ชีคเถื่อนปล้นพรหมจรรย์ ชุด ทัณฑ์ทราย - ตอนที่ 9
นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกในการนั่งเครื่องบินของฮัสซัน และก็ของหล่อนด้วยเช่นกัน
ตลอดเวลาที่นั่งอยู่เหนือแผ่นฟ้าภายในเครื่องบินส่วนตัวของเจ้าชายเซรีมแห่งซาเรีย หล่อนตัวสั่นเทิ้ม เพราะเป็นโรคกลัวความสูง ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์ก่อการร้ายบนเครื่องบินที่เพิ่งดูข่าวในโทรทัศน์มา ก็ยิ่งคิดไปต่างๆ นานา แต่ฮัสซันกลับไม่มีอาการหวาดกลัวให้เห็นเลยแม้แต่น้อย เด็กชายหัวเราะสนุกสนาน หยอกล้อเล่นกับเซรีมราวกับคุ้นเคยกันมาเนิ่นนาน
หล่อนลอบมองอยู่ห่างๆ มองด้วยความรู้สึกโหวงเหวงในหัวอก ฮัสซันไม่เคยให้ความสนิทสนมกับคนแปลกหน้าเช่นนี้มาก่อน แต่กับเซรีมมันแตกต่างออกไป สองคนเข้ากันได้ดีและทุกอย่างที่เซรีมกระทำก็สามารถสร้างรอยยิ้มให้กับฮัสซันเสมอ
หล่อนควรจะดีใจสิที่ฮัสซันกำลังจะได้แบบอย่างที่ดี และกำลังจะได้กลับไปยังสถานที่ที่เขาควรอยู่ แต่ทำไมนะ ทำไมความรู้สึกของหล่อนช่างอยู่ห่างไกลจากความยินดีปรีดามากเหลือเกิน หล่อนหวง… ใช่ หวงฮัสซัน ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเลยสักนิด
มะลิถอนใจแผ่วเบา เลือกที่จะละสายตาจากฮัสซันมามองฝ่ามือบนตักของตัวเองแทน หล่อนจะต้องพยายามทำตัวให้ชิน ชินกับการที่ต้องอยู่โดยปราศจากฮัสซัน
คิดแค่นี้หยาดน้ำตาก็เอ่อล้นขอบตาออกมาแล้ว หล่อนคงต้องคิดถึงฮัสซันมากๆ แน่นอน แต่หล่อนไม่มีปัญญาพอที่จะไปต่อสู้กับราชวงศ์สูงศักดิ์ของเซรีม
“น้ามะลิครับ ก้อนเมฆสวยจังครับ”
จู่ๆ ฮัสซันก็วิ่งเข้ามาสวมกอดหล่อน และก็ทำให้หล่อนต้องรีบยกหลังมือขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง ก่อนจะฝืนยิ้มออกไป
“ใช่จ้ะ สวยที่สุดเลย”
“น้ามะลิชอบไหมครับ”
“อืม ชอบสิจ๊ะ”
หล่อนจำต้องฝืนยิ้มครั้งแล้วครั้งเล่า ให้กับดวงตากลมแป๋วไร้เดียงสาของฮัสซัน
“เจ้าชายบอกว่าจะพาผมกับน้ามะลิขึ้นมาดูก้อนเมฆบ่อยๆ ครับ”
คำพูดไร้เดียงสาของฮัสซันทำให้หล่อนอดหันไปมองยังร่างสูงใหญ่ของเซรีมไม่ได้ ก่อนจะพบว่าเขาก็กำลังจ้องมองมาพอดี ดวงตาทั้งสองคู่สบประสานกันโดยบังเอิญ ปฏิกิริยาเคมีทางเพศระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงอีกครั้งจนทั้งหล่อนและเขาช็อกไปตามๆ กัน และก็เป็นเขาที่หันหน้าหนีไป นั่นแหละ หล่อนถึงได้สติ
“น้าคง… ขึ้นมานั่งมองก้อนเมฆกับฮัสซันได้ไม่บ่อยหรอกครับ”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ ผมอยากให้น้ามะลิมากับผมด้วย”
