บทที่ 23: แสงไฟในคืนเดือนมืด สั่นไหวระริก
ขากลับจากไปรับเควสต์ ก็เดินคุยกันไปเรื่อยเปื่อยหลายเรื่อง ทั้งเรื่องวิธีใช้เวลาในวันหยุด เรื่องเควสต์ หรือดันเจี้ยนที่เพิ่งค้นพบใหม่ แค่ฟังบทสนทนาของพวกนี้มันก็ได้ประโยชน์แล้ว
คุยกันมาขนาดนี้ ความรู้สึกที่มีต่อฮาเรตันกับแคลนมันก็เปลี่ยนจากความประทับใจแรกที่แย่สุดๆ กลายเป็นรู้สึกเฉยๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ว่า ก็ยังมีอยู่คนหนึ่งนะ ที่ยังมองมาด้วยสายตาเป็นศัตรูแบบไม่ปิดบังเลยสักนิด
“ใกล้จะถึงแล้วล่ะ พอถึงเมืองหลวงแล้วก็แยกย้ายกันเถอะ เรื่องจัดการเควสต์เดี๋ยวทางนี้ทำเอง” “เอาน่าๆ ไม่เป็นไรหรอกน่า ไปด้วยกันถึงกิลด์เลยก็ได้นี่นา แล้วอีกอย่าง ยังต้องแบ่งเงินรางวัลกันด้วยไม่ใช่เหรอไง”
แคลนพยายามเกลี้ยกล่อมอัลเมโน่ ราวกับเป็นเจ้าชายที่กำลังปลอบโยนองค์หญิงที่กำลังงอนตุ๊บป่อง แต่ดูเหมือนว่าความคิดของเธอมันจะไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ เลยแฮะ
“ฉันน่ะไว้ค่อยรับทีหลังก็ได้น่า หลังจากนี้ก็มีที่ที่ต้องไปเหมือนกัน” “ถ้างั้นฉันเองก็เอาแบบนั้นก็ได้ ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินอะไรอยู่แล้วนี่” “ต้องขอโทษด้วยนะที่ทำให้ต้องลำบากใจ เดี๋ยวฉันจะไปพูดกับเธอทีหลังเอง” “ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกน่า… หืม? อะไรวะ?”
ทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นเหมือนหมาเลย ทำไมไม่รู้สิ แต่มันได้กลิ่นไหม้ค่อนข้างแรงเลยว่ะ
“เฮ้ย! ทุกคนดูนั่นสิ!”
ทิศทางที่ฮาเรตันชี้ไปมีแสงสีแดงลอดออกมา ทั้งๆ ที่พระอาทิตย์มันก็ตกดินไปแล้วแท้ๆ พวกเรารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลยรีบวิ่งมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงทันที
ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ยินเสียงร้องโหยหวนมากขึ้นเท่านั้น แถมยังไม่ใช่แค่เสียงของคนสองคนด้วย ผู้คนจำนวนมากกำลังมองดูเมืองหลวงที่กำลังลุกเป็นไฟด้วยความสิ้นหวัง
“ไอ้บ้าเอ๊ย! รีบไปที่กิลด์นักผจญภัยแล้วรวบรวมพวกที่ใช้เวทน้ำได้มาเร็วเข้า!” “อะ อื้อ! เข้าใจแล้ว!” “นี่มันสถานการณ์อะไรกันครับเนี่ย!?” “คุณแคลน! จู่ๆ ก็เกิดไฟไหม้ขึ้นพร้อมกันหลายจุดทั่วเมืองเลยครับ! คนดับเพลิงในเมืองมันมีไม่พอ ไฟมันเลยลามไปทั่วจนดับไม่ทันแล้วครับ!”
