมีเสน่ห์ หลังจากที่ลี่หรงถามว่าขอถ่ายรูปกับเด็กน้อยด้วยได้ไหม นักข่าวก็รีบพยักหน้าทันที
ต่อมา ภาพที่ลี่หรงเห็นในหนังสือพิมพ์เป็นภาพเธออุ้มอันอัน
นักข่าวคงชอบอันอันมาก ในบทความเกี่ยวกับลี่หรง ยังได้กล่าวอีกด้วยว่าหญิงสาวมีลูกแล้ว และชมเชยเธอสำหรับความขยันขันแข็ง ทุ่มเททำงานหนัก…
จากนั้นจ้าวชิงซงก็เชิญเพื่อนหลายคน มากินข้าวเย็นที่บ้าน
อู๋จื่อกังก็ได้รับเชิญมาด้วยเช่นกัน เขานำข้าวของมากมายติดไม้ติดมือมาให้ด้วย
เขาพูดตามความจริงว่า “ตอนที่เห็นประกาศครั้งแรก ผมไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยนะครับ แต่พอได้เห็นประกาศในหนังสือพิมพ์พร้อมรูปถ่ายของยุวชนลี่ ผมก็รีบเอาข้าวของเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้ มาแสดงความยินดีทันทีเลยครับ”
ลี่หรงยิ้ม บอกว่าเขาสุภาพมากเกินไปแล้ว
เมื่อหนังสือพิมพ์ออกครั้งแรก จ้าวชิงซงถึงกับซื้อมาหลายฉบับ แล้วนำมาวางไว้ที่โรงอาหารในหมู่บ้าน รวมถึงใต้ต้นไม้ตรงทางเข้าหมู่บ้านด้วย
แม้ว่าสมาชิกบางคนจะไม่รู้หนังสือ แต่เมื่อเห็นภาพในหนังสือพิมพ์ พวกเขาก็จำลี่หรงกับอันอันได้เป็นอย่างดี
สมาชิกบางคนที่พอจะรู้คำศัพท์อยู่บ้าง เพียงเห็นลี่หรงได้ออกข่าวในหนังสือพิมพ์ ก็คิดว่าเธอต้องเป็นคนที่เก่งมากแน่ ๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้ออกข่าวในหนังสือพิมพ์แบบนี้
จนสามารถตีพิมพ์เรื่องราวลงในหนังสือพิมพ์ได้
จากนั้นข่าวก็แพร่กระจายออกไป ทุกคนในหมู่บ้านจึงรู้ว่าลี่หรงจากหมู่บ้านต้าเจียง ที่เป็นลูกสะใภ้คนรองของจ้าวเจี้ยนกั๋ว สามารถสอบได้อันดับที่สองในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยชิงหัว และผู้นำมณฑลทั้งหมดก็ได้มามอบรางวัลถึงบ้านสกุลจ้าวเลยทีเดียว
ตอนนี้นักข่าวยังเขียนข่าวรายงานเรื่องนี้ด้วย
ตอนแรกชาวบ้านในหมู่บ้านต้าเจียงไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษใด ๆ ไม่ว่าลี่หรงจะทำได้ดีแค่ไหนในการสอบ เพราะเรื่องของเธอไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับครอบครัวของพวกเขา
จนกระทั่งพวกเขาออกไปนอกหมู่บ้าน แล้วพบว่าคนจากหมู่บ้านอื่น ต่างชื่นชมหมู่บ้านของพวกเขา ที่สามารถสร้างนักศึกษาได้หลายคนเช่นนี้ และยังมีคนหนึ่งได้เข้ามหาวิทยาลัยชิงหัวอีกด้วย
เมื่อนั้นพวกเขาจึงรู้สึกถึงความภาคภูมิใจอย่างลึกซึ้ง
ยุวชนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยจะกลับบ้านก่อนวันปีใหม่ หลังจากฉลองปีใหม่ที่บ้านแล้ว ก็จะไปเรียนในมหาวิทยาลัยทันที
ไม่จำเป็นต้องกลับไปทำงานด้านการผลิตอีกแล้ว
สุดท้ายยุวชนก็กลับเข้าเมือง
หยางเต๋อเป่าสามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ ไม่ได้เป็นเพราะแค่เริ่มอ่านหนังสือมานานแล้วเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะความสัมพันธ์ในครอบครัวของเขาด้วย
