หลังจากนั่งโยกเยกอยู่บนรถม้ามาประมาณชั่วโมงครึ่ง
ข้างในรถม้าส่วนใหญ่มีแต่เสียงจ้อกแจ้กจอแจของเหล่าสาวๆ ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก แต่ในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึงเมืองต่อไปจนได้
พอเข้ามาใกล้ๆ ก็มองเห็นทัศนียภาพภายนอกของเมืองที่ให้ความรู้สึกหรูหราอลังการ ชนิดที่ว่าใช้เงินเนรมิตขึ้นมาเลยทีเดียว
“นั่นคือเมืองต่อไปสินะ”
“ใช่แล้วล่ะ นั่นคือเมืองเซเลนทรอน ย่านหรูหราที่ว่ากันว่าเหล่ามหาเศรษฐีจากทั่วทุกมุมโลกต่างก็อยากจะมาใช้ชีวิตบั้นปลายสุดท้ายที่นี่กันทั้งนั้นแหละ”
“เบอร์รี่ก็เคยไปมาแล้วนะ แต่ค่าครองชีพก็ไม่ได้แพงขนาดนั้นนี่นา?”
เบอร์รีสท์ฟังคำอธิบายของมิล่าด้วยท่าทางงุนงงสงสัย
แต่ว่า เรื่องที่เบอร์รีสท์พูดน่ะมันเชื่อถือไม่ได้หรอกนะ
เธอที่แทบจะไม่ได้มีโอกาสออกมาข้างนอกเลยสักเท่าไหร่ จะไปรู้เรื่องค่าครองชีพในเมืองได้ยังไงกัน
ยิ่งเป็นคนในราชวงศ์ด้วยแล้ว เรื่องเงินทองคงจะไม่ได้ขาดมืออยู่แล้วล่ะ
“จะว่าไป ขนมปังธรรมดาๆ ก้อนหนึ่งก็ราคา 1000G แล้วล่ะ”
ฮาคุชิโระยกตัวเลขที่ชัดเจนยิ่งกว่าขึ้นมา
นั่นยิ่งเป็นการพิสูจน์ว่าความรู้สึกเรื่องเงินทองของเบอร์รีสท์มันเพี้ยนไปแล้วจริงๆ
ขนมปังก้อนละ 1000G นี่มันแพงเกินไปแล้ว
ถึงจะขึ้นอยู่กับชนิดก็เถอะนะ แต่ขนมปังทั่วๆ ไปแพงสุดก็คงจะประมาณ 300-400G เท่านั้นแหละ
ถ้าต้องมาเสียเงินซื้อขนมปังวันละ 1000G ทุกวัน อีกไม่นานคงได้ล้มละลายแน่ๆ
“เอาล่ะ คุณหนูทั้งหลาย ถึงเซเลนทรอนแล้ว! ขอให้เที่ยวให้สนุกนะ!”
พวกเรากล่าวคำอำลากับคุณลุงคนขับรถม้าที่อุตส่าห์มาส่งจนถึงที่นี่
คุณลุงคนนี้ใจดีกับพวกเรามากจริงๆ ผมเลยให้ทิปเพิ่มไปอีก 5000G นอกเหนือจากค่าโดยสาร 10000G
สิ่งที่ต้อนรับพวกเราเป็นอย่างแรกเมื่อมาถึงเซเลนทรอนก็คือ ประตูเมืองขนาดใหญ่
มันถูกสร้างขึ้นมาอย่างแข็งแรงทนทานเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บุกรุกเข้ามาได้ง่ายๆ
แล้วก็มียามรักษาการณ์ร่างใหญ่ยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้น
ถึงรูปร่างจะดูธรรมดาๆ แต่ชุดเกราะที่สวมใส่อยู่นั้นดูแข็งแกร่งเอาเรื่องเลยทีเดียว
“สวัสดีครับ”
“สวัสดี พวกเจ้าเป็นนักเดินทางสินะ?”
“ก็ประมาณนั้นแหละครับ”
“เมืองนี้เป็นระบบสมาชิกเต็มรูปแบบนะ การที่จะเข้ามาข้างในได้ครั้งหนึ่งจำเป็นจะต้องลงทะเบียนเป็นสมาชิกก่อน”
ระบบสมาชิกเต็มรูปแบบเนี่ยนะ ถ้าเป็นร้านค้าใช้ระบบนี้ก็ยังพอเข้าใจได้อยู่หรอกนะ แต่นี่แค่จะเข้าเมืองก็ต้องลงทะเบียนด้วยเหรอเนี่ย
การลงทะเบียนก็น่าจะต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวของเราลงไปด้วยสินะ บางทีอาจจะช่วยยับยั้งอาชญากรรมได้บ้างล่ะมั้ง
“ฉันลงทะเบียนสมาชิกไว้แล้วล่ะ”
“เบอร์รี่เองก็ลงทะเบียนไว้แล้วเหมือนกัน!”
