Translator : Eidolon
www.nekopost.net/editor/78229
https://novel.dek-d.com/EidolonPlus/profile/writer/
https://eidolon.readawrite.com
https://www.facebook.com/gazcha
คมดาบเรเปียร์พุ่งเข้าโจมตีอย่างไม่ปรานี
แต่ทว่า การโจมตีโดยตรงนั้นถือเป็นความผิดพลาดมหันต์
ด้วยสเตตัสกีฬาที่เพิ่มขึ้น ผมจึงสามารถปัดดาบเรเปียร์ให้ลอยละลิ่วขึ้นไปบนฟ้าได้อย่างง่ายดาย
อีกฝ่ายคงไม่คาดคิดว่าจะต้องมาพ่ายแพ้ในเรื่องพละกำลังเป็นแน่ ถึงได้เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
ในตอนนี้ที่อีกฝ่ายสูญเสียอาวุธไปแล้ว ถือเป็นโอกาสทองที่จะต้องรีบฉวยไว้!
“ศึกครั้งนี้… ฉันชนะแล้วล่ะ”
ปลายมีดสั้นที่สะท้อนแสงแวววาวจ่ออยู่ที่เบื้องหน้าของกิมเล็ต
ศึกครั้งนี้… ชัยชนะเป็นของฉันอย่างไม่ต้องสงสัย
“ดูเหมือนว่าฉันจะประเมินนายต่ำเกินไปจริงๆ สินะ… ฉันขอยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี”
ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ดีว่าเมื่อไหร่ควรจะยอมถอย จึงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างลูกผู้ชาย
ถ้าไม่ใช่เพราะความหมกมุ่นในเรื่องผู้หญิงที่มันเกินพอดีไปหน่อยล่ะก็ หมอนี่ก็คงจะเป็นนักผจญภัยที่เก่งกาจและน่านับถือคนหนึ่งเลยแท้ๆ
“ต้องขออภัยด้วยที่ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ไว้ถ้ามีโอกาสอีกเมื่อไหร่ เราค่อยมานั่งคุยกันดีๆ อีกครั้งแล้วกันนะ”
กิมเล็ตพยายามจะตีจากไปพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนสดใส
แต่ว่า ผมไม่หลงกลง่ายๆ หรอกน่า
ผมรีบคว้าตัวกิมเล็ตที่พยายามจะเผ่นหนีเอาไว้ แล้วเอ่ยปากทักทายด้วยรอยยิ้มอันแสนชั่วร้าย
“จะรีบไปไหนกันล่ะครับ… คุณกิมเล็ต”
“ปะ…ไปไหนงั้นรึ พอดีว่าฉันเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่ามีธุระสำคัญที่ต้องไปทำน่ะสิ ถึงจะรู้สึกเสียใจกับนายมากก็เถอะนะ แต่วันนี้คงจะต้องขอตัวแค่นี้ก่อนล่ะ”
“อย่าพูดจาตัดรอนกันแบบนั้นสิเพื่อน แล้วอีกอย่าง… ไหนว่าถ้าชนะแล้วจะยอมทำตามคำขอ “อะไรก็ได้หนึ่งอย่าง” ไม่ใช่รึไงหา?”
นั่นแหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุด!
การเดิมพันที่ฝ่ายชนะจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่นี่แหละ คือสิ่งเดียวที่ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้มันมีความหมายขึ้นมา!
กิมเล็ตตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดหวั่นว่าจะโดนสั่งให้ทำอะไรกันแน่
ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาเองแท้ๆ แต่พอมาทำท่าทางหวาดกลัวซะขนาดนั้น มันก็ทำให้ผมดูเหมือนเป็นคนเลวร้ายไปเลยไม่ใช่รึไงกัน
ที่จริงแล้ว เรื่องที่ผมจะขอร้องน่ะ มันไม่ได้เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสอะไรสำหรับกิมเล็ตเลยสักนิด
ตรงกันข้าม มันอาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายซะจนทำให้เขาต้องสงสัยเลยด้วยซ้ำไปว่าจะขอแค่นั้นจริงๆ น่ะเหรอ
พวกเรากลับไปยังกิลด์ที่ทุกคนกำลังรอคอยอยู่
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปข้างใน ทั้งสามคนก็แสดงปฏิกิริยาที่แตกต่างกันออกไป
เบอร์รีที่อยากรู้ผลลัพธ์ใจจะขาดรีบวิ่งเข้ามาหา ฮาคุชิโระที่ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ก็แสดงความเป็นห่วงออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน และมิล่าที่ยืนกอดอกมองมาด้วยท่าทางสบายๆ อยู่ข้างหลัง
“เป็นยังไงบ้าง ชนะรึเปล่า ชนะใช่ไหมล่ะ?”
