บทที่ 24: ชีวิตนั้นเพื่อสิ่งใด
เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในเมืองหลวงที่ลากยาวมาจนถึงรุ่งสางของวันนี้ ในที่สุดปฏิบัติการดับไฟก็สิ้นสุดลงด้วยดี ผู้คนต่างก็ได้สัมผัสกับความสงบสุขชั่วครู่เสียที แต่ว่า นี่มันก็เป็นแค่เรื่องชั่วคราวเท่านั้น ครั้งต่อไปมันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ ชาวเมืองเลยได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดผวา
แน่นอนว่าทางประเทศที่รับรู้สถานการณ์แล้วก็รีบเคลื่อนไหวทันที มีการเรียกประชุมเหล่าอัศวินและผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ ในห้องประชุม แล้วก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน พวกเราทั้งสามคน คือ ฉัน เร็นยะ แล้วก็คุณโอบิ ถึงได้ไปนั่งหัวโด่อยู่ในนั้นด้วย
เหตุผลก็คือ ถ้าเรื่องอาชญากรรมครั้งนี้มันมีแก๊งก็อดคิลเลอร์เข้ามาเกี่ยวข้องล่ะก็ มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกมิยาเกะที่หายตัวไปพร้อมกันก็น่าจะมีส่วนรู้เห็นด้วย เพราะงั้น ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมห้องกันอยู่ ก็เลยอยากจะให้พวกเราเข้าไปร่วมรับฟังการประชุมด้วยว่างั้นเถอะ
“เอาล่ะ สำหรับเรื่องในครั้งนี้ เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าพวกเราเองก็ไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้” “ค่ะ ดิฉันคิดว่าเหล่าพสกนิกรคงจะต้องอยู่ในสภาวะหวาดวิตกไปจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพราะฉะนั้นจึงควรเร่งดำเนินการแก้ไขโดยเร็วที่สุดค่ะ” “นั่นสินะ ข้าเองก็อยากจะทำเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ตราบใดที่ยังไม่สามารถสืบหาสาเหตุที่แท้จริงได้ การจะเคลื่อนไหวอย่างสุ่มสี่สุ่มห้ามันก็คงจะไม่ได้”
ปัญหามันอยู่ตรงนั้นแหละ ทั้งๆ ที่เป็นการวางเพลิงพร้อมกันหลายจุดขนาดนั้น แต่กลับไม่มีใครเห็นหน้าตาของคนร้ายเลยสักคน ถ้างั้นกว่าจะคลี่คลายคดีได้คงจะต้องใช้เวลาพอสมควรเลยทีเดียว
“ถ้าเช่นนั้น ไม่ทราบว่าจะโปรดให้พวกเราเป็นผู้คลี่คลายคดีนี้ได้หรือไม่เพคะ”
ไม่รู้ว่าคุณโอบิคิดอะไรอยู่ จู่ๆ เธอก็อาสาตัวขึ้นมาว่าจะขอเป็นคนคลี่คลายคดีนี้เอง ถ้ามีเบาะแสอะไรที่พอจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้แล้วล่ะก็ คำพูดนั้นมันก็พอจะฟังขึ้นอยู่หรอกนะ แต่ถ้าไม่ใช่แบบนั้นล่ะก็ มันก็เป็นการกระทำที่บ้าระห่ำชัดๆ
แต่ดูเหมือนว่าความตั้งใจของคุณโอบิมันจะแน่วแน่สุดๆ เธอตัวสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธ ไม่รู้ว่าโกรธตัวเอง หรือว่าโกรธคนร้ายกันแน่ ไม่ว่าจะอย่างไหน มันก็เป็นความรู้สึกที่มาจากความยุติธรรมอันแรงกล้าอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะงั้น ถึงไม่ได้ห้ามอะไรออกไป ถ้าเธออยากจะทำแบบนั้น ก็ควรจะปล่อยให้เธอทำตามที่ใจต้องการนั่นแหละดีที่สุดแล้ว
“เข้าใจแล้ว แต่ว่าทางนี้เองก็ขอส่งคนไปช่วยด้วย หวังว่าคงจะเข้าใจนะ” “ขอบพระทัยในความเมตตาเพคะ” “ลักซ์! จินก้า! ข้าอยากให้พวกเจ้าสองคนไปช่วยสนับสนุนเธอด้วย” “คร้าบผม~” “ต่อหน้าฝ่าบาทนะ! สำรวมกิริยาหน่อยสิ!”
