ตอนที่ 19 ธุรกิจกุนเชียงกำลังเฟื่องฟู แต่ต้องกังวลเรื่องหัวขโมย
“อ๊ะ เนื้อนี้อร่อยมากจริง ๆ”
หลังจากที่ลี่หรงบรรจงใส่กุนเชียงเข้าไป เธอก็เริ่มห่อมัน
เธอกับเหอซิ่งห่อกุนเชียงด้วยกระดาษสีน้ำตาลห่อละจิน แล้วเอาไปให้จ้าวชิงซงขาย
นี่คือ ‘ผลิตภัณฑ์ใหม่’ ความจริงแล้วลี่หรงก็กังวลเล็กน้อยว่าจะขายได้ไม่ดี
จ้าวชิงซงบีบมือเธอ “เฮ้ ตอนนี้รู้สึกกังวลแล้ว เมื่อก่อนทำไมคุณไม่กังวลเหมือนตอนที่ผมเอาพะโล้ไป ‘ตลาดเสรี’ คนเดียวบ้างล่ะ?”
ลี่หรงกลอกตามองเขา “ใครบอกว่าตอนนั้นฉันไม่กังวล”
จ้าวชิงซงใช้ประโยชน์จากความจริงที่ว่า พี่ชายของเขาไม่ได้มองอยู่ รีบก้มหน้าลงไปจูบลี่หรง “อย่ากังวลไปเลย คราวนี้เป็นสามีของคุณที่จะไปขายเอง ถ้าขายไม่ได้ก็โทษผมได้เลย”
“คุณพูดมากจังนะ!” ลี่หรงหัวเราะ “รีบไปเถอะ เดินทางระวังด้วย”
เมื่อคนที่เคยซื้อพะโล้มาก่อน ครั้นเห็นจ้าวชิงซงขายกุนเชียง พวกเขาก็จ่ายเงินทันที โดยที่ชายหนุ่มไม่ต้องพูดอะไรเลย
ดังนั้น ธุรกิจกุนเชียงจึงดำเนินไปอย่างราบรื่น
เมื่อจ้าวชิงซงนำเงินจากการขายกุนเชียงมาให้แล้ว ลี่หรงก็นั่งนับเงินอยู่บนเตียงเตาอย่างมีความสุขมาก
เมื่อพิจารณาจากตลาดแล้ว ปริมาณการผลิตของลี่หรงเกือบจะคงที่แล้ว และเธอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องยอดขาย
คงเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะทำทุกอย่างราบรื่นตลอดเวลา เมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างราบรื่นก็มักจะมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
วันนี้เมื่อเหอซิ่งกำลังเก็บกุนเชียง ก็พบว่ามีกุนเชียงหายไปสองสามชิ้น เมื่อลองนับอีกครั้งก็พบว่าใช่แล้ว เธอแน่ใจว่ากุนเชียงหายไปสองสามชิ้นจริง ๆ จึงรีบไปบอกลี่หรงเรื่องนี้
ลี่หรงกล่าวว่า “เธอเพิ่งรู้เหรอ พวกมันหายไปหลายครั้งแล้ว ก่อนหน้านี้ที่หายไปหนึ่งหรือสองครั้ง ฉันไม่ได้สนใจ ไม่คิดเลยว่าหัวขโมยจะกล้าขโมยบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ คนเลวคนนี้เหิมเกริมมากไปแล้ว คงคิดว่าพวกเราโง่จริง ๆ!”
เหอซิ่งเม้มปาก “น้องสะใภ้ ฉันไม่ได้เอาไปนะ” ลี่หรงรู้อยู่แล้วว่ากุนเชียงถูกขโมยไป แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะกลัวเหอซิ่งจะกังวลว่าเธอจะสงสัยตนเอง เมื่อคิดได้ดังนั้นก็พูดออกมาตามตรง โดยไม่อ้อมค้อม เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
“ฉันรู้! ฉันไม่ได้สงสัยพี่เลย” ลี่หรงยิ้มอย่างมั่นใจ “ฉันรู้ว่าพี่สะใภ้ของฉันเป็นคนยังไง”
ลี่หรงพูดตามความจริง เธอไม่เคยสงสัยเหอซิ่งเลย ประการแรก เงินเดือนที่เสนอให้กับเหอซิ่งนั้นไม่ต่ำเลย ประการที่สอง เธอรู้จักอุปนิสัยของเหอซิ่งเป็นอย่างดี อีกทั้งเมื่อวันส่งท้ายปีใกล้เข้ามา เหอซิ่งก็ใช้เงินของตัวเองไปซื้อหมูมาทำอาหารด้วย และวางแผนจะนำกลับไปบ้านพ่อแม่ เพื่อไปเยี่ยมญาติช่วงวันปีใหม่
เหอซิ่งหาเงินได้มากมาย ที่บ้านจึงไม่ได้ขาดแคลนกุนเชียงเหล่านี้ จึงไม่มีทางเป็นเธอได้
หลังจากได้ยินคำพูดของลี่หรง เหอซิ่งก็รู้สึกโล่งใจ แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “ใครกันที่แอบทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้ ไร้คุณธรรมกันจริง ๆ! ทำเรื่องแบบนี้ไปได้ยังไง น้องสะใภ้ ไม่รู้ว่าโดนขโมยไปกี่ครั้งแล้ว! ไม่ได้การ! ฉันจะไปบอกจ้าวชิงหยาง!”
