ตอนที่ 69 เป็นคนร้ายกาจ
จับตัวเองมาเพื่อถามเรื่องเผิงซี? พานหลงอวิ๋นงุนงงเล็กน้อย จึงตอบกลับไปทันที “เขาพาคนของหอการค้าตระกูลโจวออกไปตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นแล้ว ไม่รู้ว่าไปที่ไหน”
หลินยวนจ้องมองดูปฏิกิริยาของเธอ แล้วก็ไม่ได้สนใจว่าสิ่งที่เธอพูดมาเป็นจริงหรือเท็จ เขากล่าวถามต่อว่า “ทำไมพวกเธอถึงต้องเข้าไปอยู่ในหออวิ้นเสีย?”
พานหลิงอวิ๋นไม่เข้าใจ ถามกลับไปว่า “หรือว่าเข้าไปอยู่ไม่ได้?”
หลินยวนกล่าวว่า “สถานที่ที่เพิ่งมีคนตายไป กลิ่นคาวเลือดยังไม่จางหาย เธอคิดว่ามันปกติเหรอ?”
สีหน้าของพานหลิงอวิ๋นตกตะลึงไปทันที เธอคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา ถูกคำพูดประโยคนี้ของอีกฝ่ายคลายความสงสัยที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ เรียกได้ว่าแค้นจนลอบกัดฟัน ถูกเผิงซีเล่นงานเข้าแล้ว!
หลินยวนสังเกตดูทุกความเคลื่อนไหวของเธอ “เธอไม่อยากตอบ? ฉันจะให้โอกาสเธอครั้งสุดท้าย ตอบให้ดีๆ ล่ะ!”
พานหลิงอวิ๋นกล่าว “ต่อให้ฉันบอกคุณไปแล้ว เกรงว่าคุณคงจะไม่ปล่อยฉันไป” เธอคิดอยากจะต่อรองเพื่อหาทางรอดให้ตัวเอง
หลินยวนกล่าว “แค่ที่เธอพูดมาประโยคนี้ ฉันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บเธอเอาไว้แล้ว” กล่าวจบก็ลุกขึ้นยืน
จะฆ่าเธอแล้วอย่างนั้นเหรอ? พานหลิงอวิ๋นรีบลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน ถอยหลังไปด้านหนึ่ง รีบกล่าวอย่างร้อนรนว่า “เผิงซีตรวจดูสถานที่เกิดเหตุจนรู้แล้วว่าคนร้ายเป็นใคร ฉันช่วยคุณได้นะ”
หลินยวนคล้ายไม่ได้ยินที่เธอพูด ค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้ “รู้ว่าฉันเป็นใคร แล้วเธอยังกล้าอยู่อีกเหรอ? เผิงซีหนีไปแล้ว ผู้พิทักษ์เมืองรอซุ่มจับ นี่เป็นกับดักที่เอาไว้ล่อฉันออกมา เหยื่อที่ไม่รู้เรื่องอย่างเธอจะไม่รู้ตัวช้าไปหน่อยเหรอ?”
พานหลิงอวิ๋นรีบกล่าวอธิบาย “ฉันจงใจเป็นเหยื่อเอง มีข่ายพลังป้องกันอยู่ ฉันนึกว่าจะไม่มีอะไร คิดไม่ถึงว่าคุณจะบุกเข้ามาได้”
จังหวะในการสนทนาอยู่ในการควบคุมของหลินยวนแล้ว อีกฝ่ายยิ่งรีบร้อนอธิบาย มันก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงปัญหาบางอย่าง
ในแววตาของหลินยวนแฝงไว้ด้วยความรู้สึกดูแคลน เขาเข้าไปดูสถานที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง เผิงซี ผู้พิทักษ์เมือง แล้วก็ยังมีผู้หญิงคนนี้ ไม่ได้ดูเหมือนคนที่ร่วมมือกันวางกับดักขึ้นมาเลย
เมื่อเห็นสายตาที่ดูแคลนของอีกฝ่าย พานหลิงอวิ๋นเองก็เข้าใจขึ้นมา เธอหวาดกลัว หวาดกลัวจริงๆ กล่าวด้วยความหวาดกลัวเป็นอย่างมากว่า “ฉันช่วยคุณได้จริงๆ นะ ด้วยอิทธิพลและทรัพย์สมบัติของหอการค้าตระกูลพาน ถ้าคุณต้องการอะไรก็พูดมาได้เลย ขอเพียงจับฉันไว้เป็นตัวประกัน หอการค้าตระกูลพานจะต้องช่วยคุณแน่นอน หอการค้าตระกูลโจวเองก็ไม่สามารถทำอะไรคุณได้เพราะกลัวจะล่วงเกินหอการค้าตระกูลพาน ต่อให้ตัวตนของคุณถูกเปิดเผยออกไป หอการค้าตระกูลพานของฉันก็มีความสามารถมากพอที่จะช่วยคุณปกปิดเอาไว้ได้”
ร่างกายที่ถอยหลังไปพลันชนเข้ากับกำแพง ไม่มีทางให้ถอยไปได้อีกแล้ว สองมือที่กุมผ้าคลุมเอาไว้แน่นของพานหลิงอวิ๋นพลันกางออก “ตัวฉันก็เป็นของคุณด้วย ช้าเร็วหอการค้าตระกูลพานก็ต้องส่งต่อให้พวกฉันสามพี่น้อง ทรัพย์สินของหอการค้าตระกูลพานจะมีส่วนของคุณด้วย สำหรับฉันแล้ว คุณมีค่าอย่างมาก ถ้าคุณกับฉันร่วมมือกัน เราจะทำอะไรได้อีกมาก มีประโยชน์ต่อฉัน ดังนั้นที่ฉันพูดคือความจริง ไม่มีคำลวงแม้แต่นิดเดียว!”
