พวกเราที่หาทางออกด้านหลังของซากปรักหักพังเจอ ก็พยายามอย่างสุดกำลังที่จะไม่ให้เกิดเสียงดังแม้แต่น้อย แล้วก็ย่องตอดออกมาข้างนอกอย่างระมัดระวัง
ไม่มีวี่แววของศัตรูหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อยนิด
จากบรรยากาศโดยรอบแล้ว ดูเหมือนว่าการต่อสู้อันดุเดือดคงจะจบสิ้นลงแล้วสินะ
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าจะมีใครสักคนที่สามารถลบร่องรอยการปรากฏตัวของตัวเองได้อย่างแนบเนียนชนิดไร้ร่องรอยสักคนสองคน
“ว่าแต่… ซากมอนสเตอร์กับศพศัตรูมันเกลื่อนกลาดเต็มไปหมดเลยแฮะ”
“นั่นก็หมายความว่าทุกคนพยายามกันอย่างสุดกำลังแล้วนั่นแหละค่ะ”
ลาซูลีที่เพิ่งจะฟื้นจากอาการสลบไสลได้ไม่นาน ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นสุขุมพลางประคองร่างของอัลอัปที่ยังคงไม่ได้สติเอาไว้
ว่าแต่… พวกเขาสามารถโค่นล้มศัตรูจำนวนมหาศาลขนาดนี้ลงได้ยังไงกันนะ
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีใครในพวกเราต้องมาจบชีวิตลงในศึกครั้งนี้นะ แต่เรื่องมันคงจะไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากขนาดนั้นสินะ
ในเมื่อเป็นการต่อสู้ที่ทั้งดุเดือดและนองเลือดขนาดนั้น ไม่มีทางเลยที่จะไม่มีใครต้องตาย
ขากลับรู้สึกว่ามันยาวนานกว่าตอนขามาอยู่เล็กน้อย
อาจจะเป็นเพราะมีอะไรให้ครุ่นคิดอยู่ในหัวมากมายเกินไปล่ะมั้ง
พอกลับมาถึงปราสาทหลวง องค์กษัตริย์ก็ทรงแสดงความยินดีออกมาอย่างท่วมท้น
ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ตาม ถ้าลูกสาวสุดที่รักของตัวเองถูกลักพาตัวไป ก็คงไม่มีพ่อแม่คนไหนในโลกที่จะไม่รู้สึกเป็นห่วงเป็นใยหรอก
“ขอบใจเจ้ามากนะ ชิโร่ เพราะเจ้าแท้ๆ ลูกสาวของข้าถึงได้กลับมาอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน”
“มิได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ไม่ใช่เพราะกระหม่อมเพียงคนเดียวหรอกพ่ะย่ะค่ะ เป็นเพราะทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันต่างหาก ถึงได้สามารถช่วยเหลือองค์หญิงทั้งสี่ออกมาได้อย่างปลอดภัย”
“อย่างนั้นรึ เจ้าเป็นคนที่ตอบเช่นนี้นี่เอง ช่างเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมกระเทียมดองจริงๆ อาหารมื้อเย็นหลังจากนี้ ถึงแม้จะเป็นเพียงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้า แต่ข้าจะสั่งให้พวกเขาเตรียมของที่เลิศหรูอลังการที่สุดเอาไว้ให้ ขอให้เจ้าเพลิดเพลินกับการรับประทานอย่างเต็มที่เถอะนะ”
โบราณว่าไว้ ของอร่อยๆ น่ะมันดีต่อร่างกายที่เหนื่อยล้าอ่อนแรงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เพราะฉะนั้น มื้อเย็นในวันนี้เลยน่าตั้งตารอคอยเป็นพิเศษสุดๆ
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะโซ้ยสเต็ก สเต็ก แล้วก็สเต็กอีก!
เอาเป็นว่า ตอนนี้ร่างกายมันกำลังโหยหาเนื้อสัตว์อย่างรุนแรงเลยล่ะ!
ก็แหงล่ะสิ เพราะพลังงานทั้งหมดในร่างกายมันถูกใช้ไปจนหมดเกลี้ยงแล้วนี่นา!
“ทะ…เหนื่อยเป็นบ้าเลยโว้ย!”
