ตอนที่ 34 ใส่ใจอาหารของคนงาน
ลี่หรงพยักหน้าหลังจากได้ยินดังนั้น แต่ไม่ได้คิดจะอธิบายให้เขาฟัง เธอแค่พูดว่า “ฉันยุ่งกับงานที่บ้าน ก็เลยไม่ได้ทำแล้วค่ะ”
“อันนี้คืออะไรเหรอ?”
“ซาลาเปากับขนมโก๋ถั่วเขียวค่ะ”
เถ้าแก่ก็ขายขนมเช่นกัน เขามีขนมโก๋ถั่วเขียวมากมายบนแผงขายของ แม้ว่ามันจะดูแตกต่างจากของลี่หรง แต่ก็เป็นขนมโก๋ถั่วเขียวเหมือนกัน
ยิ่งกว่านั้น ซาลาเปาของลี่หรงก็ไม่ใช่ของหายาก เขาจึงไม่สนใจ แต่ก็ยังถามว่า “น้องสาว ซาลาเปามีไส้อะไรบ้าง?”
“ซาลาเปาไส้เนื้อกับซาลาเปาไส้ถั่วแดงค่ะ” ลี่หรงเริ่มเสนอขายด้วยสีหน้ามั่นใจ “ถึงจะดูธรรมดา แต่ของฉันแตกต่างจากของคนอื่นแน่นอน ทั้งหมดทำจากแป้งฟู่เฉียง ไส้เนื้อล้วนสดใหม่ ไม่มันเยิ้ม สนใจรับสักลูกไหมคะ?”
“เอ๊ะ! ทำจากแป้งฟู่เฉียง… ยอมใช้ของดีขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ลี่หรงพูดด้วยความภูมิใจ “วัตถุดิบที่ดีเท่านั้นที่จะทำให้อาหารรสชาติอร่อย และขายได้ในราคาที่ดี แล้วราคาของฉันก็นับว่าสมเหตุสมผลมาก เถ้าแก่ลองชิมดูไหมคะ?”
อาจเพราะเคยกินพะโล้ที่อร่อยมากจากลี่หรงมาก่อน
เถ้าแก่จึงถามเธอว่า “ซาลาเปาเนื้อราคาเท่าไหร่เหรอ?”
ซาลาเปาที่ลี่หรงทำนั้นลูกใหญ่กว่าในร้านอาหารของรัฐ แต่ราคาไม่สูงมากนัก อีกทั้งยังใช้แป้งฟู่เฉียงทำด้วย เรียกได้ว่าเธอจริงใจต่อลูกค้ามากทีเดียว
เมื่อเถ้าแก่กัดไปหนึ่งคำ น้ำชุ่มฉ่ำในเนื้อก็ระเบิดออกมา รสชาติแสนอร่อยแผ่ซ่านไปทั่วทั้งปาก ต่อมรับรสของเขาถูกพิชิตทันที ได้แต่กัดไปคำแล้วคำเล่า จนซาลาเปาชิ้นใหญ่หมดไปอย่างรวดเร็ว
เขาแลบลิ้นเลียรอบปาก แล้วบอกลี่หรงว่าจะซื้อเพิ่มอีกสามลูก เพื่อนำไปฝากภรรยาและลูก ๆ ที่บ้าน
แม้จะเพิ่งเปิดร้าน เขาก็เป็นลูกค้ารายใหญ่เสียแล้ว ลี่หรงจึงแถมซาลาเปาไส้ถั่วแดงให้เขาด้วย ซาลาเปาไส้ถั่วแดงนี้มีรสหวาน และขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของซาลาเปาเนื้อเท่านั้น
เถ้าแก่เอ่ยชมลี่หรงอีกสองสามคำ ก่อนนำซาลาเปาเข้าไปในบ้าน และกลับออกมาหลังจากนั้นไม่นาน
ชาวบ้านเริ่มจำลี่หรงได้ เมื่อเถ้าแก่ออกมา ผู้คนมากมายก็มารวมตัวกันที่หน้าแผงขายของลี่หรง เถ้าแก่นั่งอยู่บนแผงของเขา แล้วรำพึงในใจว่าธุรกิจของลี่หรงนั้นต้องเป็นไปได้ดีแน่ ใครก็ตามที่มีความสามารถ ย่อมทำอะไรก็ได้
ลี่หรงรีบหยิบซาลาเปาและขนมให้ลูกค้าอย่างรวดเร็ว
หลายคนทะยอยกันมา เมื่อถึงเวลาที่ลี่หรงได้พักบ้าง สินค้าก็เริ่มบางตาแล้ว
เถ้าแก่ร้านขนมคุยกับลี่หรง “น้องสาว จักรยานคันนี้ดูทนมากเลยนะ”
“สามีของฉันซื้อให้ค่ะ” ใบหน้าของลี่หรงเต็มไปด้วยความสุข
เถ้าแก่ผู้ผ่านโลกมาเยอะแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สามีของเธอช่างดีเสียจริง ๆ”
มีลูกค้าอีกคนมาถามราคา เมื่อลี่หรงบอกไป คนผู้นั้นก็พึมพำว่าแพงก่อนจากไป
การทำธุรกิจก็เป็นเช่นนี้ มักมีคนถามราคาเพื่อนำไปเปรียบเทียบกับเจ้าอื่น เป็นเรื่องปกติเมื่อต้องตัดสินใจซื้อของบางอย่าง
เถ้าแก่ถามลี่หรงว่า “พรุ่งนี้เธอจะมาอีกไหม?”
