บทที่ 4 คงรู้สึกดีมากที่ได้รับเงินสองร้อยหยวนคืนจากคนขี้โกง
“ก่อนหน้านี้มันเป็นเงินของตระกูลจ้าวที่มอบให้เป็นสินสอดจำนวนสองร้อยหยวนแก่ฉัน แต่คุณบอกว่ารู้สึกไม่สบาย ต้องการไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล บอกฉันว่าเงินไม่พอ ฉันเลยให้คุณยืมสองร้อยหยวนไง?”
หลังจากฟัง หยางเต๋อเป่าพลันขมวดคิ้ว สีหน้าไม่ค่อยดีนัก ตอนนั้นไม่ใช่ว่าเป็นการเกลี้ยกล่อมให้เธอ ‘มอบ’ เงินสองร้อยหยวนให้เขาหรอกหรือ จะมากลายเป็นการยืมได้อย่างไร?
มีคนจำนวนมากเฝ้าดูความสนุกสนานนี้ และลี่หรงก็จงใจพูดเสียงดัง ดังนั้นคนอื่น ๆ ย่อมได้ยินแล้วว่าเงินสินสอดของลี่หรงนั้นถูกเขา ‘ยืม’ ไป แต่มันจะเป็นยังไงถ้าหยางเต๋อเป่าถามกลับไปว่า ไม่ใช่ว่าเงินนั่นเธอ ‘ให้’ เขาด้วยความเต็มใจหรอกหรือ?
พวกเขาคงคิดว่า หยางเต๋อเป่าทำเรื่องผิดศีลธรรมที่รับเงินสินสอดของคนอื่นมา ทั้งยังจะเอาไปดื้อ ๆ โดยไม่คิดคืน แล้วแบบนี้ตัวเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้กัน?
เขากระตุกมุมปาก ก่อนจะยอมรับ “โอ้! ฉันจำได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะส่งคืนให้เธอพรุ่งนี้นะ”
เขาคิดอยากจะประนีประนอมลี่หรงก่อน เพราะเธอคงอยู่ในช่วงอารมณ์ไม่ดี ตราบใดที่เขาเกลี้ยกล่อมเธอเป็นการส่วนตัวได้ในวันพรุ่งนี้ เธอจะไม่พูดถึงสองร้อยหยวนนี้อีกแน่นอน
ทันทีที่ลี่หรงได้ยินก็รู้ได้ทันทีว่าจะ ‘บังคับ’ ให้เขาเอาเงินมาคืนได้อย่างไรโดยไม่ต้องรอถึงวันพรุ่งนี้ …เพราะถ้าถึงเวลานั้น อีกฝ่ายก็คงจะพ่นข้ออ้างห่วย ๆ ออกมาบอกปัดเป็นแน่
ที่สำคัญคือในขณะนี้มีคนอื่น ๆ เป็นพยานอยู่เต็มไปหมด แล้วเธอจะพลาดโอกาสงาม ๆ แบบนี้ไปได้อย่างไร?
ลี่หรงเผยสีหน้าลำบากใจ “คุณคืนให้ฉันวันนี้เถอะ เมื่อวานจ้าวชิงซงถามเรื่องเงิน เขาพูดว่าเงินสินสอดสองร้อยหยวนตอนหมั้นกันหายไปไหน ดังนั้นถ้าคุณไม่คืนตอนนี้ ฉันกลัวว่าเขาจะมาเอาเรื่องคุณทีหลังได้”
เหล่ายุวชนที่มีการศึกษาทั้งหลายต่างก็กลัวการทะเลาะวิวาทกับชาวบ้านมากที่สุด เพราะพวกชาวบ้านในหมู่บ้านต่างก็สนิทชิดเชื้อกัน และมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในขณะที่พวกเขาเป็นเพียงคนนอก หากมีปัญหาหรือความขัดแย้งเกิดขึ้น พวกเขาก็จะกลายเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบในทันที
ยุวชนแปลกหน้าคนหนึ่งพลันตะโกนว่า “ยุวชนหยาง คุณควรคืนเงินให้ยุวชนลี่ก่อนดีกว่า ไม่งั้นยุวชนลี่จะไม่มีอะไรกินเอาน่ะ”
“ใช่แล้ว หากคนจากตระกูลจ้าวมา เรื่องมันคงไม่จบง่าย ๆ แบบนี้แน่”
ผู้ที่ไม่ชอบขี้หน้าหยางเต๋อเป่าถือโอกาสนี้พูดใส่ร้ายเขาทันที “ใครที่ไหนจะเอาเงินสินสอดของคนอื่นแล้วไม่คืนกัน? คนแบบนี้ที่บ้านต้องสั่งสอนมายังไงเนี่ย?”