“ถ้างั้น คนที่ต้องลงทะเบียนก็คงจะเป็นสองคนนั้นสินะ”
ผมกับฮาคุชิโระแน่นอนว่ายังไม่ได้ลงทะเบียนอะไรทั้งนั้น
จ่ายเงิน กรอกข้อมูลเล็กน้อย แล้วการลงทะเบียนก็เสร็จสิ้น
พอลงทะเบียนเสร็จไม่นานก็ได้รับการ์ดมา
มันทั้งบาง ทั้งเบา แล้วก็เล็กกะทัดรัดดี
“การเข้าออกเมืองนี้จำเป็นต้องใช้การ์ดใบนี้นะ เพราะงั้นอย่าทำหายเด็ดขาดล่ะ”
การที่มีคำเตือนแบบนี้แสดงว่าคงจะมีคนทำหายบ่อยๆ สินะ
พวกคนที่ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินก็คงจะเลือกที่จะทำใหม่เอาดื้อๆ เลยคงจะเสียเวลาน่าดู
จะว่าไปแล้ว ถึงจะโดนเตือนว่าอย่าทำหายก็เถอะนะ แต่ผมเองก็กลัวว่าจะทำหายในไม่ช้าเหมือนกันแฮะ
“เอาล่ะ! ถึงเซเลนทรอนแล้ว!”
“มีเป้าหมายอะไรในเมืองนี้รึเปล่า?”
“ก็เพราะมันเป็นเมืองที่อยู่ติดกับทาทัลท์ด้วยนั่นแหละนะ แต่เป้าหมายหลักในเมืองนี้ก็คงจะเป็นการจัดหาอาวุธล่ะมั้ง ฉันเองก็อยากจะได้มีดสั้นเล่มใหม่เหมือนกัน แถมฮาคุชิโระกับเบอร์รี่ก็ยังไม่มีอาวุธอะไรเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่มี ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะได้ไม้เท้าน่ะ”
“เอ่อ เบอร์รี่น่ะนะ อืมมมม”
เบอร์รี่ที่ไม่เคยต่อสู้มาก่อนเลยในชีวิต พอพูดถึงเรื่องอาวุธขึ้นมาก็เลยนึกไม่ออกในทันที
สำหรับพวกเราแล้วก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร
ค่อยๆ เตรียมพื้นฐานการต่อสู้ให้พร้อมในเมืองนี้ก่อน แล้วค่อยออกเดินทางต่อก็ได้
“ไม่เป็นไรหรอกนะเบอร์รี่ เดี๋ยวฉันจะช่วยสอนอะไรหลายๆ อย่างให้เอง”
“อื้อ ขอบคุณนะมิล่าจัง”
มิล่าลูบหัวให้กำลังใจเบอร์รีสท์ ส่วนเบอร์รีสท์ก็ออดอ้อนอย่างน่าเอ็นดู
เป็นภาพที่ดูแล้วสบายตาจริงๆ
“ก่อนอื่นก็ต้องหาเงินทุนก่อนสินะ เอาล่ะ! ถ้าพูดถึงการหาเงินก็ต้องกิลด์สิ มุ่งหน้าไปที่กิลด์กันเลย!”
ผมพูดอย่างกระตือรือร้นแล้วก็เดินนำหน้าไป
แต่ว่า พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เพิ่งจะนึกเรื่องสำคัญออก
“กิลด์มันอยู่ที่ไหนเหรอ?”
“แล้วทำไมถึงเดินนำหน้าไปอย่างมั่นอกมั่นใจขนาดนั้นยะ”
“ก็แหงสิ อารมณ์มันกำลังขึ้นเลยนี่นา”
“ช่วยไม่ได้จริงๆ เลยนะ! ตามฉันมาให้ดีๆ ล่ะ!”