“เฮ้” ลี่หรงรั้งเธอไว้ “พี่อย่าเพิ่งเอะอะไปเลย ถ้าพี่ใหญ่กับชิงซงรู้เรื่อง เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ หัวขโมยก็จะรู้เรื่องนี้ด้วย และหลังจากนั้น อีกฝ่ายก็จะไม่กล้าลงมืออีกแน่นอน เราอย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่นจะดีกว่า!”
“แล้วเราควรทำยังไงดี!”
“ฉันขอคิดดูก่อน พี่สะใภ้ เรามาห่อที่เหลือกันก่อนเถอะ”
จ้าวชิงซงกับพี่ชายของเขาเพิ่งขับเกวียนวัวออกไปส่งสินค้า ส่วนลี่หรงก็ขี่จักรยานไปยังที่ว่าการอำเภอ
เมื่อเธอกลับมา เหอซิ่งก็กำลังหมักเนื้ออยู่ ลี่หรงจอดจักรยาน นำเนื้อมา แล้วหยิบถุงกระดาษออกจากกระเป๋า เทผงบางอย่างลงไปผสมในเนื้อที่ใช้ทำกุนเชียงสี่ห้าอัน
เหอซิ่งเห็นเธอทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ จึงถามด้วยความสงสัย “กำลังทำอะไรอยู่? นี่เป็นรสชาติใหม่หรือเปล่า?”
“ใช่แล้ว!” ลี่หรงพูดด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “ใส่ของดีลงไปแล้ว ฉันจะตากไว้ตรงนี้ อย่าย้ายที่นะ”
เหอซิ่ง “รู้แล้ว”
สิ่งแรกที่ลี่หรงทำเมื่อเธอตื่นขึ้นมาตอนเช้าทุกวัน คือการดูว่ากุนเชียงเหล่านั้นยังอยู่ที่เดิมหรือไม่
ก่อนหน้านี้เธอสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่กุนเชียงหายไป มันจะเป็นอันที่ห้อยอยู่ริมสุดเสมอ เธอจึงจงใจแขวนกุนเชียงที่ใส่ส่วนผสมบางอย่างไว้ตรงริมสุด
หลังจากตากแห้งไปสองสามวัน แน่นอนว่ากุนเชียงชุดนี้หายไปอย่างที่คาดไว้ ลี่หรงมองส่วนที่ว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัด แล้วนึกเยาะเย้ย “รอก่อนเถอะ เจ้าหัวขโมย!”
หลังจากทำเช่นนี้ เธอก็ไปหาคุณแม่จ้าวและเหอซิ่ง เพื่อบอกให้พวกเธอใส่ใจดูมากขึ้น ว่าครอบครัวของใครขอลา และไม่สามารถมาทำงานได้
แม้ว่าแม่จ้าวจะไม่รู้ว่าลี่หรงต้องการทำอะไร แต่สิ่งที่เธอบอกให้ทำก็ไม่ใช่เรื่องยาก แม่จ้าวเลยรับปากว่า “เข้าใจแล้ว”
เวลาผ่านไปสองวันแล้ว นับตั้งแต่กุนเชียงถูกขโมยไป แต่ยังไม่มีใครในชุมชนขอลางาน
ลี่หรงเดาว่าหัวขโมยที่ขโมยไป ยังไม่กล้าหยิบลงหม้อทันที
เธอเม้มปาก ไม่ได้สนใจมากนัก
ในวันนี้ ลี่หรงได้พาเหอซิ่งนั่งจักรยานไปที่ร้านสหกรณ์ และตลาดของอำเภอเพื่อซื้อของต่าง ๆ
เหอซิ่งซื้อผ้าฝ้ายหลายผืน เพื่อให้พอที่จะทำเสื้อผ้าได้หลายชุด ลี่หรงรู้สึกประหลาดใจจึงถามว่า “ทำไมต้องซื้อเยอะขนาดนี้ด้วย?”