ถึงจะกำลังร้อนรนอยู่ แต่พอเห็นแคลนปรากฏตัวขึ้นมาก็คงจะรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างสินะ ถึงได้อธิบายสถานการณ์ให้ฟัง การที่ไฟไหม้ขึ้นพร้อมกันหลายจุดแบบนี้มันต้องเป็นการวางเพลิงแน่ๆ แถมยังเป็นการก่อเหตุแบบมีองค์กรอีกต่างหาก อย่างแรกที่นึกถึงก็คือแก๊งก็อดคิลเลอร์ แต่ในเมื่อตอนนี้พวกนั้นมันเสียผู้นำที่คุมเกมไปแล้ว ไม่น่าจะก่อเหตุใหญ่โตขนาดนี้ได้นะ แล้วใครมันเป็นคนทำวะเนี่ย เพื่ออะไรกันแน่
แต่ยังไงซะ ไฟมันลุกลามไปขนาดนี้แล้ว แค่พวกเราคงจะทำอะไรไม่ได้แน่ๆ ได้แต่ยืนมองดูภาพโศกนาฏกรรมตรงหน้าอย่างเงียบๆ จนรู้สึกหงุดหงิดตัวเองขึ้นมาเลยว่ะ
“【เวทน้ำ】 “อควาเวฟ”!”
พอได้ยินเสียงที่คุ้นหู จู่ๆ ก็มีคลื่นน้ำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา! คลื่นนั้นถาโถมเข้าใส่บ้านเรือนที่กำลังลุกเป็นไฟดังโครม! แล้วก็ดับไฟมอดลงในพริบตา! สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือเสาไม้ที่ดำเป็นตอตะโก กับควันสีเทาที่แสบตาไปหมด เป็นภาพที่น่าเวทนาจนไม่อยากจะมองเลยจริงๆ พอคิดว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ตรงนี้ แต่เป็นทั้งเมืองแล้วมันก็น่ากลัวชะมัด
“คุณโอบิ! คุณโอบิก็มาช่วยดับไฟด้วยเหรอครับ?” “ใช่แล้วล่ะ! ฉันใช้เวทน้ำได้นี่นา ก็เลยคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างน่ะสิ พอเห็นแบบนี้แล้วมันก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้จริงๆ ขอโทษนะ แต่ตอนนี้ต้องรีบไปก่อน!”
คุณโอบิพูดรัวเร็วแล้วก็จากไปทันที
เธอเองก็เป็นคนที่มีจิตใจดีคนหนึ่งเหมือนกันนะ กำลังพยายามทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์นี้อย่างสุดความสามารถ การที่จะไปรั้งเธอไว้มันก็ดูจะไม่เข้าท่าเลยจริงๆ
เราเองก็ต้องหาอะไรทำบ้างแล้วล่ะ พอคิดแบบนั้นก็รีบวิ่งไปยังที่ที่ไฟยังไม่มอดดับเพื่อจะไปช่วยอพยพผู้คน ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนเหยียบอะไรบางอย่างเข้าที่ใต้เท้า
พอลองก้มลงไปดูก็เห็นว่าเป็นเศษศิลาเวทที่แตกละเอียดกับชิ้นส่วนโลหะจำนวนมาก ดูจากสีของศิลาเวทแล้วน่าจะเป็นศิลาเวทธาตุไฟ ถ้างั้นก็ค่อนข้างมั่นใจได้เลยว่าไอ้นี่แหละคือต้นเหตุของเพลิงไหม้ อืมม ดูจากชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายแล้วมันคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลยแฮะ
“ทำอะไรอยู่ชิโร่! รีบไปช่วยทางด้านในของเมืองกันเถอะ!” “โทษทีๆ ไปเดี๋ยวนี้แหละ”
สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือการทำให้เมืองปลอดภัย เรื่องคิดวิเคราะห์เอาไว้ทีหลังก็ได้ เก็บเศษชิ้นส่วนนั่นไว้เล็กน้อย แล้วก็รีบวิ่งเข้าไปในเมืองทันที
ทั้งช่วยอพยพเด็กเล็กกับคนแก่ หรือเก็บกวาดเศษซากปรักหักพังที่เกลื่อนกลาดอยู่ตามถนน ถ้าจะหาเรื่องทำล่ะก็มันมีไม่จบไม่สิ้นเลยจริงๆ
ตอนแรกชาวเมืองที่สิ้นหวังก็เริ่มมีกำลังใจขึ้นมา พอเห็นแบบนั้นก็มีคนมาช่วยเพิ่มขึ้นทีละคนสองคน ต่างคนต่างก็ช่วยกันตะโกนบอกต่อ ช่วยเหลือกันในจุดที่ต้องการความช่วยเหลือ เป็นช่วงเวลาที่ได้เห็นถึงความเข้มแข็งของเมืองนี้จริงๆ
“มีเด็กยังติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังนั่นค่ะ! ใครก็ได้! ใครก็ได้ช่วยด้วยค่ะ!”
