บทที่ 11 ซื้อเนื้อ หนทางไปสู่ความร่ำรวยก้าวที่สอง (ความขัดแย้งทางจิตใจของพระเอก)
ลี่หรงสอบถามราคา
ก่อนจะรู้ว่าราคาที่เถ้าแก่ขายนั้นมากกว่าสองเท่าของราคาในร้านสหกรณ์
เธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักพัก ก่อนซื้อกระป๋องนมจากผู้ขาย
หญิงสาวไม่เคยได้ลิ้มรสนมมอลต์ของยุคนี้มาก่อน เคยได้ยินคนแก่พูดกันว่าเป็นของแพงและหวานมาก เพราะแบบนั้น …ลี่หรงเลยอยากลองชิมดู
ว่าแล้วเธอก็ยื่นเงินออกไปจ่าย
ใน ‘ตลาดเสรี’ นี้ มีแผงขายเนื้อหมูไม่มากนัก ก่อนลี่หรงจะเดินเข้าไปหาแผงขายหมูแผงหนึ่ง ทำให้ผู้คนรอบ ๆ หันมอง โดยหนึ่งในนั้นคือคุณป้าที่เป็นเจ้าของแผง
ลี่หรงสอบถามราคาอีกฝ่าย ก่อนซื้อเนื้อสิบจินในคราวเดียวเพราะเธอวางแผนจะทำพะโล้ออกมาขาย นอกจากนี้ หญิงสาวยังซื้อหมูสามชั้นมาอีกสองจิน สำหรับไว้ทำหมูพะโล้ในคืนนี้
แต่ถึงลี่หรงจะซื้อเนื้อหมูมาเยอะเพียงนั้น ทว่าสายตาของป้าที่มีต่อเธอกลับไม่เปลี่ยนแปลงนัก ไม่เหมือนแผงขายร้านข้างนอกที่คุณจะได้รับการต้อนรับด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอเวลาอุดหนุนซื้อของทีละมาก ๆ
ผู้คนที่นี่ค่อนข้างระมัดระวัง ลี่หรงคิดกับตัวเอง
เพื่อทำเนื้อตุ๋น ลี่หรงจึงซื้อเครื่องเทศมามากมาย เมื่อเห็นว่าวันนี้ตนซื้อของกลับมามากขนาดนี้ หญิงสาวก็เกรงว่าจะดึงดูดความสนใจคนรอบตัวอยู่ไม่น้อย เธอจึงเอาผ้าคลุมในตะกร้าออก ก่อนนำของที่ซื้อมาใส่แล้วคลุมด้วยผ้าอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งช่วยเลี่ยงความสนใจของคนรอบข้างได้นิดหน่อย
ลี่หรงเดินออกจาก ‘ตลาดเสรี’ พร้อมของในตะกร้า
เธอไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกว่าหลายคนบนท้องถนนหันมองเธออยู่เนือง ๆ เหงื่อในมือพลันซึมออกมาเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวทำสิ่งนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าลี่หรงตื่นเต้นมากแค่ไหน
จนกระทั่งเธอเดินมาขึ้นรถประจำทาง จึงค่อยรู้สึกโล่งใจ
กว่าจะกลับถึงบ้านก็เลยเวลาอาหารกลางวันไปแล้ว ลี่หรงจึงกินขนมอบสองสามชิ้นเพื่อให้อิ่มท้อง พูดตามตรงรสชาติมันไม่ค่อยถูกปากนัก อาจเป็นเพราะขนมอบที่เคยกินในชีวิตก่อนหน้านี้มีกลิ่นหอม และเนื้อละเอียดกว่ามาก