“อืม ก็เรียกว่าชนะแบบเฉียดฉิวล่ะมั้งนะ”
“ใช่แล้วล่ะ! นั่นมันเป็นการชนะที่เหมือนกับปาฏิหาริย์ชัดๆ เลยนะ! เพราะงั้น ฉันยังไม่ได้แพ้สักหน่อย! เอาเป็นว่า… เสมอกันก็แล้วกันนะ!”
ผมรีบคว้าตัวกิมเล็ตที่พยายามจะฉวยโอกาสหนีไปอีกครั้ง
เกือบจะคิดว่าจับมันมัดด้วยเชือกซะเลยดีไหมแล้วนะเนี่ย แต่ถ้าทำแบบนั้นมันก็คงจะดูไม่ดีเท่าไหร่ เลยล้มเลิกความคิดนั้นไป
“ก็บอกแล้วไงเล่าว่าฉันไม่ได้จะทำอะไรให้นายเดือดร้อนสักหน่อย”
“แกนี่มันโง่เง่าเต่าตุ่นจริงๆ เลยนะ! มีไอ้บ้าที่ไหนมันจะไปเชื่อคำพูดของคนที่เคยเป็นศัตรูกันง่ายๆ แบบนั้นวะ!”
“เรื่องปัญหาศัตรูอะไรนั่นน่ะ แกเป็นคนหาเรื่องท้าฉันก่อนไม่ใช่รึไงกัน”
“ก็แหงสิ! ถ้าพาเจ้าหญิงแสนสวยตั้งสามคนมาเดินอวดโฉมกันแบบนี้ มันก็ต้องเป็นที่จับตามองของคนอื่นเป็นธรรมดาอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ!”
เหล่านักผจญภัยที่อยู่รอบๆ ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น
ดูเหมือนว่าจะมีหลายคนที่ไม่พอใจผมอยู่เงียบๆ โดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยสินะ
“แล้ว? สรุปว่าแกจะให้ฉันทำอะไรกันแน่? คงจะไม่ได้ขออะไรที่มันเกินกำลังของฉันไปหรอกนะ”
“แกคิดว่าฉันเป็นคนยังไงกันแน่วะเนี่ย”
“ก็… ไอ้สารเลวที่ชอบข่มขู่บังคับให้ผู้หญิงมาเป็นทาสรับใช้ตัวเองไงล่ะ”
“เอาล่ะ เตรียมตัวโดนเผาทั้งเป็นได้เลย”
“ในที่สุดแกก็เผยธาตุแท้ออกมาแล้วสินะ! ไอ้ปีศาจชั่วร้าย!”