หยางเต๋อเป่ากัดฟัน เขาจำใจต้องควักเอาเงินสองร้อยหยวนคืนไปอย่างเจ็บปวด
เมื่อเขายื่นมันให้ลี่หรง ชายหนุ่มก็ฉวยโอกาสนี้สัมผัสมือของเธอ จ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก และพูดว่า “เสี่ยวหรง หากเธอมีปัญหากับตระกูลจ้าวเพราะเรื่องนี้ หรือเพราะเรื่องอื่น ๆ เธอต้องบอกฉันนะ”
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ลี่หรงย่อมไม่คาดคิดว่าเขาจะทำเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่น ๆ มุมปากของหญิงสาวจึงกระตุกอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนที่เธอจะพูดว่า “คุณเป็นเหมือนน้องชายแท้ ๆ ของฉัน ดังนั้นถ้ามีเรื่องอะไรให้ช่วยก็บอกฉันได้เช่นกัน แต่ตอนนี้ฉันต้องขอตัวกลับก่อนน่ะ ชิงซงกำลังรอฉันกลับไปทำอาหารอยู่”
ลี่หรงที่กลับบ้านพร้อมเงินก้อนโตสองร้อยสามสิบหยวน ระหว่างทางได้มีป้าคนหนึ่งทักทายเข้าให้ ลี่หรงจึงร้องตะโกนถามกลับไปพร้อมรอยยิ้มว่า “ป้าจาง จะไปไหนเหรอคะ”
“ไปเอาไก่น่ะ ที่บ้านกินไปตัวหนึ่งแล้ว วันนี้เลยต้องไปเอากลับมาเลี้ยงเพิ่มสองตัว”
ยุคนี้การเลี้ยงไก่ถูกควบคุม ครัวเรือนหนึ่งเลี้ยงไก่ได้เพียงสองถึงสามตัวเท่านั้น มากไปก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกทุนนิยม และจะถูกวิพากษ์วิจารณ์เอาได้
ใบหน้าของลี่หรงสว่างขึ้นในพลัน เธอถาม “ป้าจาง ฉันก็อยากเลี้ยงไก่ด้วยเหมือนกัน ป้าช่วยอุ้มมาให้ฉันสองตัวได้ไหม?”
ป้าจางที่รู้ว่าคู่หนุ่มสาวเพิ่งแยกครอบครัวออกมาอยู่ด้วยกันตามลำพัง ดังนั้นการเลี้ยงไก่จึงเป็นเรื่องปกติ เธอจึงกล่าวว่า “เรื่องเล็กน้อย หากเธอต้องการ ฉันจะอุ้มมันมาให้ แต่พวกมันตัวล่ะหนึ่งเหมา*[1] นะ”
“ตกลง” ลี่หรงหยิบเงินออกมาสองเหมามอบให้เธอ พร้อมกับยัดเมล็ดแตงโมอีกหนึ่งกำมือให้ ก่อนพูด “ฉันอยากได้แม่พันธุ์ไก่ จะเลี้ยงไว้เพื่อกินไข่”
“ไม่ต้องกังวล ไว้ใจป้าได้เลย” ป้าจางตบหน้าอกของเธอ “ป้ารับปากเลยว่าไก่ที่ป้าเลือกมาจะออกไข่ให้เจ้าทุกวันแน่นอน”
ลี่หรงไม่ได้ให้เงินส่วนต่างเพิ่ม เพราะที่จริงแล้วไก่พวกนี้ราคาเพียงแค่เจ็ดถึงเก้าเฟิงเท่านั้น แต่ป้าจางกลับบอกเธอว่าไก่ตัวล่ะหนึ่งเหมา ดังนั้นจึงถือว่าอีกฝ่ายได้กำไรไปแล้วส่วนหนึ่ง
เมื่อกลับถึงบ้าน ครอบครัวจ้าวก็เพิ่งกลับมาจากการทำงานเช่นกัน โดยพวกเขากำลังรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่ …มันเป็นโจ๊กกับผักดอง
จ้าวชิงซงเองก็ทำโจ๊กผสมกับผักดองเช่นกัน เพราะเขาไม่เห็นเธอกลับมาเสียที และที่บ้านก็ไม่มีอาหารเหลือแล้ว พอเห็นอย่างนั้น ลี่หรงจึงพูดขณะรับประทานอาหารว่า “ฉันว่าจะเข้าไปในเมืองภายหลัง คุณจะไปด้วยไหม?”