หล่อนยกมือขึ้นลูบศีรษะทุยสวยของฮัสซัน มองเด็กชายด้วยรอยยิ้มที่เกลื่อนไปด้วยคราบความอาลัย ถ้าฮัสซันรู้ว่าอีกไม่นานหล่อนก็จะต้องจากไป เด็กน้อยจะเสียใจมากแค่ไหนนะ แต่คงไม่มากเท่ากับหล่อนหรอก เพราะฮัสซันยังมีญาติพี่น้องคอยดูแล ในขณะที่หล่อนไม่เหลือใครเลยบนโลกใบนี้
“เพราะเจ้าชายคงไม่อยากให้น้ามารบกวนฮัสซันบ่อยๆ หรอกจ้ะ”
“เจ้าชายใจดีครับ ไม่มีทางที่เจ้าชายจะไม่ให้น้ามะลิมากับผมหรอกครับ”
หล่อนไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงให้เด็กชายเข้าใจ จึงทำได้แค่เพียงพยักหน้ารับยิ้มๆ เท่านั้น
“ฮัสซันง่วงนอนไหมครับ”
เมื่อเห็นฮัสซันยกมือขึ้นปิดปากหาวก็อดที่จะถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“ง่วงแล้วครับ”
“ป้ะ งั้นน้าจะพาฮัสซันไปนอนนะครับ”
เด็กชายระบายยิ้มกว้าง เอามือเล็กสอดเข้ามาในอุ้งมือของหล่อน และออกแรงดึง
“ผมอยากให้เจ้าชายไปส่งผมนอนด้วยครับ”
แก้มนวลของมะลิแดงก่ำ อยากจะปฏิเสธ แต่ฮัสซันก็ออกแรงลากหล่อนไปหยุดตรงหน้าของเจ้าชายเซรีมเรียบร้อยแล้ว
รอยยิ้มทรงเสน่ห์ของเจ้าชายเซรีมมอบให้กับฮัสซัน ก่อนที่น้ำเสียงนุ่มทุ้มหูจะดังขึ้น
“มีอะไรหรือครับฮัสซันคนเก่ง”
ฮัสซันยิ้มแก้มยุ้ย ในขณะที่หล่อนกระอักกระอ่วนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี
“ผมอยากให้เจ้าชายไปส่งผมเข้านอนด้วยครับ”
ดวงตาคมกริบสีทองเรืองรองของเซรีมช้อนขึ้นมองหล่อน ท่อนขาทรงพลังที่ตวัดไขว้กันเอาไว้ขยับคลายออกด้วยท่าทางผ่อนคลาย ใช่ เขาผ่อนคลายมากๆ แต่หล่อน… หล่อนกำลังอึดอัดเหลือเกิน รู้สึกว่าร่างกายมันเบ่งบานชูชัน และก็รอคอย ไม่… หล่อนไม่ได้รอคอยเขา ไม่มีทางหรอก!
มะลิโกหกตัวเอง แต่ร่างกายกลับไม่อาจจะโกหกได้ เมื่อเต้านมขยายใหญ่จนคับเสื้อชั้นใน เพียงแค่ถูกสายตาคมกริบตวัดจ้องมองผ่านเท่านั้น
นี่หล่อนต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะฝืนใจตีหน้าเฉยเมยเฉกเช่นเดียวกับเขา
“อย่าไปรบกวนเจ้าชายเลยจ้ะฮัสซัน เราไปนอนกันเถอะ”
หล่อนตัดบท และกำลังจะจูงมือของฮัสซันจากไป แต่เสียงทุ้มนุ่มก็ดังกังวานขึ้นเสียก่อน
“สำหรับฮัสซันจะไม่มีคำว่ารบกวน”
แล้วเจ้าชายหนุ่มก็ผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหกฟุตสี่นิ้ว เขาสูงใหญ่เหลือเกิน จนหล่อนที่เตี้ยจนแทบสอยมะเขือกินต้องแหงนคอขึ้นมองจนเมื่อยไปหมด
“เอ่อ… แต่ว่า…”
หล่อนอึกอัก แต่เขาไม่ได้ให้ความสนใจกำลังปฏิกิริยาของหล่อนเลย เขาย่อตัวลงและอุ้มร่างของฮัสซันเดินจากไป
“รอด้วยสิคะ”
มะลิรีบก้าวตามร่างของเซรีมเข้าไปยังส่วนที่จัดแบ่งเอาไว้เป็นห้องนอน หล่อนเห็นเขาวางร่างของฮัสซันลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล จากนั้นก็เอนกายลงนอนข้างๆ