มีคุณแม่คนหนึ่งกำลังร้องขอความช่วยเหลืออย่างสุดเสียง แต่คนอื่นๆ กลับไม่ขยับ พูดให้ถูกก็คือ ขยับไม่ได้ต่างหาก ซากปรักหักพังมันทับถมกันอยู่หลายชั้น ต่อให้ผู้ใหญ่หลายคนมารวมพลังกันก็คงจะยกไม่ขึ้นแน่ๆ
“ถอยห่างออกมาหน่อยครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็ อาจจะพอทำอะไรได้บ้างก็ได้ ไม่สิ ต้องทำอะไรสักอย่างให้ได้ต่างหาก ในเมื่อมีคนกำลังร้องขอความช่วยเหลืออยู่ จะทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินผ่านไปเฉยๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องแล้วนี่นา
พับแขนเสื้อขึ้น ตบแก้มตัวเองสองทีเรียกสติ แล้วก็สอดมือเข้าไปใต้ซากปรักหักพังแล้วยกมันขึ้น! พลังมันพลุ่งพล่านขึ้นมาทั่วร่าง! เป็นพลังที่อบอุ่น แตกต่างจากตอนที่สู้กับเจเนรัลก็อบลิน!
“อ๊ากกกกกกกกก!!!”
ซากปรักหักพังถูกยกขึ้นจนสุด! จากข้างใต้มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่อ่อนแรงเต็มทีปรากฏตัวออกมา! คุณแม่พอเห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปกอดลูกชายของตัวเองไว้แน่น! เด็กผู้ชายรอดมาได้ก็จริง แต่ลมหายใจยังแผ่วเบาอยู่มาก
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ ไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี”
คุณแม่เอ่ยคำขอบคุณซ้ำไปซ้ำมาด้วยความโล่งใจ แต่สำหรับฉันแล้ว อยากจะให้ความสำคัญกับลูกชายของเธอมากกว่านะ
“รีบพาเด็กคนนั้นไปรักษาเถอะครับ ดูเหมือนจะยังหายใจอยู่ก็จริง แต่ท่าทางจะอ่อนแรงมากแล้วนะครับ” “ค่ะ! ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ!”
เธอรีบวิ่งจากไปทันที
พอคิดว่าช่วยชีวิตเล็กๆ ไว้ได้หนึ่งชีวิตแล้วมันก็รู้สึกดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่จะมาพอใจอยู่แค่นี้ไม่ได้ ต้องยังมีคนที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่อีกแน่ๆ
วิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่งต่อไปจนกว่าแรงจะหมด พอไฟทั้งเมืองเริ่มจะมอดดับลง พระอาทิตย์ก็เริ่มจะโผล่พ้นขอบฟ้าแล้ว ชาวเมืองที่เหนื่อยล้าต่างก็พากันล้มตัวลงนอนกับพื้นระเนระนาด บางคนถึงกับหลับไปเลยด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นก็ได้ยินจากคนที่เดินผ่านไปมาว่าเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่นี้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บสาหัสและบาดเจ็บเล็กน้อยอีก 126 ราย เพราะการรับมืออย่างรวดเร็วของทั้งกิลด์ กองอัศวิน หน่วยดับเพลิง และอีกหลายๆ คน ความเสียหายมันเลยจบลงแค่นี้ แต่ก็ไม่ใช่จำนวนที่น้อยเลยสักนิด
สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ดีเอาซะเลย รู้สึกเหมือนมีปีศาจร้ายที่หยั่งไม่ถึงกำลังเคลื่อนไหวอยู่ยังไงก็ไม่รู้
Translater : Eidolon
www.nekopost.net/editor/78229
MANGA DISCUSSION