เมื่อกลับมาถึง หญิงสาวก็ตรงไปยังครัวเล็ก ๆ ของตนทันที และเพราะมีมันนี่แหละ ลี่หรงเลยทำอาหารได้สะดวกขึ้นเยอะเลย
ว่าแล้วเธอก็นำเนื้อที่ซื้อมาหั่นเป็นชิ้นยาว แล้วนำไปขจัดกลิ่นผ่านการลวกในน้ำร้อน ก่อนนำออกมาล้างด้วยน้ำสะอาดอีกสองรอบเพื่อกำจัดฟองที่ลอยอยู่ออก พร้อมเติมเครื่องเทศ และปรุงตามสูตรน้ำดองหอมกรุ่นจากความทรงจำของตัวเองเป็นการตบท้าย
เมื่อน้ำเดือดได้ที่ กลิ่นเครื่องเทศที่หอมฟุ้งพลันส่งกลิ่นไปไกลจนถึงบริเวณรอบ ๆ แต่โชคดีที่ชาวบ้านซึ่งอาศัยอยู่รอบ ๆ ไปทำงานกันหมดแล้ว ไม่เช่นนั้นคงอธิบายได้ยากว่าใครกันที่ทำอาหารหอม ๆ นี้
ลี่หรงต้มไข่อีกยี่สิบฟอง ก่อนปลอกไข่แล้วนำไปปรุงด้วยกันในหม้อที่ใส่หมูพะโล้ตุ๋น
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ลี่หรงได้หมูตุ๋นมาชิ้นหนึ่ง รสชาติกำลังดี เนื้อสัมผัสนุ่มลิ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าอาหารที่ตุ๋นกว่าหนึ่งชั่วโมงนี้จะถือว่าเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว เพราะอาหารประเภทนี้ต้องต้มสามนาที และพักทิ้งไว้อีกเจ็ดนาที เพื่อให้เนื้อซึมซับรสชาติ
ว่าแล้วหญิงสาวก็ปล่อยให้เนื้อและไข่ในหม้อปรุงไว้แบบนั้น
หลังจากทำพะโล้หม้อนี้เสร็จแล้ว มันก็ถึงเวลาอาหารเย็นพอดี จึงเป็นจ้าวชิงซงที่กลับมาพร้อมกับปลาจำนวนหนึ่งในมือ โดยชายหนุ่มได้ใช้เชือกฟางลอดผ่านเหงือกปลา จับร้อยพวกมันเข้าด้วยกัน มีจำนวนทั้งหมดสี่ห้าตัว และมีขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือ
ที่ขากางเกงของเขา มันทั้งเปียกและเปื้อนโคลน ทำให้ตัวจ้าวชิงซงดูตลกนิดหน่อย
ลี่หรงขมวดคิ้ว เมื่อนึกถึงเท้าที่มีปัญหาของเขา “คุณไปทำอะไรมาน่ะ?”
จ้าวชิงซงพอได้ยินก็ตอบอย่างตื่นเต้นว่า “เกษตรกรที่เกี่ยวข้าวกำลังปล่อยน้ำลงคู และมันก็มีปลาเต็มไปหมด พอผมเห็นคนอื่นจับเลยลงไปจับด้วยบ้าง ไม่คิดเลยว่าจะจับได้มากขนาดนี้”
เขายิ้มแย้มแจ่มใสราวกับเด็กที่รอคอยคำชมจากพ่อแม่ ใช้ดวงตาที่เป็นประกายแวววาวของตนจ้องไปทางหญิงสาว คาดหวังที่จะได้รับคำชมกลับมา
ทว่าลี่หรงกลับหยิบปลาไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างควบคุมไม่ได้
“คุณไม่รู้เหรอว่าเท้าของคุณไม่ค่อยดี? แค่คุณเห็นคนอื่นจับปลาในคูน้ำ ก็ลงไปจับตามพวกเขาซะอย่างนั้น ถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ?”