ทว่าจ้าวชิงซงกลับยังคงเงียบ
ลี่หรงเลยใช้ปลายตะเกียบแหย่เขา ก่อนถาม “นี่… ฉันถามคุณอยู่นะ”
จ้าวชิงซงตอบอย่างหนักแน่นว่า “ผมไม่ไป”
“ถ้าคุณไม่ไป งั้นฉันก็จะไม่ไป” ลี่หรงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับชายคนนี้ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เธอจึงบอกเขาแก้เก้อ “บ่ายนี้คุณมีเวลาไหม ช่วยฉันทำความสะอาดเพิงไม้เล็ก ๆ ข้างบ้านไว้สร้างห้องครัวที เพราะหลังจากนี้เราคงไม่สะดวกเท่าไหร่ที่จะใช้ครัวร่วมกันแม่และคนอื่น ๆ ไปตลอด”
จ้าวชิงซงพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ลี่หรงก็ตั้งใจที่จะเก็บชามไปล้าง แต่กลับถูกชายหนุ่มหยิบขึ้นมาเสียก่อน และเป็นจ้าวชิงซงที่จู่ ๆ ก็พูดออกมาด้วยท่าทีสงบนิ่งว่า “ฉันไม่เคยพูดว่าอยากหย่ากับเธอ”
“หืม?” จู่ ๆ ลี่หรงก็จำคำโกหกที่เธอเคยพูดไว้กับหลัวปิงไปไม่นานมานี้ได้ และไม่คิดว่าเขาจะจำได้ด้วยซ้ำ
เธอยกมุมปาก “ฉันรู้… แต่ตอนนั้นฉันแค่พูดไปอย่างนั้นเอง”
จ้าวชิงซงโกรธเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น ในใจคิดไปว่าผู้หญิงในเมืองนี่ไว้ใจไม่ได้เลย ก่อนที่เขาจะเม้มริมฝีปากแน่น และเดินจากไปพร้อมกับชามในมือ
ลี่หรงมองดูแผ่นหลังและท่าทางที่บูดบึ้งของเขาก็นึกขำ เธอจึงหัวเราะออกมา
ในตอนเย็น เมื่อแม่จ้าวกลับมาทำอาหาร มองดูกองขยะในลาน ก่อนจะตะโกนเรียกหาจ้าวชิงซงอย่างสงสัย
“แม่ มีอะไรงั้นเหรอ?”
“ลูกจะย้ายของพวกนี้ไปที่ไหนกัน”
“ห้องเก็บฟืนตรงนี้ผมกะจะทำความสะอาดและเปลี่ยนมันเป็นครัวเล็ก ๆ สำหรับทำอาหารง่าย ๆ”
“หืม แล้วลูกจะทำยังไงเรื่องหม้อ?”
“เดี๋ยวผมจะไปดูที่ร้านสหกรณ์ในอีกสองวัน” จ้าวชิงซงตอบขณะยกขยะออกไปข้างนอก
“แล้วพ่อล่ะ เขายังทำงานไม่เสร็จเหรอ?”