ชายหนุ่มท่าทางสบายๆ กับหญิงสาวที่ดูเนี้ยบและจริงจังถูกเรียกตัวออกมา ฝ่ายชายดูจะรักอิสระไปหน่อย แต่ฝ่ายหญิงดูจริงจังดี คงจะพอถ่วงดุลกันได้ล่ะมั้ง
“เอาล่ะ ในระหว่างนั้น เราจำเป็นจะต้องมีมาตรการเพื่อลดทอนความวิตกกังวลของราษฎร มีใครพอจะมีข้อเสนอดีๆ บ้างรึไม่?”
คำถามนี้ทำเอาคนส่วนใหญ่ก้มหน้าเงียบกริบ ก็นั่นสินะ จิตใจของคนเรามันก็เหมือนสายลม ยากแท้หยั่งถึง ไม่ใช่ว่าจะอ่านกันได้ง่ายๆ ยิ่งถ้าเป็นมวลชนด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งต้องใช้สติปัญญามากขึ้นไปอีก การที่จะถูกถามปุ๊บแล้วตอบปั๊บได้เลยน่ะมันเป็นเรื่องที่ยากพอตัวเลยล่ะ
ยกเว้นอยู่คนหนึ่ง
“ถ้างั้นมันก็เป็นเรื่องง่ายๆ เลยเพคะ เสด็จพ่อ เพียงแค่ส่งกองอัศวินออกไปลาดตระเวนในเมืองทุกค่ำคืนก็พอแล้วเพคะ” “โอ้ จริงอยู่ที่นั่นอาจจะเป็นการป้องปรามอาชญากรรมได้ผลอยู่บ้าง แต่ว่ามันจะทำให้ราษฎรวางใจได้จริงๆ งั้นรึ?” “หากความคิดของหม่อมฉันถูกต้องล่ะก็ ได้ผลแน่นอนเพคะ” “พูดต่อไปสิ” “ดัคมาซ ผู้นำแห่งก็อดคิลเลอร์ ตอนนี้เขาถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินของปราสาทหลวงอยู่ใช่ไหมเพคะ ผลงานในครั้งนั้นราษฎรต่างก็รับรู้กันว่าเป็นฝีมือของกองอัศวิน ด้วยเหตุนี้ ความเชื่อมั่นที่ราษฎรมีต่อกองอัศวินในตอนนี้จึงสูงส่งเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเดินไปทางไหนในเมืองก็จะได้ยินแต่ชื่อเสียงของกองอัศวินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จากเหตุผลทั้งหมดนี้ หม่อมฉันจึงคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดเพคะ”
องค์หญิงลาซูลี พี่สาวคนโต หนึ่งเดียวในบรรดาสี่พี่น้องที่เข้าร่วมการประชุมด้วย เธอแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างราบเรียบ ส่วนมัคจีผู้เป็นบิดาก็เพียงแค่รับฟังความคิดเห็นนั้น ณ ที่แห่งนั้นไม่มีบรรยากาศของความเป็นพ่อลูกอยู่เลยสักนิด ถ้าเป็นความคิดเห็นที่ใช้การได้ก็จะถูกนำไปใช้ ถ้าไม่ใช่ก็จะถูกปัดตกไป อาจจะดูแปลกประหลาดไปบ้างนะ แต่บางทีในโลกนี้เรื่องแบบนี้มันอาจจะเป็นเรื่องปกติก็ได้
“ช้าก่อนครับ! พวกกระหม่อมกองอัศวินนั้น เดิมทีก็เป็นข้ารับใช้ของฝ่าบาทอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นหากมีพระบัญชามาก็ย่อมต้องปฏิบัติตามนั้นคือเหตุผลอันสมควรอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าพวกกระหม่อมเองก็ไม่ได้มีกำลังคนมากมายอะไรนัก หากจะต้องลดจำนวนคนที่ประจำการอยู่ในปราสาทหลวงลงไปแล้วล่ะก็ ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรไม่คาดฝันขึ้นมา…”
หัวหน้าอัศวินเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางหวาดๆ พอจะเข้าใจเหตุผลที่เขาไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับข้อเสนอของลาซูลีอยู่บ้างนะ มีคนคิดจะโจมตีเมืองหลวงปรากฏตัวขึ้นมา แถมยังเป็นการก่อเหตุของคนชั่วที่มองไม่เห็นตัวตนอีกต่างหาก หมายความว่าในเมืองหลวงตอนนี้มันไม่มีที่ไหนปลอดภัยเลยสักแห่งสินะ ปราสาทหลวงเองก็คงจะไม่ใช่ข้อยกเว้นเหมือนกัน
เพราะงั้นเขาถึงได้กลัวที่จะต้องแบ่งกำลังคนออกไป เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นอยู่เหมือนกัน แต่ว่า คู่สนทนามันดันเป็นคนที่ไม่ค่อยจะน่าต่อกรด้วยเท่าไหร่เลยนี่สิ
“เจ้ามีเรื่องจะพูดแค่นั้นรึ? ถ้างั้นก็ดำเนินการตามข้อเสนอของลาซูลีต่อไปเถิด” “แต่ว่า…”
ปัง!!!