“เท่านี้เรื่องวุ่นๆ ทั้งหมดก็จบลงด้วยดีแล้วสินะคะ”
คนที่เดินโซซัดโซเซกลับมาต่อมาก็คือคู่หูคู่ฮาอย่างฮิบิโนะกับโอบิ
ปกติแล้วไม่ค่อยจะเห็นสองคนนี้ตัวติดกันเท่าไหร่หรอกนะ แต่ดูจากท่าทางที่ดูสนิทสนมกลมเกลียวกันมากขึ้นแล้ว คงจะมีเรื่องราวอะไรบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างทางสินะ
หลังจากสองคนนั้น พวกอัศวินกับเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ ก็ทยอยเดินทัพกลับมาทีละคนสองคน
พอเห็นภาพแบบนั้นแล้ว ก็รู้สึกได้จากใจจริงเลยว่าการต่อสู้อันยาวนานมันได้จบสิ้นลงแล้วจริงๆ
ที่ยังคงเป็นห่วงกังวลอยู่อีกอย่างหนึ่งก็คือผลการต่อสู้ตัดสินชี้ขาดระหว่างดัคมาซกับแคลน
อยากจะรู้ผลใจจะขาดอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้ก็คงจะต้องเชื่อมั่นว่าทุกอย่างมันไม่เป็นไรไปก่อนล่ะนะ
ยังไงซะ ก็ไม่คิดว่าคนอย่างแคลนจะพลาดท่าแพ้ให้กับหมอนั่นอยู่แล้วด้วย
“เอาล่ะ ถึงจะอยากจะพูดอยู่หรอกนะว่าได้เวลากินข้าวอร่อยๆ ให้พุงแตกกันแล้วก็เถอะ แต่ฉันยังมีงานที่ต้องไปสะสางเหลืออยู่อีกหน่อยน่ะสิ”
เรื่องราวมันยังไม่จบลงแค่นี้หรอกนะ
ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการคลี่คลายให้มันกระจ่างแจ้งอยู่อีก
ต้องไปหาคนทรยศ… ไม่สิ… ต้องไปหาคนร้ายตัวจริงเสียงจริงให้เจอ
แต่ว่า… การที่จะไปเผชิญหน้ากันแบบโจ่งแจ้งเปิดเผยมันก็ดูจะมีปัญหาตามมาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะงั้นคงจะต้องไปแบบเงียบๆ เชียบๆ
เรื่องราวทั้งหมดนี้… มันจะจบลงในใจของผมเพียงคนเดียวเท่านั้น
ผมยืนอยู่หน้าห้องพักห้องหนึ่ง แล้วก็บรรจงเคาะประตูสามครั้งตามมารยาท
มีเสียงตอบรับอนุญาตให้เข้าไปด้านในได้ดังแว่วออกมา
ผมเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู แล้วค่อยๆ เปิดบานประตูเข้าไปอย่างเชื่องช้า
เธอไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจเลยแม้แต่น้อยที่เห็นผมมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า
ราวกับว่าเธอรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าผมจะต้องมาหาอย่างแน่นอน
“มีธุระอะไรหรือคะ? คุณชิโร่”
“วันนี้มันเป็นวันที่หนักหนาสาหัสจริงๆ เลยนะ”
“ค่ะ หม่อมฉันเองก็ไม่คาดคิดเลยว่าจะต้องมาโดนลักพาตัวไปด้วยเช่นกัน”
“ไม่คาดคิดเลยอย่างนั้นรึ? พอได้แล้วมั้ง? คนที่บงการเรื่องราววุ่นวายทั้งหมดนี้มันก็คือเธอนั่นแหละ ใช่หรือไม่? “องค์หญิงลาซูลี ทาทัลท์” ”
รอยยิ้มเย้ยหยันผุดขึ้นบนใบหน้าของเธอ
ทั้งๆ ที่เป็นใบหน้าที่งดงามหมดจดราวกับเทพธิดา แต่ความรู้สึกที่เอ่อล้นขึ้นมาในใจกลับเป็นความน่าสะพรึงกลัวมากกว่าความสวยงาม
แววตาของเธอนั้นมันช่างมืดมิดดำสนิท จนราวกับว่าไม่มีแสงสว่างใดๆ สามารถส่องผ่านเข้าไปถึงได้เลยแม้แต่น้อย
“ตายจริง? ท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่หรือคะ?”
“แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกน่า! รู้ตัวรึเปล่าว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไปบ้างน่ะหา!?”
