บทที่ 6 พระเอกผู้รู้วิธีสร้างเตา
เมื่อยามค่ำคืนมาถึง ลี่หรงที่นอนอยู่บนเตียงก็กำลังคิดถึงยุคที่มีเทคโนโลยีทันสมัยต่าง ๆ และนึกเปรียบเทียบในใจ …เพราะในยุคที่ขาดความบันเทิงและไร้ซึ่งเทคโนโลยีอันทันสมัย มันช่างน่าเบื่อจริง ๆ
เธอที่ไม่มีอาการง่วงงุงนอนไม่หลับ ได้แต่พลิกตัวไปมาบนเตียงและมองไปยังจ้าวชิงซงที่นอนห่างออกไป ไม่แน่ใจว่าเขาหลับไปแล้วหรือยัง
“จ้าวชิงซง?” ลี่หรงตะโกนเรียกอีกฝ่าย
ชายหนุ่มไม่ตอบสนอง ลี่หรงเลยคิดว่าเขาคงหลับไปแล้ว
แต่ทันทีที่เขาพลิกตัว เธอก็ได้ยินชายคนนั้นพึมพำว่า “คุณกำลังทำอะไรอยู่? แล้วจะตะโกนทำไม หรือสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก?”
“คุณสร้างเตาได้ไหม? พรุ่งนี้มาสร้างเตาในห้องเก็บฟืนกันเถอะ” ลี่หรงบอกความต้องการของตัวเองออกไป
“ได้สิ” เขาไม่ได้บอกว่าทำได้หรือไม่ได้ แค่รับปากเธอเฉย ๆ
บรรยากาศกลับมาเงียบอีกครั้ง ก่อนเป็นลี่หรงที่พูดต่อ “หรือถ้ามีวิธีอื่นในการหาหม้อเหล็ก หม้อตุ๋นสักสองสามใบ หรือหม้ออลูมิเนียมก็ได้นะ”
“อืม” เขาตอบกลับอย่างเย็นชา
อันที่จริงลี่หรงรู้ดี ว่าจากสิ่งที่ ‘ตัวเธอ’ คนก่อนหน้าทำไว้ในอดีต คงไม่อาจทำให้เขามีทัศนคิตต่อเธอเปลี่ยนไป เพียงแค่ช่วงเวลาสองสามวันที่ผ่านมาได้ …เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลาอย่ารีบเร่ง
วันรุ่งขึ้น ลี่หรงนอนตื่นสาย เมื่อเธอตื่นขึ้นมา ทุกคนในครอบครัวจ้าวก็ออกไปทำงานกันหมดแล้ว แม้แต่จ้าวชิงซงก็ไม่อยู่
เธอเลยเดินไปที่ห้องครัว เมื่อเปิดหม้อและเห็นว่าผักที่เหลือจากเมื่อคืนยังพอกินอยู่ หญิงสาวจึงทำอะไรง่าย ๆ กิน ก่อนจะจำได้ว่าตนเองยังไม่ได้เปิดจดหมายที่ได้รับมาเมื่อวานนี้เลย
ก่อนหน้านี้ …เมื่อแม่ลี่รู้ว่าลูกสาวกำลังจะแต่งงานในชนบท จึงโกรธและเป็นทุกข์มาก ถึงขั้นตำหนิลี่หรงที่ไม่บอกครอบครัวล่วงหน้า และกลัวว่าลูกสาวจะลำบาก เลยส่งเงินจำนวนมากมาให้ ซึ่งปกติผู้เป็นแม่จะส่งเงินมาเพียงสามสิบหยวนเท่านั้น แต่คราวนี้กลับมีตั๋วเพิ่มมาด้วย รวมถึงจดหมายฉบับหนึ่ง
ภายในจดหมายนั้น เป็นคำพูดของเหล่าพี่ ๆ ที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อลี่หรง ดูเหมือนว่าเจ้าของร่างเดิมจะเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนที่บ้านมากทีเดียว
ดวงตาของลี่หรงแดงเล็กน้อยเมื่ออ่านจดหมาย เธอเป็นแค่คนที่มาอยู่ในร่างนี้ในภายหลัง แต่ทำไมถึงได้ ‘รู้สึก’ มากขนาดนี้กันนะ?!