ในเวลานี้เพื่อจะร้องขอชีวิต เธอไม่อยากจะเป็นผู้ชายแล้ว คิดแต่อยากจะเป็นผู้หญิง
หลินยวนยื่นมือไปจับผ้าคลุม ก่อนจะกระชากเข้ามา
พานหลิงอวิ๋นนึกว่าคำพูดของตัวเองได้ผล ในสีหน้ามีความรู้สึกหวาดกลัวแฝงอยู่หลายส่วน
ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ หลินยวนจะลงมือ มือของเขาคว้าจับไปที่ลำคอที่ขาวผ่องของเธอ บิดทีหนึ่ง มีเสียงดังครึก
ตุบ! พานหลิงอวิ๋นล้มลงไปกองแทบเท้าเขา มีเลือดไหลทะลักออกมาจากในปาก ดวงตาสองข้างที่เบิกโพลงยังคงมีความรู้สึกหวาดกลัวอยู่ อะไรที่เรียกว่าคนอันตราย วันนี้เธอได้รู้แล้ว
หลินยวนสะบัดผ้าคลุมที่อยู่ในมือ เก็บกลับเข้าไปในแหวนสารพัดนึก คนสามารถไม่เอา แต่ผ้าคลุมเป็นของเขา
เขาก้มลงมองดูคนที่ยังชักกระตุกเล็กน้อยอยู่ตรงเท้าเขาด้วยสายตาเฉยชา
ในเรื่องบางเรื่อง เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างมาก ดังนั้นเรื่องบางอย่างจึงไม่จำเป็นต้องถามอะไรมากก็รู้คำตอบได้แล้ว เผิงซีไม่รู้เลยว่าฆาตกรเป็นใคร
เพราะว่าเผิงซีหนีไปแล้ว
ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่จะมีการซุ่มจับเหมือนอย่างคืนนี้ได้ ถ้ารู้ว่าฆาตกรเป็นใครล่ะก็ อีกฝ่ายก็คงจะแจ้งทางผู้พิทักษ์เมืองให้มาจับเขาไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรยุ่งยากขนาดนี้ และถ้าอยากจะใช้ประโยชน์จากเขา ก็คงจะไม่มีผู้พิทักษ์เมืองมาซุ่มจับเช่นเดียวกัน
เขาได้คำตอบที่ตัวเองต้องการแล้ว ดังนั้นพานหลิงอวิ๋นที่เห็นเขาแล้วจึงไม่อาจรอดชีวิตไปได้
ผู้หญิงอะไรนั่น ทรัพย์สมบัติของหอการค้าตระกูลพานอะไรนั่น เมื่อเทียบกับผลที่ตามมาจากการที่ตัวตนเขาถูกเปิดเผยแล้ว เรียกได้ว่าไม่มีค่าให้พูดถึงเลย
……..
ยามที่เมืองปู๋เชวี่ยยังอยู่ในช่วงเวลาค่ำคืนก่อนที่แสงแรกของวันจะมาเยือน เมืองเทียนกู่กลับอยู่ในช่วงเวลากลางวัน
ประธานพานชิ่งที่อยู่ในสำนักงานใหญ่ของหอการค้าตระกูลพานตบโต๊ะดัง ‘ปัง’ ตะคอกใส่โทรศัพท์อย่างโกรธเกรี้ยวว่า “พวกแกตั้งเยอะตั้งแยะมัวทำอะไรกันอยู่?”