“เรื่องนั้นช่างเถอะ อีกสักพักก็คงใกล้เวลากลับมาแล้วล่ะ” แม่จ้าวเหลือบมองเข้าไปในห้อง “แต่ภรรยาของลูกล่ะ เธอไปที่ไหนกัน?”
“เธอออกไปข้างนอก บอกว่ามีของส่งมาจากที่บ้าน เลยอยากแวะไปเอามาเสียหน่อย”
“ดีแล้ว” แม่จ้าวถอนหายใจ “ถ้าแยกครอบครัวออกมาแบบนี้ พวกลูกก็ต้องประคองชีวิตคู่กันให้ดี ๆ แต่พอไม่ได้ทำงานกันทั้งคู่แบบนี้ แม่ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตพวกลูกจะมีอาหารไว้พอกินได้ยังไง อย่างเมื่อเช้านี้ ภรรยาลูกใช้น้ำมันไปเสียเยอะเลยใช่ไหม? แม่ว่าตอนนั้นเธอใช้เปลืองไปหน่อยน่ะ ดังนั้นหลังจากนี้ต้องประหยัดให้มากเข้าไว้น่ะ”
“ผมรู้ครับ”
ลี่หรงที่ออกไปซื้อของกำลังยืนรอรถโดยสารใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งค่าเดินทางก็ไม่กี่เฟิงเท่านั้น
และเพราะในรถโดยสารไม่มีเครื่องปรับอากาศ ทำให้แม้จะเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ แต่มันก็ยังอบอ้าวหน่อย ๆ อยู่ดี โชคดีที่ลี่หรงได้ที่นั่งข้างหน้าต่าง เธอจึงใช้ภาพทิวทัศน์ทุ่งข้าวสาลีสีทองและพืชพรรณสีเขียวข้างนอกในการฆ่าเวลา
เมื่อเข้ามาถึงตัวเมือง หญิงสาวก็ไปยังที่ทำการไปรษณีย์เป็นที่แรก บุรุษไปรษณีย์ที่จำเธอได้ จึงกล่าวทักทายเธอ
นอกจากการสร้างเรื่องต่าง ๆ ให้กับครอบครัวพระเอกในนิยายแล้ว โดยปกติแล้ว ‘ลี่หรง’ เองก็คงไม่ใช่คนเลวร้ายนักในสายตาคนอื่น เธอยิ้มหวานขณะรับพัสดุชิ้นใหญ่ที่ทางบ้านส่งมาให้เธอ
หญิงสาวรีบตรวจดูของที่ส่งมาข้างในทันที และพบเข้ากับลูกอมห่อใหญ่สองห่อ จึงรีบหยิบออกมาหนึ่งกำมือเพื่อมอบให้บุรุษไปรษณีย์คนนั้น
เขาที่รู้สึกเกรงใจพลันกล่าว “ไม่… ไม่ดีกว่า พี่สาว พี่เอากลับไปกินเองเถอะ”
“นี่แค่น้ำใจเล็กน้อยน่า ฉันยังมีอีกมากในถุง นี่… รีบรับมันไปเถอะ”
จะให้เธอนำมันกลับใส่ถุงได้อย่างไร? ลี่หรงไม่รอช้า จัดแจงยัดลูกอมใส่มือของบุรุษไปรษณีย์คนนั้นโดยไม่รอคำตอบซ้ำสอง
นอกจากลูกอมแล้ว ยังมีบิสกิต เมล็ดแตงโม และขนมอบลูกพีช แถมมีของแห้งมากมาย อย่างอินทผลัมแดง เห็ดหอม เป็นต้น กับบางสิ่งบางอย่างถูกห่อด้วยกระดาษแข็ง ๆ ซึ่งเมื่อลี่หรงเปิดมันออกมาดู …โอ้ เป็นเนื้อรมควันตั้งสองชิ้นแน่ะ!
[1] ค่าเงินของจีน สามารถแบ่งได้ดังนี้ 1 หยวน เท่ากับ 10 เหมา และ 1 เหมาเท่ากับ 10 เฟิง
MANGA DISCUSSION