หญิงสาวคิดว่าอารมณ์เหล่านี้เกิดจากปฏิกิริยาตามธรรมชาติจากเจ้าของร่างเดิม ก่อนจะปาดน้ำตาและตัดสินใจว่าจะปฏิบัติต่อครอบครัวของ ‘ลี่หรง’ เสมือนเป็นญาติของเธอเอง เพราะในชีวิตก่อน ตัวเธอเป็นเด็กที่เติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับความรักของครอบครัวที่โหยหามาโดยตลอด จนทำให้ดวงตาหญิงสาวรื้อไปด้วยน้ำตา
ว่าแล้วลี่หรงก็เก็บข้าวของทั้งหมดไว้ และนำกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา เขียนตอบกลับไปว่า “แม่และพ่อ ฉันมีชีวิตที่ดีในหมู่บ้านต้าเจียง สำหรับพี่น้องของฉัน โปรดบอกพวกเขาด้วยว่าฉันขอบคุณทุก ๆ ความห่วงใย ส่วนสามีของฉัน จ้าวชิงซงเป็นทหารเกษียณแล้ว เขาทำงานหนักมากและยังรักใคร่ลูกสาวของคุณอย่างดี โปรดวางใจในการตัดสินใจของลูกสาวคนนี้ มั่นใจได้เลยว่าจ้าวชิงซงจะเป็นลูกเขยที่ดี ทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่ต้องเป็นห่วง”
หลังจากที่เธอเขียนเสร็จ ก็เก็บมันไว้อย่างดี รอจนกว่าจะได้จังหวะเข้าเมือง
เมื่อจัดการธุระในส่วนนี้เสร็จ หญิงสาวก็คิดถึงสิ่งที่ต้องทำถัดไปในทันที
เห็นทีเราคงต้องไปจัดการกับสวนนั้นเสียแล้ว จะได้ปลูกอะไรได้เสียที เพราะเห็นอย่างนี้ ‘ลี่หรง’ ในชาติก่อนก็เคยเป็นฟูดบล็อกเกอร์ และมีประสบการณ์ในการปลูกผักมาบ้าง แต่ที่ดินแถวนี้ไม่ได้ปลูกอะไรมานาน พื้นดินจึงแข็งและเต็มไปด้วยวัชพืช ไม่สามารถปลูกผักได้ทันที จำเป็นต้องเคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อยก่อน
หลังจากนั้น มือของเธอก็เต็มไปด้วยหญ้าเขียวจากการถอน ก่อนที่หญิงสาวจะหยิบจอบขึ้นมาทำงานหนักต่อ ทว่าเพราะพื้นดินอันโล่งเตียนนี้ขาดการดูแล มันจึงแข็ง และไม่สามารถปลูกอะไรตอนนี้ได้ เลยต้องคอยรดน้ำและทิ้งระยะไว้สักพักก่อน
ลี่หรงตบฝุ่นบนมือ ทันทีที่เธอเดินออกจากสวนผัก แม่จ้าวก็กลับมาพอดี และเมื่อเห็นพื้นที่รกร้างเพิ่งได้รับการปรับปรุง เจ้าหล่อนก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าลี่หรงจะขุดดินเพื่อปลูกผักจริง ๆ!
แม่จ้าวคลี่ยิ้ม “ลูกสะใภ้รอง เธอขุดดินแบบนี้คิดจะปลูกอะไรกัน?”