พานหลิงเวยผู้เป็นบุตรสาวคนโต พานหลิงเยวี่ยผู้เป็นบุตรสาวคนรอง แล้วก็มีสวีเฉี่ยนที่เป็นสามีของบุตรสาวคนโตยืนเรียงแถวสามคนอยู่ตรงหน้าโต๊ะ
ในบรรดาลูกสาวสามคนของตระกูลพาน ตอนนี้มีเพียงลูกสาวคนโตที่แต่งงานแล้ว
ทั้งสามคนมายืนเรียงแถวกันเพื่อรายงานสถานการณ์ภายในหอการค้า ในเวลานี้ต่างตกใจที่เห็นพานชิ่งมีท่าทีเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
กระทั่งพานชิ่งที่มีสีหน้าคร่ำเคร่งวางโทรศัพท์ลง พานหลิงเวยจึงกล่าวถามว่า “พ่อคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอคะ?”
พานชิ่งนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ ถอนหายใจออกมา ท่าทีดูคล้ายหมดแรง “อวิ๋นเอ๋อร์เกิดเรื่องแล้ว ถูกคนจับตัวไป…”
เขาเล่าเรื่องที่โกวซิงรายงานมาให้ทุกคนฟัง
โกวซิงเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงไปขอร้องทางเหิงเทาอีกครั้ง ถึงได้มาแจ้งให้ทางนี้ทราบเรื่องก่อนได้
คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทั้งสามคนตกตะลึง สวีเฉี่ยนทำสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “มีข่ายพลังสัตว์เทวะจตุรทิศอยู่ แล้วก็ยังมีหัวหน้าเหิงเทาของเมืองปู๋เชวี่ยพาผู้พิทักษ์เมืองไปปิดล้อมด้วยตัวเอง ทั้งยังมีเทพมหาวิญญาณอีกกลุ่มหนึ่ง กระทั่งลั่วเทียนเหอก็ออกหน้าด้วยตัวเอง แต่คนร้ายกลับยังพาตัวหลิงอวิ๋นไปได้?”
พานชิ่งกล่าว “ถูกหาช่องโหว่เข้าไปได้ แต่ว่าคนร้ายคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ อาศัยเพียงความกล้าตรงนี้ก็นับเป็นคนที่ร้ายกาจอย่างมากแล้ว”
พานหลิงเยวี่ยกล่าว “ใช่ฝีมือของฆาตกรที่ฆ่าเจ้าหยวนเฉินหรือเปล่า?”
พานชิ่งกล่าว “ตอนนี้ยังไม่รู้ ไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่ว่ามีความเป็นไปได้สูง”
สวีเฉี่ยนกล่าวว่า “คุณพ่อ ตอนนี้มานั่งคิดเรื่องนี้ไม่มีประโยชน์ครับ ตอนนี้หลิงอวิ๋นเป็นตายอย่างไรก็ยังไม่รู้ เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้คือคิดหาวิธีช่วยหลิงอวิ๋นออกมา ต้องรีบจัดการให้เร็ว พยายามอย่าให้หลิงอวิ๋นเป็นอะไร”
พานชิ่งพยักหน้า กล่าวเสียงคร่ำเคร่งว่า “รีบติดต่อพวกกลุ่มใต้ดินในเมืองปู๋เชวี่ย ให้พวกเขาไปกระจายข่าว บอกว่าหอการค้าตระกูลพานยินดีจ่ายค่าไถ่ให้คนร้ายพันล้านมุก! แน่นอน ถ้าคนร้ายมีเงื่อนไขอะไรอย่างอื่นก็สามารถเจรจากับทางหอการค้าตระกูลพานได้ นอกจากนี้ให้กระจายข่าวไปด้วยว่าใครก็ตามที่ช่วยอวิ๋นเอ๋อร์กลับมาได้ เงินพันล้านมุกนี้จะเป็นของเขา!”
