ชีคเถื่อนปล้นพรหมจรรย์ ชุด ทัณฑ์ทราย - ตอนที่ 46
“เจ้านำข่าวไปบอกเสด็จพี่แล้วใช่ไหม ฟีรัส”
เจ้าชายเซรีมนั่งตัวตรงอยู่บนเตียง ขณะฟีรีสกำลังแกะผ้าพันแผลสีขาวที่พันอยู่รอบกายกำยำออกจนหมด แผลที่ถูกเฆี่ยนแห้งสนิท แต่ยังไม่หายดี
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก แล้วเรื่องเครื่องบินล่ะ”
“กระหม่อมติดต่อองค์สุลต่านลูฟาสตามรับสั่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายเซรีมกัดฟันแน่น ดวงตาสีทองเต็มไปด้วยความมืดดำ “เราจะชิงตัวจัสมินกันคืนนี้”
“พ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย”
ดวงตาสีทองอร่ามจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ แสงสีทองของดวงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า
“อีกนิดเดียว จัสมิน… เจ้าจะปลอดภัยแล้ว”
มะลิที่นอนไม่หลับเพราะรู้ตัวว่าพรุ่งนี้จะถูกประหารแล้วสะดุ้งตกใจ เมื่อจู่ๆ ร่างของทหารยามสองคนที่เฝ้าหน้าห้องขังก็ล้มลงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย และร่างกายสูงใหญ่ในชุดดำของผู้ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับไขประตูห้องขัง
“จัสมิน… มานี่…”
“เจ้าชายเซรีม” หล่อนอุทานออกมาด้วยความดีใจ และถลาเข้าไปกอดร่างทรงพลังเอาไว้แน่น
“เราไม่มีเวลามากนัก เราต้องรีบไป”
“ไปไหนเพคะ”
“ตามฉันมา”
แล้วร่างของหล่อนก็ถูกฉุดกระชากให้เร้นออกจากคุกหลวง มันง่ายดายจนน่าแปลกใจ และไม่นานเจ้าชายเซรีมในชุดดำสนิทก็พาหล่อนมาถึงรถยนต์ที่จอดติดเครื่องอยู่นอกกำแพงเมือง
“ขึ้นไปจัสมิน”
“แล้วพระองค์ล่ะเพคะ” หล่อนไม่ยอมขึ้นง่ายๆ และสวมกอดเขาเอาไว้แน่น
“ฉันไปกับเธอไม่ได้”
น้ำตาของหล่อนร่วงกราว “ทำไมล่ะเพคะ ทำไมถึงไปด้วยกันไปได้ หม่อมฉัน…”
“ลืมฉันซะ แล้วกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เมืองไทย ฉันสัญญา คนของซาเรียจะไม่มีวันตามไปรังควานเธอที่เมืองไทยอย่างแน่นอน ลาก่อนจัสมิน”
เขาก้มลงจูบหล่อน มันคือจูบลาที่แสนจะเลือดเย็น จากนั้นเขาก็ผละออกห่าง
“ลาก่อน…”
“ไม่นะเพคะ… เจ้าชายเพคะ…” หล่อนถลาจะเข้าไปกอดเขาอีกครั้ง แต่เจ้าชายเซรีมสั่งให้ฟีรัสซึ่งเป็นคนขับรถมาลากหล่อนขึ้นรถไปเสียก่อน
“เจ้าชายเพคะ…”
“ลืมฉันนะจัสมิน… คิดเสียว่าที่ผ่านมามันคือความฝัน ลาก่อน… ลาก่อนชั่วนิรันดร์”
แล้วร่างสูงใหญ่ในชุดดำของเจ้าชายเซรีมก็วิ่งหายเข้าไปในวังหลวงอีกครั้ง ในขณะที่หล่อนทำได้แค่เพียงร้องไห้ปิ่มจะขาดใจอยู่บนรถคันโต
“เจ้าชายจำเป็นต้องรักษาชีวิตของพระสนมไว้พ่ะย่ะค่ะ” ฟีรัสรีบเคลื่อนรถออกไปอย่างรวดเร็ว
“แต่เราไม่ต้องการแบบนี้” หล่อนร้องไห้ไม่หยุด
“อย่าทรงกรรแสงเลยพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชายจะต้องไม่สบายพระทัยแน่ หากรู้ว่าพระสนมทรงกรรแสงแบบนี้”
“เรา… เสียใจ…”
“มันเป็นทางออกเดียวที่เจ้าชายเซรีมทรงมีในตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ”