“มาค่ะ”
“เธอยังจำลูกค้าคนแรกที่มาซื้อพะโล้ของเธอได้ไหม?”
“หืม?”
เถ้าแก่พูดว่า “เขาเป็นคนมาซื้อนมมอลต์และนมผงจากแผงขายของของฉัน ถ้าจำไม่ผิด เขาเป็นลูกค้ารายแรกตอนที่เธอเปิดร้าน”
“อ๋อ จำได้แล้วค่ะ” ลี่หรงยิ้ม “เขามาซื้อไปเยอะเหมือนกัน”
“เขาเป็นลูกค้าประจำของฉัน” เถ้าแก่พลันลดเสียงลงเกือบจะกระซิบ “ชายคนนั้นดูเหมือนจะเป็นผู้จัดการ ในช่วงปีใหม่เขาตามหาเธอมาตลอด แต่ไม่เจอเธอเลย”
“เอ๊ะ?” ลี่หรงถาม “ตามหาฉันเหรอ? มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ใครจะรู้ได้ ฉันรู้เท่านั้นแหละ”
“งั้นก็ไม่เป็นอะไรค่ะ ค่อยคุยกันหลังตอนเจอกันก็ได้” ลี่หรงไม่ได้ใส่ใจมาก
วันรุ่งขึ้นเธอทำซาลาเปาและขนมมาขายตามปกติ ทำมากขึ้นเล็กน้อย
หลังจากขายไปหลายวัน ลี่หรงเริ่มทนกับการต้องตื่นแต่เช้าทุกวันไม่ไหว การขี่จักรยานไปขายของที่ ‘ตลาดการค้าเสรี’ มันใช้พลังงานเยอะมาก
เธอจึงวางแผนว่าจะขายวันนี้เป็นวันสุดท้าย ก่อนจะให้เวลาตัวเองหยุดพักผ่อนสักสองสามวัน
ในวันนี้นี่เอง ทันทีที่เธอออกมาเตรียมตั้งแผงขายของ เถ้าแก่ร้านขนมก็บอกว่าผู้ชายที่อยากเจอลี่หรงบังเอิญมาซื้อของพอดี
เมื่อชายคนนั้นเห็นลี่หรง เขาก็ดีใจ “ในที่สุดก็ได้เจอคุณแล้ว”
เขาคนนั้นกระตือรือร้นมาก ลี่หรงจึงทักทายกลับขณะมือวุ่นอยู่กับงานไปด้วย
“สวัสดี… สวัสดีค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
ร้านขนมของลี่หรงเปิดมาหลายวันแล้ว ด้วยความที่ให้เยอะแถมอร่อย เธอจึงมีลูกค้าประจำมากมาย ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ลูกค้าหลายคนก็มารอซื้อของเธอแต่เช้าแล้ว
ทันทีที่ลี่หรงตั้งแผงขายของ ก็พลันมีลูกค้าหลายคนมาต่อแถวยาว
เมื่อเห็นว่าเธอกำลังยุ่ง ชายคนนั้นก็โบกมือ แล้วพูดว่า “ไว้ผมค่อยคุยกับคุณทีหลัง คุณคงกำลังยุ่งอยู่เชียว”
หลังจากพูดจบ ชายผู้นั้นก็หาที่ยืนใกล้ ๆ สายตาจ้องมองมาที่ลี่หรงอยู่ตลอด ดูจากท่าทางแล้ว เขาต้องการรอให้ลี่หรงว่างก่อน ที่มาหาเธอต้องมีเรื่องจริงจังบางอย่างแน่นอน
ลี่หรงมือเป็นระวิง เพราะมีลูกค้ามาซื้อของไม่ขาดสาย จึงไม่สามารถหยุดคุยกับเขาได้ เมื่อเห็นว่าเขายังยืนอยู่เช่นนี้ และไม่ได้เร่งเร้าอะไร เพียงแค่ยืนรอเงียบ ๆ ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ตาม อย่างน้อยเขาก็สุภาพมากตั้งแต่แรก เธอจึงรู้สึกประทับใจในตัวชายคนนี้มากขึ้น
เธอจึงไม่สนใจชายคนนั้นอีกต่อไป แล้วตั้งใจต้อนรับลูกค้าอย่างเป็นระเบียบ ใครต้องการซาลาเปาหรือขนมก็จะหยิบใส่ถุงให้ ส่วนคนที่ซื้อเยอะก็จะแถมให้อย่างไม่ตระหนี่
ลูกค้าหลายคนซื้อซาลาเปาเป็นอาหารเช้า และกินทันทีที่ได้มา
ด้วยเหตุนี้ซาลาเปาจึงขายหมดอย่างรวดเร็ว เมื่อซาลาเปาเริ่มน้อยลง จำนวนคนก็ค่อย ๆ บางตา หลังจากขายให้ลูกค้ารายสุดท้ายแล้ว ลี่หรงจึงสามารถพักผ่อนได้ในที่สุด เธอหยิบน้ำที่พกมาจากบ้านขึ้นมาจิบหลายครั้ง
ชายคนที่รออยู่ข้าง ๆ พลันเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าอ่อนโยน “คุณ …”
“อ้าว! คุณ… สวัสดีค่ะ” ลี่หรงเผยรอยยิ้ม “ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องรอนานนะคะ”
“เรื่องเล็กน้อยครับ” ชายคนนั้นขยับแว่นตา แล้วถามว่า “คุณครับ ผมมีเรื่องจะถามสักหน่อย”
“คุณบอกมาได้เลยค่ะ”
“คุณช่วยขายสูตรพะโล้ก่อนหน้านี้ ให้ผมหน่อยได้ไหมครับ?”