ที่ต้องติดต่อพวกกลุ่มใต้ดิน เพราะเรื่องนี้ไม่อาจจัดการอย่างเปิดเผยได้ ทางการของเมืองปู๋เชวี่ยไม่มีทางรับปากให้ทางนี้ป่าวประกาศเรื่องที่จะจ่ายเงินไถ่ตัวคนกลับมาแน่นอน
สวีเฉี่ยนกล่าวว่า “ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ครับ”
พานชิ่งโบกมือเพื่อบอกให้สวีเฉี่ยนรีบไปจัดการ
……
ฟ้ายังไม่สว่าง
ฉินเต้าเปียน หลิ่วจวินจวิน ฉินอี๋ต่างก็สวมชุดนอนมารวมตัวอยู่ในโถงรับแขก แต่ละคนบ้างนั่งบ้างยืน ต่างมีสีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
ทางหออวิ้ยเสียเกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โต ผู้พิทักษ์เมืองกลุ่มใหญ่แห่กันออกไป กระทั่งเทพมหาวิญญาณกลุ่มหนึ่งก็ยังเข้าไปในเมือง แล้วก็ยังมีคนเห็นว่ากระทั่งลั่วเทียนเหอก็ยังออกโรงด้วยตัวเอง แต่ทางนี้กลับยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ขึ้นในเมืองปู๋เชวี่ย ไม่เคยได้เห็นมานานเท่าไรแล้ว ถ้าหากยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วพวกเขาจะนอนหลับได้อย่างไร
ไป๋หลิงหลงเดินเข้ามา ทั้งสามคนต่างกันหน้าไปมอง ฉินเต้าเปียนกล่าวถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
ไป๋หลิงหลงกล่าว “ตอนนี้รู้เพียงแต่ว่าเหิงเทานำกองกำลังผู้พิทักษ์เมืองออกไปด้วยตัวเอง พาคนของหอการค้าตระกูลพานออกไป ฉันโทรไปสอบถามกับทางเหิงเทาแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนครั้งนี้เขาจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร บอกว่าพวกเราถามวุ่นวายเกินไป ไม่ยอมบอกอะไร ตอนนี้คุณตาติดต่อกับทางสายของเราที่อยู่ในผู้พิทักษ์เมืองแล้ว คิดว่าอีกเดี๋ยวก็น่าจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้นค่ะ”
ขณะที่เพิ่งพูดจบ ไป๋ซานเป้าก็เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน พอเข้ามาก็กล่าวทันทีว่า “พานหลิงอวิ๋นถูกคนจับตัวไปแล้วครับ”
ฉินเต้าเปียนกล่าวว่า “ถูกจับไป? ผู้พิทักษ์เมืองจับไปเหรอ? อธิบายมาให้ชัดซิ เกิดอะไรขึ้น?”
“พานหลิงอวิ๋นเข้าไปพักในหออวิ้นเสีย…” ไป๋ซานเป้ารายงานเรื่องที่สอบถามมาอย่างละเอียด
ทุกคนพอได้ยินก็พากันตกใจจนพูดไม่ออก ยกโขยงกันไปมากมายขนาดนี้เพื่อจับคนคนเดียว อีกทั้งยังวางกองกำลังดักซุ่มเอาไว้ด้วย ทว่าไม่เพียงแต่จะจับตัวคนร้ายไม่ได้ แต่กลับยังถูกคนร้ายจับตัวพานหลิงอวิ๋นไปต่อหน้าต่อตา?
ไป๋ซานเป้าที่รายงานสถานการณ์เสร็จเรียบร้อยส่ายศีรษะพลางถอนใจ “ผมนึกว่าตัวเองรู้จักพวกกลุ่มใต้ดินในเมืองปู๋เชวี่ยดีแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นผมที่มีตาหามีแววไม่ อยู่ในเมืองปู๋เชวี่ยมานานขนาดนี้ แต่กลับไม่รู้เลยว่ามียอดฝีมือเช่นนี้แอบซ่อนตัวอยู่ในเมือง”
ยอดฝีมือที่เขาหมายถึงไม่ใช่ยอดฝีมือทางด้านต่อสู้ฆ่าฟัน
ฉินเต้าเปียนครุ่นคิดเล็กน้อย เหมือนจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับหอการค้าตระกูลฉิน จึงรู้สึกเบาใจขึ้น จากนั้นจุ๊ปากพลางถอนใจ “รู้ทั้งรู้ว่าในภูเขามีเสือแต่ก็ยังจะเข้าไป เดินเข้าออกในที่ที่อันตรายที่ถูกปิดล้อมด้วยตัวคนเดียวอย่างใจเย็น ไม่ได้เห็นกองทัพผู้พิทักษ์เมืองอยู่ในสายตาเลย ความกล้าตรงนี้นับว่าร้ายกาจอย่างแท้จริง! ไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมา คนคนหนึ่งที่ไม่แม้กระทั่งเปิดเผยใบหน้า คนคนหนึ่งที่ก่อเรื่องวุ่นวายในเมืองปู๋เชวี่ยได้ขนาดนี้ เป็นคนร้ายกาจอย่างแท้จริง! เกรงว่าลั่วเทียนเหอกับเหิงเทาที่เสียหน้าคงจะโมโหเป็นอย่างมากแน่”