“เลิกเล่นตลกปัญญาอ่อนกันได้แล้วน่า รีบๆ เข้าเรื่องกันสักทีเถอะค่ะ”
ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าไอ้กิมเล็ตที่ยังคงกวนประสาทน่ารำคาญไม่เลิกก็จริง แต่ที่มิล่าพูดมันก็ถูกแล้วล่ะ ควรจะรีบเข้าเรื่องกันได้แล้ว
พวกเราทั้งสี่คนกับกิมเล็ตพากันไปนั่งที่โต๊ะในโรงอาหารที่อยู่ติดกับกิลด์เพื่อจะเริ่มคุยธุระกันเสียที
แต่ทว่า เรื่องราวมันก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด
เพราะมันดันเกิดปัญหาขึ้นมาก่อนที่จะได้เริ่มคุยกันซะอีก
โต๊ะที่นั่งเป็นโต๊ะสำหรับหกคน ฝั่งละสามคน
พวกเราไม่รวมกิมเล็ตก็มีกันสี่คนแล้ว
นั่นก็หมายความว่า จะต้องมีใครคนหนึ่งที่ต้องไปนั่งอยู่ข้างๆ ผู้ชายที่ไม่ค่อยจะน่าไว้วางใจคนนี้
ถ้าคิดตามปกติแล้ว เพื่อที่จะกันเจ้ากิมเล็ตที่ชอบตีท้ายครัวผู้หญิงให้ออกห่างจากสาวๆ ทั้งสามคน ผมที่เป็นเพศเดียวกันก็ควรจะอาสาไปนั่งข้างๆ มันเอง
แต่ทว่า ครั้งนี้ประเด็นหลักมันคือการพูดคุยกันระหว่างผมกับกิมเล็ต
ถ้าคิดแบบนั้นแล้ว การนั่งอยู่ข้างๆ กันมันก็คงจะคุยกันไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่
ถ้าอย่างนั้นก็จำเป็นจะต้องเลือกใครสักคนจากในบรรดาสาวๆ ทั้งสามคน
ทั้งสามคนที่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ เริ่มมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
พวกเธอกระซิบกระซาบกันอยู่พักหนึ่งว่าใครจะเป็นคนไปนั่ง
ระหว่างนั้น กิมเล็ตก็ได้แต่นั่งทำหน้ากระอักกระอ่วนใจรออยู่
ก็แหงล่ะสิ ถ้าโดนทำเหมือนเป็นตัวเชื้อโรคที่ไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้แบบนี้ ใครๆ ก็คงจะทำหน้าแบบนั้นกันทั้งนั้นแหละ
“อยากจะถามหน่อยเถอะนะว่ารังเกียจที่จะนั่งข้างๆ ฉันขนาดนั้นเลยรึไงกัน”
สุดท้าย ข้อสรุปที่ได้ก็คือให้ฮาคุชิโระที่ตัวเล็กที่สุดไปนั่งอยู่บนตักของมิล่าแทน
เห็นแล้วก็อดที่จะรู้สึกสงสารกิมเล็ตขึ้นมานิดๆ ไม่ได้เหมือนกันนะ แต่ถ้าพิจารณาจากความประทับใจแรกที่แย่สุดๆ ของหมอนั่นแล้วล่ะก็ มันก็คงจะช่วยไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ
“กลับมาเข้าเรื่องกันต่อเถอะนะ สิ่งที่ฉันต้องการก็คือข้อมูล ฉันอยากจะให้นายช่วยเล่าเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังของเมืองนี้ให้ฟังหน่อย”
“เรื่องเกี่ยวกับเมืองนี้น่ะรึ พวกนายเคยเจอกับคนของเมืองนี้บ้างรึยังล่ะ”
พอนึกถึงตอนที่เจอกับเจ้าของร้านคนนั้นแล้ว อารมณ์มันก็พาลจะเดือดขึ้นมาอีกครั้ง
ความคิดเรื่องการแบ่งแยกชนชั้นอย่างรุนแรง ความโลภในเงินทองอย่างบ้าคลั่ง
ก็อาจจะมีความเป็นไปได้อยู่ที่หมอนั่นคนเดียวเท่านั้นที่เป็นแบบนั้น แต่ว่า…
“ดูจากสีหน้าแล้ว ท่าทางจะเคยเจอมาบ้างแล้วสินะ ถ้าเคยเจอมาแล้วก็น่าจะพอจะเข้าใจอยู่หรอกนะว่ามาตรฐานของพวกนั้นมันอยู่ที่เงินตราเพียงอย่างเดียวเท่านั้น พวกเขายกย่องบูชาคนที่มีเงินว่าเป็นพระเจ้า แล้วก็ด่าทอคนที่ไม่มีเงินว่าเป็นขยะ ฉันเองก็ไม่ใช่คนของเมืองนี้มาตั้งแต่แรก พอมาเจอแบบนี้แล้วมันก็รู้สึกขยะแขยงจนแทบจะทนไม่ไหวเหมือนกัน”