“ว่าจะทำเสื้อผ้าใหม่ให้ลูกชายใส่ในช่วงปีใหม่น่ะ และรองเท้าของพ่อพวกเขาก็อยู่ในสภาพแย่เช่นกัน ก็เลยจะทำชุดใหม่ให้พวกเขาเลย” ใบหน้าของเหอซิ่งเต็มไปด้วยความสุข
ทันใดนั้นลี่หรงก็จำได้ว่า รองเท้าของจ้าวชิงซงก็อยู่ในสภาพที่ไม่ดีเช่นกัน รองเท้าที่เขาสวมหลังจากกลับจากกองทัพนั้นหมดสภาพไปแล้ว และรองเท้าผ้าเก่าที่เขาได้มาเมื่อนานมาแล้วก็ชำรุดด้วย
เนื่องจากอาการบาดเจ็บ จุดศูนย์ถ่วงของจ้าวชิงซงแทบจะอยู่แค่บนเท้าซ้ายที่แข็งแรง ดังนั้นรองเท้าข้างซ้ายของเขาจึงพังเร็วที่สุด
รองเท้าคู่เก่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน ลี่หรงจึงนึกอยากซื้อรองเท้าสำหรับผู้ชายสักคู่
เหอซิ่งจ่ายเงินพร้อมกับตั๋วเพื่อซื้อผ้า เมื่อเห็นลี่หรงกำลังเหม่อลอยครุ่นคิด ก็เดินไปหาเธอแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เธออยากซื้อรองเท้าให้สามีสักคู่ไหม? ในหมู่บ้านของเรา รองเท้าที่ผู้ชายใส่นั้น ล้วนมาจากภรรยาทำให้ทั้งนั้น เธอยังไม่เคยให้รองเท้าสามีเลยใช่ไหม? ถ้าเธอทำรองเท้าดี ๆ ให้เขาสักคู่ เขาก็คงจะมีความสุขไปจนถึงปีหน้าเลย ว่ายังไง?”
ลี่หรงส่ายหน้า “ฉันทำไม่เป็น ฉันจะไปดูว่ารองเท้าที่ทำเสร็จแล้วนั้นดีหรือเปล่า” ในมุมมองของลี่หรง การซื้อผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปก็เหมือนกับการซื้อวัตถุดิบ และจ่ายเงินซื้อเวลาในการทำ
ลี่หรงมองแผงขายรองเท้าสำเร็จรูป บ้างก็ขายรองเท้าผ้า บ้างก็ขายรองเท้าหนัง เธอครุ่นคิดก่อนจะเลือกรองเท้าผ้าคู่หนึ่งให้จ้าวชิงซง เพราะรองเท้าผ้าใส่สบายกว่ารองเท้าหนัง
จากนั้นก็ซื้อรองเท้าผ้าสีดำให้ตัวเองด้วย
รองเท้าที่ทำสำเร็จแล้วนั้นมีราคาแพงกว่าวัตถุดิบหลายเท่า ลี่หรงจึงต่อราคาและรีบจ่ายเงินอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เหอซิ่งอิจฉาไม่น้อย
หลังจากนั้น ลี่หรงก็บอกว่าต้องการซื้อเสื้อผ้า
เหอซิ่งคิดว่าลี่หรงต้องการซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูป แต่ไม่คาดคิดเมื่อลี่หรงบอกจะไปที่ร้านขายผ้า และเธอก็เลือกมัดผ้าอย่างระมัดระวัง
เหอซิ่งเห็นว่าผ้าที่เธอเลือกซื้อล้วนมีราคาแพง แต่มันกลับเป็นผ้าธรรมดา ๆ เรียบง่าย ไม่มีลวดลาย ผ้าชนิดนี้ชาวบ้านไม่ถือว่าเป็นผ้าดีเด่อะไร
สีสันไม่สดใส ดูไม่สะดุดตา มีแต่พวกอันธพาลในเมืองเท่านั้นที่จะชอบแบบนี้ เหอซิ่งถามว่า “เธอเย็บเสื้อผ้าได้เหรอ?”
ในชาติก่อนนั้น ลี่หรงเรียนเอกการออกแบบแฟชั่นในมหาวิทยาลัย เธอจึงไม่มีปัญหาในการทำเสื้อผ้า แต่จะไม่บอกเรื่องนี้กับเหอซิ่งหรอกนะ เพียงแค่ยิ้มขณะเชิดคางขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดด้วยความภาคภูมิใจ “ได้สิ”
เมื่อกลับถึงบ้าน ลี่หรงก็หยิบรองเท้าออกมา และลังเลว่าจะมอบรองเท้าให้จ้าวชิงซงอย่างไร ให้ดูเป็นธรรมชาติ
เมื่อคิดว่าต้องมอบมันให้กับผู้ชายด้วยตนเองก็รู้สึกอายจริง ๆ เป็นความรู้สึกเดียวกับการซื้อของขวัญให้คนที่ชอบ ทำให้เธอเขินอายเกินกว่าจะมอบให้ด้วยตนเองต่อหน้า
MANGA DISCUSSION