มัคจีกระแทกโต๊ะเสียงดังโครมเพียงครั้งเดียว สีหน้าของเขาตอนนี้มันแตกต่างจากภาพลักษณ์ที่ดูอ่อนโยนที่เคยเห็นลิบลับเลย
“…ราษฎรที่ข้ารักต้องมาล้มตาย บาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ว่า! แต่ว่าข้ากลับ… ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง! การที่จะมานั่งทำตัวขี้ขลาดตาขาวไม่ทำอะไรเลยอยู่ตรงนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ข้าในฐานะกษัตริย์ได้ตายไปแล้ว! ไม่ว่าจะต้องทำยังไงก็ตาม จงอุทิศชีวิตเพื่อราษฎร! …นั่นแหละคือความหมายของการมีอยู่ของพวกเรา! เข้าใจรึไม่!” “…รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของมัคจีทำให้หัวหน้าอัศวินรู้สึกละอายใจในความผิดพลาดของตนเอง การที่มัคจีซึ่งสามารถจะผลักไสแล้วก็สั่งให้ทำตามคำสั่งแต่โดยดีได้ กลับอุตส่าห์พูดออกมาเป็นคำพูดเพื่อตักเตือนนั้น มันยิ่งทำให้หัวหน้าอัศวินรู้สึกเสียใจมากขึ้นไปอีก
“ดูเหมือนว่าเรื่องจะลงตัวแล้วสินะ ถ้างั้นก็ให้แต่ละคนดำเนินการตามแผนการต่อไปได้”
การประชุมสิ้นสุดลงตรงนั้น ฉันเลยเดินออกมาจากห้องประชุมแล้วก็เริ่มเดินไปตามทางเดิน
ถ้าทุกอย่างมันเป็นไปได้ด้วยดีล่ะก็ เรื่องมันก็คงจะจบลงด้วยดีสินะ แต่ว่านะ ชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก ฉันหยิบเศษชิ้นส่วนที่เก็บได้เมื่อวานออกมาจากกระเป๋า เป็นเศษแก้วที่หาได้ยากในโลกนี้ มีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ นึกว่าเคยเห็นที่ไหน ที่แท้มันก็คือโคมไฟที่ติดตั้งอยู่ตามทางเดินในปราสาทหลวงนี่เอง
หมายความว่า อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีคนของปราสาทหลวงคนหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนี้สินะ
“เรื่องมันชักจะยุ่งยากขึ้นมาแล้วสิ ดูท่าจะไม่จบลงง่ายๆ ซะแล้ว”
ฉันเก็บเศษแก้วกลับเข้าไปในกระเป๋าอีกครั้ง นี่มันไม่ใช่เรื่องที่จะไปบอกคนอื่นได้ง่ายๆ เพราะยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรูกันแน่
“จะเริ่มจากตรงไหนดีวะเนี่ย ว่าแต่ เอ๊ะ? เหมือนจะลืมอะไรไปบางอย่างนะ …อ้อ! ปืนนี่หว่า! ต้องไปรับปืนตัวต้นแบบนี่หว่า!”
ในการคลี่คลายคดี บางทีก็อาจจะต้องสู้กับศัตรูบ้างก็ได้ ไม่ว่าจะต้องสู้เมื่อไหร่ ที่ไหน ก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือไว้เสมอ ฉันอ้างเหตุผลที่ฟังดูดีมีหลักการแบบนั้น แล้วก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งความสุขของตัวเองทันที
Translater : Eidolon
www.nekopost.net/editor/78229
MANGA DISCUSSION