จ้าวชิงซงรู้สึกร้อนวาบ นี่ลี่หรงเป็นห่วงเขางั้นเหรอ? ว่าแล้วชายหนุ่มพลันเผยยิ้มมุมปาก
ก่อนพึมพำว่า “ผมไม่เป็นอะไรหรอก”
“คุณไม่ควรทำอย่างนี้เลย ยิ่งเท้าของคุณไม่ค่อยดีอยู่ คุณอาจเจ็บตัวได้เลยนะหากไม่ระวัง ผิดกับคนอื่นที่ไม่เจ็บเท้าเลยทำแบบนั้นได้”
ลี่หรงดึงฟางออกมา ก่อนจะนำปลาไปล้างให้สะอาด
จ้าวชิงซงนิ่งไป เขาหลับตา และหายใจเข้าช้า ๆ
“อาการบาดเจ็บที่เท้าของผมหายดีมานานแล้ว นอกจากการเดินกะโผลกกะเผลกเล็กน้อย อย่างอื่นก็เหมือนคนปกติทั่วไป แค่ไม่สามารถทำงานแรงงาน นอกนั้นสามารถทำทุกอย่างที่คนอื่นทำ …ผมไม่ได้เปราะบางขนาดนั้น”
ลี่หรงไม่เงยหน้าขึ้น
“ไม่ใช่ว่าทำได้หรือไม่ได้ แต่หากมีคนอื่นที่จับปลาในคูน้ำชนคุณแล้วล้มลง ฉันจะไปช่วยคุณได้ทันเหรอ?”
ความนัยของมันก็คือเธอคิดว่าเพราะขาเขามีปัญหาจนทำอะไรไม่สะดวก จึงเป็นห่วง ไม่อยากให้ชายหนุ่มทำอะไรแบบนั้นอีก
พอได้ยินแบบนั้น จ้าวชิงซงพลันรู้สึกเศร้า และคล้ายทนความขมขื่นในใจไม่ไหว เขาเลยเดินจากไปเสียอย่างนั้น
ลี่หรงไม่ได้ยินเสียงจ้าวชิงซงตอบกลับ จึงเงยหน้าขึ้นด้วยความสับสน ก่อนเห็นเพียงไหล่ที่ตกของชายร่างสูงผอม ท่าทางคล้ายหดหู่ใจ
เธอหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงหันไปถอดเกล็ดออก ก่อนผ่าเปิดท้องปลา
หลังจากรับประทานอาหารแล้ว จ้าวชิงซงก็เก็บจานก่อนนำไปล้างอย่างเงียบ ๆ เป็นอันเข้าใจไปโดยปริยายระหว่างพวกเขาทั้งสอง
ภรรยาทำอาหาร ส่วนสามีล้างจาน
ระหว่างนี้ ลี่หรงนั่งอยู่ในสวนเพื่อรับลมสักพักแล้วจึงไปอาบน้ำ
หลังอาบน้ำเสร็จ ลี่หรงก็นอนคิดบนเตียงว่าจะขายเนื้อตุ๋นในวันรุ่งขึ้นอย่างไรดี พลางคิดไปด้วยว่าควรตั้งราคาเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม
ในจังหวะนั้นเอง จ้าวชิงซงได้เดินกลับมาจากอาบน้ำแล้วเช่นกัน เขาสวมกางเกงขาสั้นตัวใหญ่ และใส่เสื้อกั๊กสีขาวที่เผยให้เห็นแขนขาอันผอมบาง
แต่เมื่อเห็นเขานำมือมาจับเตียงเพื่อค้ำตัว หญิงสาวก็พลันเห็นถึงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้อย่างชัดเจน
นี่เป็นครั้งแรกที่ลี่หรงได้อยู่ในห้องเดียวกันกับผู้ชายคนหนึ่งจนดึกดื่น ยิ่งกว่านั้นคน ๆ นี้ยังเป็นคนที่เธอชอบอีก แล้วมาตอนนี้ทั้งคู่กำลังจะล้มนอนลงบนเตียงเดียวกัน…
หัวใจลี่หรงพลันเต้นระรัว
เพราะสายตาของลี่หรงที่จับจ้องนานเกินไป จ้าวชิงซงเลยหันกลับมามอง ทว่าเธอไม่รู้สึกเขินอายเลยแม้แต่น้อย กลับยังยิ้มก่อนพูดว่า “กล้ามเนื้อแขนคุณดูแข็งแรงดีจัง”