“ให้เราเล่านิทานให้ฟังบ้างได้ไหม”
ฮัสซันหันมามองหล่อนที่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกอยู่ข้างเตียงอย่างขออนุญาต
“ได้ไหมครับน้ามะลิ”
หล่อนจะมีสิทธิ์อะไรไปห้ามปรามล่ะ นอกจากกัดฟันระบายยิ้มและพยักหน้ารับ
“ได้สิ แล้วแต่ฮัสซันเลยครับ”
“เย้… ดีใจจังเลย งั้นเจ้าชายเล่านิทานให้ผมฟังสามเรื่องเลยนะครับ”
“ได้สิ”
เซรีมตอบรับเสียงนุ่มนวล และไม่แม้แต่จะตวัดตามองหล่อนอีกแม้แต่น้อย
มะลิรู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างจากส่วนเกินบนเครื่องบินนี้ หากหล่อนกระโดดออกไป ก็คงไม่มีใครคิดจะห้ามปรามหรอก หยาดน้ำตาคลอเบ้า และก็หมุนตัวกำลังจะเดินหนีออกไป แต่เสียงของฮัสซันดังขึ้นตามหลังมาเสียก่อน
“น้ามะลิมานอนกอดผมหน่อยสิครับ”
หล่อนจำต้องชะงักเท้าและหันกลับไปมอง พยายามที่จะซ่อนน้ำตาเอาไว้สุดกำลัง
“เอ่อ… ก็เจ้าชายกอดฮัสซันแล้วนี่จ๊ะ”
“แต่ผมอยากให้น้ามะลิมากอดผมด้วยนี่ครับ” เด็กชายตัวน้อยเริ่มโยเย
“แต่เตียงมันเต็มแล้วนะฮัสซัน”
หล่อนพยายามที่จะอยู่ให้ห่างจากเจ้าชายทะเลทรายผู้ทรงเสน่ห์อย่างเซรีมให้มากที่สุด เพราะการอยู่ใกล้เขา มันทำให้เลือดเนื้อของหล่อนร้อนรุ่มจนน่ากลัว
“ทำไมเธอจะต้องขัดใจฮัสซันด้วยล่ะ ขึ้นมานอนด้วยกัน”
น้ำเสียงของเซรีมดังขึ้น และหล่อนก็รู้ดีว่ามันคือคำสั่งไม่ใช่คำขอร้องแต่อย่างใด
“แต่ฉัน…”
“ไหนบอกว่าฮัสซันจะนอนไม่หลับถ้าไม่มีเธอยังไงล่ะ มะลิ กรองอักษร”
เมื่อเขาหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาขว้างใส่หน้า หล่อนก็จำต้องก้าวขึ้นไปบนเตียงอีกด้านหนึ่งอย่างไม่มีทางเลือก จากนั้นก็เอียงตัวลงนอนข้างๆ และพยายามที่จะไม่มองไปที่เขา แต่ให้ตายเถอะ ทำไมพอหล่อนยกมือขึ้นลูบศีรษะของฮัสซัน เขาจะต้องวางมือทาบทับมาด้วย
มะลิร้อนฉ่าไปทั้งตัว รีบชักมือออกแทบไม่ทัน นี่เขาจะรู้ไหมนะว่าหล่อนแทบเป็นบ้ากับเสน่ห์ร้ายของเขาอยู่แล้ว หล่อนหอบสะท้านไปทั้งตัว และก็พยายามควบคุมตัวเอง
“งั้น… น้ากอดฮัสซันเอาไว้นะจ๊ะ”
“ครับน้ามะลิ”
เด็กน้อยตอบรับเสียงสดใส ขณะลืมตาแป๋วฟังนิทานของเจ้าชายแดนทรายอย่างตั้งอกตั้งใจ เนิ่นนานเลยทีเดียวกว่าฮัสซันจะเคลิ้มและผล็อยหลับ
หล่อนถอนใจอย่างโล่งอก ที่ตัวเองกำลังจะได้หลุดพ้นจากความอึดอัดที่มีต้นเหตุมาจากเซรีมเสียดี
มะลิรีบลุกขึ้นจากเตียง และรีบก้มหน้าก้มหน้าจะเดินกลับไปยังที่นั่งประจำตัวของตนเอง แต่แล้วก็ชนเข้ากับเรือนร่างทรงพละกำลังของเซรีมโดยไม่ได้ตั้งใจ
“อุ๊ยยย…”
หล่อนตกใจอุทานออกมา เขายกมือขึ้นแตะปากหล่อน และทำเสียงห้าม
“ชูว์… อยากให้ฮัสซันตื่นขึ้นมาอีกหรือไง”