หล่อนสะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ
“แล้วเจ้า… จะพาเราไปไหน”
“หม่อมฉันจะพาพระสนมไปขึ้นเครื่องบินพ่ะยะค่ะ เจ้าชายเซรีมทรงเตรียมการเอาไว้หมดแล้ว และพระองค์ก็หวังว่าพระสนมจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่เมืองไทย”
หล่อนปล่อยโฮออกมาอย่างสิ้นความอาย หล่อนจะมีความสุขได้ยังไงกัน ในเมื่อต้องพลัดพรากจากเขาและฮัสซัน ทำไม… ทำไมโชคชะตาถึงโหดร้ายกับหล่อนแบบนี้
มะลิร้องไห้ไม่หยุด จนเป็นลมคารถไปเลยทีเดียว
หลังจากฟีรัสแจ้งข่าวว่ามะลิขึ้นเครื่องบินส่วนตัวเดินทางไปประเทศไทยแล้ว เขาก็เดินเข้ามาหาบิดาและคุกเข่ายอมรับผิดทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว
บิดาเกรี้ยวกราดและโมโหมาก จะสั่งตัดคอเขาอยู่รอมร่อ แต่โชคดีที่มารดาและพี่ชายขอร้องเอาไว้ เขาจึงถูกลงโทษสถานเบาเมื่อเทียบกับความผิดที่ก่อขึ้น นั่นก็คือการคุมขังตลอดชีวิต
วันเวลาผ่านไปจากนาทีเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงเป็นวัน จากวันเป็นหนึ่งอาทิตย์ และจากหนึ่งอาทิตย์กลายเป็นหนึ่งเดือน และหลายเดือนผ่านไป ไม่มีลมหายใจไหนเลยที่เขาไม่คิดถึงมะลิ
“เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ จัสมิน…”
“นี่พระองค์ยังไม่เลิกคิดถึงมันอีกเหรอเพคะ” นัสรินเดินเข้ามาได้ยินคำพึมพำของเจ้าชายเซรีมพอดีก็โมโห หล่อนล่ะเฝ้าอุตส่าห์คอยดูแลเขายามที่เขาถูกขังอยู่ในนี้ แต่ดูสิ ดูเจ้าชายเซรีมทำกับหล่อนสิ
“ใช่ เราคิดถึงจัสมิน นางเป็นเมียของเรา”
“แต่ไม่ใช่เพราะนางเหรอเพคะ พระองค์ถึงต้องมาถูกกักขังอยู่แบบนี้”
“ไม่ใช่เพราะจัสมิน แต่มันเป็นเพราะไอ้คนชั่วร้ายที่มันวางยาฮัสซันต่างหากล่ะ”
“หึ ก็นางนั่นแหละเพคะ”
“ไม่ใช่นาง เรามั่นใจ”
สายตากระด้างดุดันของเจ้าชายเซรีมที่ตวัดมองมาทำให้นัสรินต้องหลบสายตา เพราะเขามองเหมือนสงสัยหล่อน
“หม่อมฉันนำพระกระยาหารมาถวายองค์ชายเพคะ”
“เราบอกเจ้านับร้อยรอบแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ต้องนำอะไรมาให้เราอีก เพราะเราไม่กิน”
“แต่ว่า…”
“ออกไปซะ และอย่ามายุ่งกับเราอีก นัสริน”
นัสรินมองเจ้าชายเซรีมทั้งน้ำตา ทั้งรักทั้งแค้นเขาจนเจ็บปวดไปทั้งอก
“แล้วพระองค์จะต้องเสียใจที่ใจร้ายกับหม่อมฉันแบบนี้เพคะ เจ้าชายเซรีม”
เจ้าชายเซรีมเมินหน้าหนีไม่สนใจ นัสรินก็เลยวิ่งหนีออกไปทั้งน้ำตา เจ็บแค้นจนแน่นอก
“ฮุสนา คนที่ฉันสั่งให้ไปสืบที่อยู่ของนังมะลิกลับมาหรือยัง”
“กลับมาแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”
นัสรินยิ้มหยันสะใจ “ดีมาก งั้นเจ้าให้คนไปขโมยหนังสือที่มีลายพระหัตถ์ของเจ้าชายเซรีมมาให้ฉันด่วนที่สุด”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
ฮุสนารับคำสั่งของเจ้านาย ก่อนจะรีบเดินจากไป
นัสรินยืนยิ้มสะใจกับความคิดของตัวเอง “ถึงแกจะอยู่เมืองไทย แต่ฉันก็ตามจองล้างตามจองผลาญแกได้ นังมะลิ นังมารหัวใจ!”