ฉินอี๋ที่สายตาคร่ำเคร่งไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อได้ยินคำพูดของทุกคนแล้ว เธอก็กล่าวเสียงเข้มออกมา “ถ้าได้คนคนนี้มาทำงานให้หอการค้าตระกูลฉิน หอการค้าตระกูลฉินของเราจะต้องกลายเป็นเสือติดปีกแน่! ลองคิดหาวิธีหน่อย ดูว่าสามารถหาตัวคนผู้นี้ได้หรือไม่ ฉันอยากเจอเขา”
หลิ่วจวินจวินได้ฟังก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ เธอกล่าวเตือนว่า “ลูกอี๋ น้าขอเตือนหนูนะ อย่าไปยุ่งกับคนแบบนี้จะดีที่สุด ตามความเห็นของน้า เมืองปู๋เชวี่ยเงียบสงบมานานหลายปี ไม่มีทางจะมีคนแบบนี้เกิดขึ้นมาได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่อาศัยเพียงความกล้าแล้วจะทำออกมาได้ คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์และการฝึกฝนก็ไม่มีทางที่จะมีความกล้าเช่นนี้ได้เช่นกัน เบื้องหลังคนแบบนี้เกรงว่าจะไม่ขาวสะอาด ถ้าไปพัวพันด้วยเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องดี อย่าหาเรื่องให้ตัวเองจะดีกว่า”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินเต้าเปียนและไป๋ซานเป้าก็พยักหน้าเล็กน้อย คิดว่ามีเหตุผล
ฉินเต้าเปียนเองก็กล่าวเตือนไปประโยคหนึ่งว่า “ลูกอี๋ เรื่องนี้ฟังน้าหลิ่วนะ”
ฉินอี๋ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ จู่ๆ พลันกล่าวถามว่า “เผิงซีล่ะ? ในหออวิ้นเสียไม่มีเผิงซีเหรอ?”
……..
……
เมืองฝูปอ เผิงซีที่กลับมาไม่ได้กลับบ้าน หากแต่ตรงไปที่สำนักงานใหญ่ของหอการค้าตระกูลโจว
ตอนที่ยังไม่ถึงเมืองฝูปอเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากโจวหม่านเชาแล้ว อีกฝ่ายบอกให้เขาไปหา
เดิมทีถ้าใช้อุโมงค์เคลื่อนย้ายของเมืองปู๋เชวี่ย เขาก็กลับมาถึงเมืองฝูปอนานแล้ว เพียงแต่เป็นเพราะไม่อยากให้ใครรู้ เขาจึงไม่ได้ใช้อุโมงค์เคลื่อนย้ายกลับมา
ทันทีที่มาถึงเขาก็เข้าไปที่ห้องทำงานของโจวหม่านเชา ก่อนจะเห็นโจวหม่านเชาลุกขึ้นมา โบกมือส่งสัญญาณไปทางเมิ่งซู่
เมิ่งซู่ปิดประตูอย่างรวดเร็ว
“คุณน้าครับ” เผิงซีเดินเข้าไปทำความเคารพโจวหม่านเชา
โจวหม่านเชาโบกมือเล็กน้อยเพื่อสื่อว่าไม่ต้องมากพิธี ก่อนจะเดินอ้อมโต๊ะทำงานมาแล้วกล่าวถามว่า “พานหลิงอวิ๋นถูกคนจับไป แกรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?”
เผิงซีไม่ได้รู้สึกแปลกใจต่อเรื่องนี้ เขาคล้ายกล่าวพึมพำกับตัวเอง “คนร้ายลงมือจริงๆ ด้วย..”
โจวหม่านเชาที่คอยสังเกตดูท่าทีเขารีบถามทันที “เรื่องนี้เกี่ยวกับแกหรือเปล่า?”
เผิงซีกล่าวว่า “เกี่ยวกับผมนิดหน่อยครับ ระหว่างทางมีคนอยู่เยอะ เลยไม่สะดวกคุยเรื่องนี้กับคุณน้าในโทรศัพท์…” เขาเล่าเรื่องแผนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวที่เขาวางขึ้นมาอย่างกะทันหันออกมาทันที
…………………………………………………………
MANGA DISCUSSION