เขาไม่ได้ทำคะแนนได้ดีมากนัก แต่ก็ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยระดับต้น ๆ ของเมืองหลวง
ได้ยินมาว่าก่อนที่หยางเต๋อเป่าจะกลับบ้าน เขาทะเลาะกับหลัวปิงอย่างรุนแรง ไม่รู้เลยว่าขัดแย้งกันด้วยเรื่องอะไร ลี่หรงไม่ได้สนใจนัก
ฤดูใบไม้ผลิ ปีหนึ่งพันเก้าร้อยเจ็ดสิบแปด
หลังจากปีใหม่ผ่านไปได้ไม่นาน ก็เป็นช่วงเปิดภาคเรียน
ตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน ครอบครัวลี่ได้ส่งจดหมายไปหาลี่หรงหลายฉบับ โดยถามว่าเธอจะกลับบ้านเมื่อใด
หลังจากที่จ้าวชิงซงเขียนจดหมายแนะนำตัวเสร็จแล้ว เขาก็ไปซื้อตั๋วและกำหนดวันกลับ จากนั้นลี่หรงก็เขียนจดหมายถึงครอบครัวลี่ทันที
ใช้เวลาเกือบสองวัน ในการนั่งรถไฟจากสถานีรถไฟใกล้หมู่บ้านต้าเจียงไปยังเมืองหลวง
จากสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดไปยังหมู่บ้านต้าเจียง ต้องนั่งรถประจำทางเป็นเวลาอย่างน้อยสามหรือสี่ชั่วโมง
พวกลี่หรงเก็บข้าวของล่วงหน้าหนึ่งวัน แล้วออกเดินทางก่อนรุ่งสางของวันถัดไปทันที ตั๋วระบุเวลาเคลื่อนขบวนในเวลาเที่ยงวัน พวกเขาจึงต้องขึ้นรถประจำทางสายแรกสุด เพื่อไปขึ้นรถไฟให้ทันเวลา
เมื่อลูกชายต้องเดินทางจากไปไกล ผู้เป็นแม่ก็กังวล
คราวนี้ลูกชายคนรองและครอบครัวต้องเดินทางไกล รวมถึงหลานชายตัวน้อยด้วย หนำซ้ำยังวางแผนจะไปอยู่ในเมืองหลวงเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวกันอีก ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อไหร่
แม่จ้าวเริ่มกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอจึงรีบตื่นแต่เช้า เพื่อช่วยครอบครัวจ้าวซิงชงเก็บข้าวของ
บนรถไฟต้องไม่มีของอร่อยให้กินแน่นอน แถมราคายังแพงมากด้วย
ลี่หรงจึงทำขนมอบกับหมั่นโถวน้ำตาลทรายแดงไว้ล่วงหน้าจำนวนหนึ่งแล้ว
อากาศยังหนาวอยู่ ขนมเหล่านี้จึงสามารถเก็บไว้ได้นานหลายวัน โดยไม่บูดไปเสียก่อน
ลี่หรงแบกกระเป๋าใส่เสื้อผ้าและอาหารไว้บนหลัง
ส่วนจ้าวชิงซงแบกกระเป๋าทหารใบใหญ่ ที่เขานำกลับมาจากตอนยังประจำการเป็นทหารไว้บนหลัง แล้วอุ้มลูกน้อยไว้ข้างหน้า
รถประจำทางมุ่งหน้าไปยังอำเภอ จากนั้นก็แล่นไปยังอีกเมืองหนึ่ง
เมื่อมาถึงในเมืองนี้ ก็ดูเหมือนว่าจะยังเช้าอยู่
จ้าวชิงซงจึงพาภรรยาและลูกไปกินข้าวในร้านอาหารของรัฐ
ลี่หรงไม่ค่อยอยากอาหาร การเดินทางด้วยรถประจำทางใช้เวลานานเกินไป เธอจึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เพียงอยากกินแค่ของร้อน ๆ อย่างซุปให้รู้สึกสดชื่นขึ้นเท่านั้น
จ้าวชิงซงสั่งบะหมี่น้ำให้เธอ และเกี๊ยวน้ำให้ลูกน้อย
ส่วนอาหารที่จ้าวชิงซงกินนั้นค่อนข้างหนักท้อง ด้วยเขาต้องใช้แรงเยอะ หากกินแค่บะหมี่น้ำกับเกี๊ยวก็จะไม่มีแรงพอ
ระหว่างทางเด็กน้อยไม่ได้งอแงมากนัก เมื่อรู้ว่าพ่อแม่กำลังรีบ เขาจึงก้มหน้าก้มตากินเกี๊ยวเงียบ ๆ จ้าวชิงซงเห็นลูกกินเหลือสองสามชิ้น จึงคีบเข้าปากของเขาเพื่อไม่ให้เสียของทันที
MANGA DISCUSSION