ลี่หรงไม่คาดคิดว่าเขาจะมีความคิดนี้ สมัยที่เธอเป็นบล็อกเกอร์ในยุคสมัยใหม่ ลี่หรงเคยเปิดเผยสูตรพะโล้ให้ฟรี เพราะหลายสิ่งหลายอย่างไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป สำหรับคนยุคปัจจุบัน
แต่ตอนนี้สูตรอาหารกลับเป็นสิ่งที่มีค่ามาก หากสามารถทำเงินได้ ลี่หรงย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้ไป
การซื้อขายสูตรไม่ค่อยเป็นที่นิยมในยุคสมัยนี้ หากแต่ต่อมาเมื่อมีนโยบายเปิดการค้าเสรี ที่ไม่ว่าใครก็สามารถทำธุรกิจได้ การซื้อขายสูตรจึงค่อย ๆ เพิ่มขึ้น
เช่นเดียวกับเครือแฟรนไชส์ในรุ่นต่อ ๆ ไป หัวใจสำคัญของการตลาดเชิงพาณิชย์ก็คือสูตร
ลี่หรงไม่อยากเก็บสูตรลับนี้ไว้เป็นความลับ ถ้ามีคนขอซื้อก็จะขายให้ได้ หากมันได้เงินก็ถือได้ว่ามีส่วนช่วยให้เธอได้ทุนประกอบอาชีพเพิ่มขึ้นอีกทาง
แต่เธอกลับไม่ตอบตกลงในทันที เธอถามว่า “ทำไมถึงอยากได้สูตรนี้ล่ะคะ?”
ชายคนนั้นจึงยื่น ‘นามบัตร’ ให้กับลี่หรง
มันทำมาจากกระดาษกล่องบุหรี่ที่ตัดเป็นสี่เลี่ยมเล็ก ๆ แล้วเขียนด้วยปากกาลูกลื่น
โรงงานเหล็กลู่ซาน
ผู้จัดการฝ่ายขนส่งสินค้าอู๋จื่อกัง
หมายเลขโทรศัพท์สำนักงาน
ลี่หรงตกใจทันทีเมื่อได้อ่าน แม้ว่าเธอจะไม่รู้จักโรงงานเหล็กลู่ซาน แต่เธอก็รู้ดีว่าในยุคนี้ โรงงานเหล็กถือเป็นแหล่งอาชีพที่มั่นคง เพราะเป็นหน่วยงานระดับชาติ แถมชายคนนี้ยังเป็นถึงผู้จัดการอีกด้วย
อู๋จื่อกังกล้าหาญมาก ถึงได้กล้าเปิดเผยความลับของเขากับเธอ ลี่หรงพูดด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าท่านจะเป็นผู้จัดการ ฉันก็ไม่สามารถขายสูตรให้คุณได้ทันทีนะคะ”
ลี่หรงไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานมาข่มขู่เธอ เพราะหากเขามาที่ ‘ตลาดการค้าเสรี’ ในฐานะผู้จัดการ แล้วเกิดมีคนไปรายงานทางการเข้า เขาเองจะได้รับโทษหนัก
อู๋จื่อกังส่ายหน้า “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อครับ ผมอยากซื้อสูตรจากคุณอย่างจริงใจ ผมรับผิดชอบด้านขนส่งสินค้า และใส่ใจปัญหาเรื่องอาหารของคนงานมาก หากอาหารไม่อร่อย คนงานจะไม่ค่อยกินข้าวกัน แรงงานในโรงงานเหล็กต่างก็ต้องทำงานหนัก หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป คนงานก็จะไม่มีแรงทำงานหนัก ซึ่งจะส่งผลต่อผลผลิตครับ”
MANGA DISCUSSION