“ปลูกผักโขม มะเขือเทศเชอรี่ และกะหล่ำปลี” ลี่หรงยิ้มตอบ “ยังไงก็ตาม ถ้าแม่จ้าวมีมูลไก่ที่บ้าน ฉันขอแบ่งมาหน่อยได้ไหม? ฉันก็ว่าจะเอามาฝังดินแถวนี้ เพราะดินแถวนี้ไม่ได้ปลูกอะไรมานานเกินไป แร่ธาตุในดินจึงไม่ค่อยมี เลยต้องนำมูลไก่มาทำเป็นปุ๋ยคอก”
แม่จ้าวดีใจมาก และแอบคิดว่าลูกสะใภ้รองมีเหตุผลจริง ๆ หลังจากที่แยกครอบครัว เมื่อคืนนี้ก็แบ่งเนื้อมาให้พวกเธอ และตอนนี้ก็เริ่มปลูกผักแล้ว เธอขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ก็ดี เธอมีความรู้เรื่องปุ๋ยในฟาร์มด้วย คู่ควรแล้วจริง ๆ ที่ลูกชายคนรองของฉันได้แต่งงานกับเธอ …ดีเลย ตอนนี้ที่บ้านมีมูลไก่อยู่บ้าง แต่มันมีกลิ่นเหม็นมาก เธอไปขอให้สามีเธอมาเอามันไปก็แล้วกันนะ”
“ขอบคุณค่ะ แม่จ้าว” ดูสิแม่สามีใจดีขนาดนี้ ลี่หรงไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมนางเอกถึงยังทำตัวแบบนั้นได้
ลี่หรงรับประทานอาหารกลางวันและงีบหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาเธอก็ยังคงไม่เห็นจ้าวชิงซงกลับมา ซึ่งหญิงสาวไม่รู้จริง ๆ ว่าชายหนุ่มไปอยู่ที่ไหน ทว่าเพราะมีงานรัดตัว สาวเจ้าจึงรีบรวบผมของตนที่ยุ่งเหยิงจากการนอน ก่อนออกไปรดน้ำดินที่ขุดไว้ในตอนเช้า
ตอนเย็น ในที่สุดจ้าวชิงซงก็กลับมา เขาและชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังขับรถลากวัว และมาหยุดที่หน้าบ้านตระกูลจ้าว บนเกวียนเต็มไปด้วยทรายและกรวด
ลี่หรงเดินออกไปดู และพอจะเดาได้ว่าทรายกับกรวดเหล่านี้ใช้ทำอะไร ไม่คาดคิดว่าที่ชายคนนั้นหายไปทั้งวัน เพราะไปนำกองทรายและกรวดกลับมานี่เอง
ชายหนุ่มที่มาพร้อมกับจ้าวชิงซงมีท่าทางหงุดหงิด จากรูปร่างหน้าตาแล้วคงจะอายุพอ ๆ กับเธอ เมื่ออีกฝ่ายเห็นตัวเธอยืนอยู่ที่ประตู เขาพลันมองไปที่จ้าวชิงซงด้วยความสงสัย ก่อนพูดว่า “พี่ เธอคือ?”
จ้าวชิงซงกำลังคิดอยู่ว่าจะแนะนำเธออย่างไร หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงพูดว่า “เธอคือพี่สะใภ้ของนาย”
“อ้าว นี่พี่สะใภ้ของฉันเหรอเนี่ย” ชายหนุ่มหรี่ตาดูถูก เขาเคยได้ยินมาว่าผู้หญิงที่พี่ชายแต่งงานด้วยมักจะอารมณ์ร้ายและชอบสร้างปัญหาให้ครอบครัว เมื่อครู่ที่เขาเห็นเธอ ก็คิดว่าทำไมผู้หญิงคนนี้สวยจัง แต่พอมาคิด ๆ ดูอีกที ถ้านิสัยแบบนั้นจริง ต่อให้สวยขนาดไหนเขาก็แต่งด้วยไม่ไหวหรอก
“นายพูดแบบนั้นได้ยังไง” จ้าวชิงซงตบไหล่น้องชาย “เสี่ยวซาน เรียกเธอว่าพี่สะใภ้สิ”