“ก็หม่อมฉันบอกแล้วอย่างไรล่ะคะ ว่าหม่อมฉันไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่”
“เริ่มจากตอนที่เจ้าเจอกับดัคมาซเป็นครั้งแรก ตอนนั้นข้านึกว่าเจ้าใช้สกิลเสน่ห์ล่อลวงให้ดัคมาซมันหลงหัวปักหัวปำซะอีก แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลยใช่หรือไม่ล่ะ?”
“เอ๋? ถ้าเช่นนั้นแล้ว หม่อมฉันทำอะไรกับเขากันเล่าคะ?”
ยังคงสวมหน้ากากแห่งความใสซื่อบริสุทธิ์ต่อไปอย่างหน้าตาเฉย
สีหน้าที่ไม่กระดิกกระเดี้ยเลยแม้แต่น้อยนั้นแสดงให้เห็นถึงความเยือกเย็นและมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม
“เจ้ายื่นข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธให้มันต่างหากล่ะ! สัญญาของปีศาจร้าย!”
“สัญญาแบบไหนกันหรือคะ?”
องค์หญิงลาซูลีถามกลับมาราวกับว่ากำลังจะทดสอบเชาว์ปัญญาในการคาดเดาของผม
“ให้มันสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้นในเมืองหลวงแห่งนี้ แล้วก็ให้อาละวาดทำลายล้างให้เต็มที่ยังไงล่ะ!”
“เรื่องเหลือเชื่อแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ด้วยหรือคะ?”
“เพราะฉะนั้น! เจ้าถึงได้วางแผนยุยงส่งเสริมให้ดัคมาซมันยอมมอบตัวแต่โดยดีอย่างไรเล่า! เพื่อที่พวกอัศวินจะได้ความดีความชอบไปเต็มๆ!”
“ความดีความชอบของอัศวินรึ? หม่อมฉันไม่เห็นจะเข้าใจในสิ่งที่ท่านพูดเลยแม้แต่น้อยนะคะ”
“ถ้าหากพวกอัศวินได้รับความดีความชอบครั้งใหญ่ ประชาชนก็จะแซ่ซ้องสรรเสริญและให้การสนับสนุนพวกเขาอย่างเต็มที่! เจ้าใช้จิตวิทยาข้อนั้นให้เป็นประโยชน์! แล้วก็จงใจวางแผนก่อเหตุการณ์ไฟไหม้ขึ้นมาเพื่อให้พวกอัศวินต้องถูกส่งออกไปลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยทั่วเมือง!”
“นั่นมันออกจะแปลกๆ อยู่นะคะ ไฟไหม้ในครั้งนั้นน่ะมันเกิดขึ้นพร้อมกันหลายจุดทั่วเมืองเลยมิใช่รึ? แถมยังแทบจะไม่มีพยานคนใดรู้เห็นเหตุการณ์เลยด้วยซ้ำไปอย่างที่ท่านได้ยินมามิใช่หรือคะ”
ยังคงตีหน้าซื่อปฏิเสธเสียงแข็งต่อไป
แต่ทำไมก็ไม่รู้ ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่าเธอจงใจกำลังจะนำทางผมไปสู่ความจริงอันน่าสะพรึงกลัวอย่างนั้นแหละ
ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าเธอต้องการจะทำอะไรกันแน่ แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมก็คงจะต้องเล่นตามน้ำของเธอไปก่อน
“เครื่องมือเวทโบราณในตำนาน… “กุญแจแห่งกาลเวลา”… ถ้าหากใช้เจ้านั่นล่ะก็ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถก่อเหตุการณ์ไฟไหม้ขึ้นมาได้มากมายเท่าที่ต้องการเลยนี่นา… ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็… ตอนนั้นคนที่เก็บกุญแจแห่งกาลเวลาไปก็คือเจ้าเองมิใช่รึ”
“ค่ะ ใช่แล้วค่ะ หม่อมฉันเป็นคนเก็บมันมาเอง”
“เรื่องการสั่งให้กองอัศวินออกลาดตระเวนก็ด้วยสินะ”
“ค่ะ ใช่แล้วค่ะ”
“ถึงอย่างนั้น… เจ้าก็ยังจะกล้าปฏิเสธเสียงแข็งว่าตัวเองไม่ได้ทำอีกอย่างนั้นรึ?”