เผลอคิดไปเองว่าหัวหน้าของกลุ่มนี้มันต้องเป็นผมอยู่แล้วเชียว แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นความเข้าใจผิดครั้งใหญ่เลยแฮะ
ความรู้รอบตัวมันช่างน้อยนิดเสียจริงๆ
ถ้าไม่ได้มิล่าที่พึ่งพาได้อยู่ด้วยล่ะก็ การเริ่มต้นมันคงจะทุลักทุเลน่าดูเลย ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิด
ขณะที่กำลังมุ่งหน้าไปยังกิลด์พลางเพลิดเพลินกับทัศนียภาพของเมืองอยู่นั้น ก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งตรงมาแต่ไกล
“พี่ชายตรงนั้นน่ะ! ช่วยหยุดหมอนั่นให้ที!”
มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังวิ่งไล่ตามเด็กหนุ่มคนนั้นมาอย่างร้อนรน
แค่ดูก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าเป็นพวกหัวขโมย
เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่นั้นขาดวิ่น เนื้อตัวแขนขาก็มีแต่รอยแผลเต็มไปหมด
เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขแน่ๆ
ด้วยอายุเท่านี้คงจะยังไม่มีหนทางหาเงินได้มากนัก พอจนตรอกเข้าจริงๆ ก็เลยคิดจะไปขโมยของสินะ
ก็พอจะมีเหตุผลให้น่าเห็นใจอยู่บ้าง
แต่ว่า อาชญากรรมมันก็คืออาชญากรรม
ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม
“ปล่อยนะ!”
ในจังหวะที่วิ่งสวนกัน ผมก็คว้าคอเสื้อของเด็กหนุ่มคนนั้นแล้วก็ยกตัวเขาขึ้น
การยกตัวเด็กหนุ่มที่ทั้งตัวเล็กทั้งผอมแห้งขึ้นมานั้นมันง่ายดายมาก
“อย่าดิ้นน่า”
ถ้าถูกจับได้จะเป็นยังไงนั้นมันคาดเดาได้ไม่ยากเลย
เพราะงั้น เด็กหนุ่มถึงได้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต
แต่การขัดขืนนั้นก็ไร้ผล เจ้าของร้านตามมาจนทันพวกเรา
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“ขอบคุณมากครับพี่ชาย! ไอ้เด็กเปรตนี่! กล้าดียังไงมาขโมยของในร้านฉัน!”
“ฉันเองก็ไม่อยากจะทำเรื่องแบบนี้หรอก”
ไม่อยากจะทำเลย แต่ก็จำเป็นต้องทำ
บางทีความผิดอาจจะอยู่ที่ระบบของที่นี่ก็ได้ แต่โลกใบนี้น่ะ ทุกอย่างมันตัดสินกันที่ผลลัพธ์ทั้งนั้นแหละ
“แล้ว? จะทำยังไงกับเด็กคนนี้ดีครับ?”
“อ้อ ไม่ต้องห่วงครับ ทางนี้จะจัดการเรื่องนี้เอง”
ถึงจะจับตัวไว้ได้ก็จริง แต่ถ้าส่งตัวให้คนคนนี้ล่ะก็ ดูเหมือนว่าผลลัพธ์มันจะเลวร้ายกว่าที่คิดไว้เยอะเลยแฮะ
แค่เห็นสายตาเย็นชาที่คนคนนั้นมองมาก็รู้แล้ว
“ของที่ขโมยไปราคาเท่าไหร่เหรอครับ?”
“ทำไมถึงถามเรื่องนั้นล่ะ? ก็ อืม ประมาณ 3000G ล่ะมั้งครับ”
ทั้งๆ ที่ปริมาณมันแค่นั้นเอง แต่ทำไมมันถึงได้แพงขนาดนี้วะเนี่ย ผมคิดพลางหยิบเงินออกมาจากกระเป๋า
“นี่มันอะไรกันครับเนี่ย?”
“เงินนั่นผมจะจ่ายให้เองครับ เพราะงั้น ครั้งนี้ช่วยมองข้ามไปจะได้ไหมครับ”
“ต่อให้ได้เงินมามากแค่ไหน ก็ไม่อาจจะให้อภัยพวกมันได้หรอกนะครับ”
“หมายความว่ายังไงเหรอครับ?”
ผมเผลอหลุดปากถามออกไป
รู้สึกเหมือนว่านอกจากความผิดที่เด็กหนุ่มคนนั้นก่อขึ้นแล้ว มันยังมีความคิดเรื่องการแบ่งแยกชนชั้นที่ฝังรากลึกอยู่อีกด้วย
Translater : Eidolon
www.nekopost.net/editor/78229
novel.dek-d.com/EidolonPlus/profile/writer/
MANGA DISCUSSION