เท่าที่ฟังดูแล้ว ดูเหมือนว่าคนอื่นๆ ก็คงจะไม่ต่างกันเท่าไหร่สินะ
“เห็นว่ามีคนที่ถูกเรียกว่าพวก “เดนดิน” อยู่ด้วยนี่นา”
“อย่างนั้นรึ รู้เรื่องนั้นด้วยสินะ”
“เบอร์รี่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเลยจริงๆ นะ”
เบอร์รีผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ยิ่งกว่าใครเอ่ยปากขึ้นมา
น้ำเสียงของเธอนั้นเจือปนไปด้วยทั้งความโกรธและความเศร้า
“จากนี้ไปอาจจะเป็นเรื่องที่ท่านหญิงเบอร์รีรับฟังได้ยากสักหน่อย แต่ก็ขอให้โปรดเข้าใจด้วยนะครับ”
เขาเอ่ยปากเตือนเบอร์รีด้วยความใส่ใจ ก่อนที่จะเล่าเรื่องต่อไป
“พวกคนที่ถูกเรียกว่าเดนดินน่ะ ว่ากันว่าเดิมทีก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้นอะไรหรอกนะ แต่เมืองนี้มันถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยเจ้าเมืองคนใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่ง ชื่อของเจ้าเมืองคนนั้นคือ ดอลแมนี่ มาร์คพอนด์ นโยบายที่เขาใช้นั้นมันทั้งเรียบง่ายและเผด็จการสุดๆ เขาให้สิทธิพิเศษกับคนรวย แล้วก็รีดไถเงินจากคนอื่นๆ ในรูปแบบของภาษี ไม่นานความเหลื่อมล้ำทางฐานะมันก็ถ่างกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ”
เจ้าดอลแมนี่คนนั้นสินะ ที่ทำให้เมืองนี้มันกลายเป็นเมืองที่น่าเกลียดน่าชังไปได้ถึงขนาดนี้
ถ้ามองแค่ในแง่ของตัวเลขทางการเงิน มันก็อาจจะดูเหมือนเป็นนโยบายที่ชาญฉลาดอยู่หรอกนะ แต่ถ้ามองดูสภาพความเป็นอยู่ของชาวเมืองแล้วล่ะก็ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
“จากนั้นโศกนาฏกรรมมันก็ยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเรื่อยๆ สถานที่ที่เป็นจุดขายสำคัญของเมืองนี้ “โกลด์ไครซิส” เขาสร้างมันขึ้นมา โกลด์ไครซิสถูกสร้างขึ้นมาโดยอ้างว่าเพื่อให้โอกาสกับผู้ที่พ่ายแพ้ ให้พวกเดนดินเตรียมเงินจำนวนมากมา แล้วก็ให้เข้าร่วมการท้าทายต่างๆ ถ้าทำสำเร็จก็จะได้เงินเป็นสองเท่า ถ้าแพ้ก็จะถูกริบเงินทั้งหมด เป็นกฎกติกาที่เรียบง่ายสุดๆ”
“พวกเดนดินก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปพึ่งพาสิ่งนั้นสินะ ถ้าคิดดูดีๆ แล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับการสร้างขึ้นมาเพื่อรีดไถเงินชัดๆ เลยนี่หว่า แต่สำหรับคนที่จนตรอกแล้ว คงจะไม่มีปัญญาไปคิดวิเคราะห์อะไรได้ลึกซึ้งขนาดนั้นหรอกมั้ง”
ถ้ามีความเป็นไปได้แม้เพียงเล็กน้อยที่จะพลิกชีวิตได้ ใครๆ ก็คงอยากจะลองดูสักตั้ง นั่นแหละคือสันดานของมนุษย์
เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังของเมืองนี้ที่ค่อยๆ เปิดเผยออกมา มันช่างน่าหดหู่ใจเหมือนกับที่กิมเล็ตได้พูดเอาไว้จริงๆ
MANGA DISCUSSION