เว้นช่วงไปครู่หนึ่งอย่างมีความหมาย
เธอกำลังทำท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่ผมก็ไม่รู้เลยว่าในใจของเธอนั้นกำลังคิดแผนการชั่วร้ายอะไรอยู่กันแน่
“อืมมม? ต่อให้มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ แล้วท่านมีหลักฐานทั้งหมดอย่างนั้นรึคะ? หลักฐานที่เป็นรูปธรรมชัดเจนว่าหม่อมฉันเป็นคนลงมือก่อเรื่องทั้งหมดนี้น่ะ”
“ไม่มี”
เศษตะเกียงที่ผมเก็บได้ในที่เกิดเหตุวันนั้น ก็น่าจะไม่มีลายนิ้วมือของใครติดอยู่เป็นแน่
เพราะฉะนั้น ในตอนนี้ถ้าหากถูกกล่าวหาว่านี่เป็นเพียงแค่เรื่องเพ้อเจ้อไร้สาระของผมเอง มันก็คงจะจบสิ้นลงแค่นั้นจริงๆ
“แต่ว่า ฉันมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง”
“นั่นมันเป็นเพราะเหตุอันใดกันหรือคะ?”
“ก็เพราะว่าดัคมาซมันยอมสารภาพความจริงทั้งหมดออกมาแล้วยังไงล่ะ! โดยมีข้อแม้ว่ามันจะต้องได้สู้ตัดสินกับฉันแบบตัวต่อตัว!”
ผมลองเสี่ยงทายโยนหินถามทางดู
ไม่คิดเลยสักนิดว่าคำโกหกตื้นๆ แบบนี้จะสามารถใช้ได้ผลกับคนอย่างเธอหรอกนะ แต่จะปล่อยให้เธอหนีรอดไปได้ในตอนนี้มันก็ไม่ได้เช่นกัน!
เพราะเธอคือคนที่ก่ออาชญากรรมอันเลวร้ายเกินกว่าจะให้อภัยได้!
“อย่างนั้นเองหรอกรึคะ เขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ยังคงยึดติดอยู่กับตัวท่านสินะคะ เรื่องแบบนั้นมันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยแม้แต่น้อยหรอกค่ะ แถมหม่อมฉันก็ได้ของที่ต้องการมาอย่างครบถ้วนบริบูรณ์แล้วด้วย การหยอกล้อท่านเล่นก็คงจะพอแค่นี้แหละค่ะ”
“หยอกล้อเรอะ! นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายนะ! มีคน… มีคนต้องตายไปเพราะแผนชั่วของแกนะโว้ย!”
ความโกรธแค้นที่อัดแน่นอยู่ในอกทำให้มือของผมสั่นเทาไปหมดโดยไม่รู้ตัว!
แล้วในชั่วพริบตาเดียว! ผมก็กระชากคอเสื้อของเธอเข้ามาอย่างแรง!
พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะข่มอารมณ์ดำมืดอันเดือดดาลที่กำลังพลุ่งพล่านขึ้นมาจากส่วนลึกของก้นบึ้งหัวใจเอาไว้!
“หึหึหึ… ท่านนี่ช่างเป็นคนที่ใจดีเสียจริงๆ เลยนะคะ… ทั้งๆ ที่ท่านจะลงไม้ลงมือต่อยตีหม่อมฉันก็ได้แท้ๆ… แต่ท่านกลับไม่ทำ”
คนบ้าที่กำลังเคลิบเคลิ้มหลงใหลในตัวเองจ้องมองมาที่ผมด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก
ในสถานการณ์ที่มันตึงเครียดถึงขีดสุดแบบนี้… ทำไมเธอถึงยังสามารถทำหน้าตาเฉยเมยแบบนั้นออกมาได้กันนะ!
ฆ่าคนไปตั้งมากมายแล้วไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดีอะไรเลยสักนิดเลยรึไงหา!
เรื่องที่ต้องซักไซ้ไล่เลียงเค้นความจริงจากปากเธอนั้นมันยังมีอีกมากมายเป็นภูเขาเลากา!
แต่ว่า จากนี้ต่อไป ผมอยากจะฟังความจริงทั้งหมดจากปากของเธอเอง
ทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจแล้วว่าไม่มีทางเลยที่จะได้ยินคำตอบที่มันน่าพึงพอใจออกมาจากปากของเธอเลยแม้แต่คำเดียวก็ตาม
Translater : Eidolon
www.nekopost.net/editor/78229
MANGA DISCUSSION