ท้องฟ้าสีครามเบื้องหน้าช่างสวยงามเหลือเกิน แต่กลับไม่อาจทำให้หัวใจที่หม่นหมองราวกับท้องฟ้ายามถูกพายุฝนพัดเข้ากระหน่ำรู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้
กี่วันกี่คืนแล้วนะที่หล่อนต้องจากซาเรียมา จากฮัสซันที่ยังนอนไม่ได้สติไม่ต่างจากเจ้าชายนิทรา และก็จากผู้ชายผู้เป็นประดุจลมหายใจของหล่อนอย่างเจ้าชายเซรีม
“ป่านนี้พระองค์… จะเป็นยังไงบ้างเพคะ… จะสุข…” น้ำตาไหลรินอาบแก้ม “จะคิดถึง… หม่อมฉันบ้างไหม…”
“มะลิ มีจดหมายมาถึงน่ะ”
เสียงของป้าสมศรีดังขึ้น และมันก็ทำให้หล่อนต้องรีบป้ายน้ำตาทิ้งทันที ก่อนจะหันไปฝืนยิ้มให้กับญาติผู้ใหญ่ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในโลกนี้
“ขอบคุณจ้ะป้า”
“อืม ไม่เป็นไรหรอก”
หญิงสาวยิ้มเศร้าหมอง รับซองจดหมายจากมือของป้าสมศรีมาถือเอาไว้โดยที่ยังไม่ทันได้มองว่าใครส่งมาหา
“นี่ก็ผ่านมาเกือบจะสามอาทิตย์แล้ว ป้าว่าเอ็งก็ตัดอกตัดใจเสียบ้างเถอะ ร้องไห้แบบนี้ทุกวันไม่ดีหรอก”
“ฉัน… กำลังจะพยายามจ้ะป้า”
“ข้าเป็นกำลังใจให้นะ จำเอาไว้นะว่านี่มันคือสัจธรรมของมนุษย์ มีพบก็ต้องมีพราก ไม่จากเป็นก็จากตาย”
น้ำตาของหล่อนไหลรินออกมาอีก “จ้ะป้า ขอบคุณป้ามากจ้ะ”
ป้าสมศรีระบายยิ้มให้กับหล่อน ก่อนจะหมุนตัวเดินหายไป เมื่ออยู่คนเดียว หล่อนจึงหยิบจดหมายขึ้นมาจ้องมอง และหัวใจก็เต้นสะท้านรุนแรง เมื่อเห็นว่าส่งมาจากที่ไหน
“ซาเรีย…!”
มือเล็กรีบฉีกซองจดหมายด้วยความตื่นเต้น เพราะคิดว่าจดหมายนี้จะต้องเป็นของเจ้าชายเซรีมอย่างแน่นอน เขาจะต้องส่งข่าวเรื่องของฮัสซันและก็เรื่องของเขามาแน่ๆ แต่พอได้อ่านจดหมายซึ่งหล่อนพอจะจำได้ว่าเป็นลายมือของเขาไม่ผิดเพี้ยน หัวใจที่เบิกบานก็เหี่ยวแฟบลงทันที
‘สวัสดีมะลิ เธอสบายดีไหม ฉันหวังว่าเธอจะสบายดีนะ ส่วนฉันสบายดี มีความสุขดีทุกอย่าง นัสรินดูแลฉันเป็นอย่างดี และฉันก็กำลังคิดว่าจะแต่งงานกับนางในไม่ช้านี้ ส่วนฮัสซันยังไม่ฟื้น และก็คงจะไม่ฟื้นอีกแล้วละ’
ลงชื่อ เซรีม บิน คาลดุน อัล อัลลาห์
ร่างของมะลิร่วงหล่นลงกองกับพื้นดินไม่ต่างจากเศษใบไม้ที่ร่วงหล่นจากต้น น้ำตาแห่งความปวดร้าวทะลักไหลราวกับเขื่อนแตก หล่อนร้องไห้สะอึกสะอื้น เจ็บช้ำจนไม่อาจบรรยายความรู้สึกออกมาได้ รู้เพียงแต่ว่าหัวใจมันได้แตกสลายไปเสียแล้ว