แม้เขาและลี่หรงจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีนัก แต่จ้าวชิงซงก็ยังคงไม่อยากให้น้องชายของเขามีความรู้สึกไม่ดีต่อผู้เป็นภรรยา
แน่นอน ลี่หรงย่อมรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบใจจากชายหนุ่มผู้นี้ แต่คนที่จ้าวชิงซงสามารถพามาที่บ้านได้นั้นต้องเป็นน้องชายที่สนิทกันมากแน่ ดังนั้นลี่หรงจึงไม่คิดสนใจท่าทีของอีกฝ่าย เธอเพียงยกแขนเสื้อขึ้นแล้วถามว่า “นี่คือของที่พวกเราจำเป็นต้องใช้ใช่ไหม แล้วคุณจะเอามันไปเก็บไว้ที่ไหน เดี๋ยวฉันช่วยเอง”
จ้าวชิงซงมองดูท่าทางของเธอและขมวดคิ้ว “กลับเข้าบ้านไปซะ เธอไม่จำเป็นต้องมาทำงานแบบนี้”
“ใช่แล้ว พี่สะใภ้มีผิวบอบบางและเนียนนุ่มขนาดนี้ จะมาทำงานในทุ่งนาได้อย่างไร พี่จะขนย้ายทรายกรวดไหวเหรอ? ทางที่ดีพี่สะใภ้นั่งพักเฉย ๆ ดีกว่า” ชายหนุ่มเยาะเย้ย เขาได้ยินมาว่าพี่ชายแต่งงานกับหญิงสาวที่มีการศึกษาซึ่งไม่เคยทำงานด้วยซ้ำ ขณะที่พี่ชายของเขาทำงานตั้งแต่เช้ามืด ผู้หญิงคนนี้กลับยังนอนขี้เกียจอยู่เลย ไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอมีผิวขาวใสและบอบบาง คงเพราะเธอไม่เคยทำงานหรือโดนแสงแดดมาก่อนแน่ ๆ
ลี่หรงขมวดคิ้ว คิดในใจว่าชายคนนี้ชักจะมากเกินไปแล้ว สิ่งที่เขาพูดออกจะไร้สาระและไม่สุภาพเอาเสียเลย แต่เมื่อพิจารณาจากชื่อเสียงของเจ้าของร่างเดิม มันก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะพูดถูก อย่างไรก็ตาม ลี่หรงยังคงโกรธและพูดอย่างเย็นชาว่า “งั้นก็ทำกันเองแล้วกัน” หลังจากนั้นจึงหันหลังเดินจากไปอย่างปึงปัง
ชายหนุ่มลูบหลังศีรษะขณะมองแผ่นหลังของลี่หรง ก่อนที่ทันใดนั้นจะรู้สึกผิดขึ้นมา “เธอจะไม่โกรธใช่ไหม?”
จ้าวชิงซงเตะก้นของเขา “นายมันคนเลว นิสัยไม่ดี นี่นายเป็นคนเริ่มเรื่องนี้ก่อนเองนะ”
หลังจากที่พูดจบ เขาก็เดินจากไป
เสี่ยวซานจับก้นของตนเองแล้วร้อง ‘อุ๊ย’ ขณะมองแผ่นหลังของจ้าวชิงซงพลางส่ายหัวแล้วพึมพำ “สุดท้ายก็กลายเป็นคนกลัวเมียไปอีกคนสิน่ะ”
จ้าวชิงซงหันไปมองเขา “นายบ่นเรื่องอะไร? มาทำงานเร็ว ๆ เข้า”
จ้าวชิงซงที่เห็นว่าลี่หรงไม่พอใจ เลยรีบเดินตามเธอไป เมื่อเข้าไปในห้อง เขาก็เห็นลี่หรงกำลังแต่งตัวอยู่ จึงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “คุณจะไปไหน”
“ฉันควรไปที่ไหนดีล่ะ?” ลี่หรงหยุดมือชั่วคราว
และเมื่อคิดถึงท่าทีก่อนหน้านี้ของเขา ลี่หรงจึงมองชายตรงหน้าอย่างแปลกใจและพูดว่า “นี่คุณคงไม่คิดว่าฉันจะหนีออกจากบ้านใช่ไหม?”
MANGA DISCUSSION