จ้าวชิงซงยังคงจำสิ่งที่เธอพูดไปเมื่อตอนเย็นได้ เขาจึงเบือนหน้าหนีไม่ตอบกลับอะไร
“มีอะไรเหรอ?” ลี่หรงพลันลุกขึ้นนั่ง
“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า ตั้งแต่เมื่อมื้อเย็นแล้ว” เธอถามอย่างเป็นกังวล
“ไม่มีอะไร เข้านอนได้แล้ว”
“จะไม่มีอะไรได้ยังไง ทำไมคุณถึงโกรธโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้ล่ะ งั้นพรุ่งนี้คุณก็ทำอาหารทานเองเลยแล้วกัน”
ลี่หรงจึงล้มตัวนอนหันหลังให้จ้าวชิงซง ก่อนดึงผ้ามาห่ม
จ้าวชิงซงมองดูแผ่นหลังของเธออยู่ครู่หนึ่ง
เฮ้อ… จากที่เขาโกรธ ดันกลายเป็นตัวเขาที่ทำให้เธอโกรธซะงั้น… หากไม่รีบสะสางเรื่องนี้ เกรงว่าพรุ่งนี้จะไม่มีอาหารตกถึงท้องเสียแล้ว
แม้ตนเองจะเพิ่งทานอาหารที่ปรุงโดยลี่หรงไปไม่กี่มื้อ แต่จ้าวชิงซงรู้สึกได้เลยว่าตนคงไม่สามารถกินอาหารรสมือคนอื่นได้อีกต่อไป
แม้แต่หมั่นโถวที่ตนและซ่งเซียวซานกินจากร้านอาหารของรัฐที่มีชื่อในวันนี้ มันกลับ ‘มันเยิ้ม’ แถมยังเลี่ยน ไม่ดีเท่าของลี่หรงเลย
การไม่ได้กินอาหารที่ลี่หรงปรุง เป็นเหมือนกับการลงโทษ
จ้าวชิงซงพบว่าทุกครั้งที่ทะเลาะกับเธอ ตนจะเป็นฝ่ายที่ทนทุกข์อยู่เสมอ และเพราะข้อเท็จจริงนั้น เขาจึงยิ่งรู้สึกหดหู่เข้าไปใหญ่
เขาถอนหายใจ ก่อนเรียกลี่หรง
ลี่หรงปิดหู
จ้าวชิงซงนึกถึงสิ่งที่เธอพูดในวันที่ทั้งสองแยกครอบครัว พลางเม้มริมฝีปากเป็นเส้นบาง
ก่อนเอ่ยว่า “คุณอาจคิดผิดที่แต่งงานกับคนพิการแบบนี้ แต่ความจริงแล้ว ผมไม่ได้ต่างจากคนปกติเลย ตราบใดที่เรายังเป็นสามีภรรยากัน ผมจะไม่ยอมปล่อยให้คุณมีชีวิตที่ยากลำบากเด็ดขาด”
เขาหยุดครู่หนึ่ง
“ถ้าคุณต้องการหย่าร้างกับผม และหาทางอื่นที่ดีกว่า…”
ทันทีที่เขาพูดแบบนี้ ลี่หรงก็ไม่สามารถแกล้งทำเป็นว่าเธอไม่ได้ยินได้อีกต่อไป และอดไม่ได้ที่โพล่งขัดจังหวะขึ้น
“ทำไมคุณถึงพูดถึงเรื่องการหย่าร้างอีก? ฉันไม่เคยบอกว่าการแต่งงานกับคนพิการเป็นเรื่องผิด”
จ้าวชิงซงมองลี่หรงอย่างมั่นคง
จู่ ๆ ลี่หรงพลันนึกขึ้นได้ว่าเธออาจไม่ได้พูด แต่ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเจ้าของร่างเดิมจะไม่เคยพูดถึงมันเช่นกัน
เฮ้อ!
เธอถอนหายใจ
“ไม่ว่าฉันจะเคยพูดหรือทำอะไรมาก่อน แต่ตอนนี้ฉันอยากมีชีวิตที่ดีกับคุณ และไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดเรื่องคุณด้วย”
MANGA DISCUSSION