คุณหลง อย่าหยิ่งยโสเกินไป - ตอนที่ 229 ฟังเสียงลมหายใจ
ตอนที่ 229 ฟังเสียงลมหายใจ
พอเธอพูดคำว่าคิดถึงแค่คำเดียว ความกลัดกลุ้มที่อยู่ในใจของเธอ ก็หายไปกว่าครึ่งอย่างรวดเร็ว
ถึงเสียงของเธออยู่ห่างกว่าเขากว่าครึ่งมหาสมุทร แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกอ่อนแอลงหรืออบอุ่นน้อยลงแต่อย่างใด กลับกันมันทำให้บรรยากาศภายในรถตอนนี้ดูอบอุ่นขึ้นอย่างเบาบางเลยด้วยซ้ำ
ชั่วขณะนั้น หลงเซียวอดที่จะเผยรอยยิ้มขึ้นไม่ได้ เมื่อได้รับความอบอุ่นหลังจากที่ไม่ได้รับมานาน เขาถือมือถือแนบหูไว้พร้อมพูดว่า “คิดถึงอะไรของผมล่ะ?”
พลันผู้หญิงที่นั่งพิมพ์เบาะอยู่ตรงหน้าภายในรถตอนนี้ จู่ๆ ก็ปิดตาลงแล้วถามขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย “คุณทำผัดไข่มะเขือเทศได้หรือเปล่า? ฉันอยากกินมันมากเลยล่ะ”
ได้มิ้นอยากจะกินอาหารที่ประเทศจีน ครั้งแรกที่แอนน่านึกถึงก็เป็นอาหารชนิดนี้ ซึ่งเป็นอาหารที่คนทั่วไปทำกินกันบ่อยๆ และมักจะพบเห็นตามโต๊ะอาหาร ถึงจะกินไปเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ เธออุตส่าห์เรียนวิธีทำอาหารจีนมาตั้งมากมาย แต่กลับไม่เคยลองชิมพวกมันเลยสักครั้ง
ในสมองของหลงเซียวตอนนี้ ย้อนกลับไปนึกถึงวิธีทำอาหาร ก่อนจะพยักหน้าอย่างเชื่อใจ เขารู้สึกว่าอาหารชนิดนี้มันง่ายมาก แต่กลับไม่เคยได้ลงมือทำด้วยตัวเองมาก่อน แต่อาศัยความรู้ที่เขามีแล้วล่ะก็ มันก็ไม่ได้ยากเลย
“ได้สิ อยากกินงั้นหรือ?”
“อืม อยากค่ะ แต่ตอนนี้เป็นแม่ฉันที่อยากกิน ไม่ใช่ฉันหรอก เธออยากจะกินอาหารจีนมากๆ ฉันก็เลยอยากจะหาอาหารทำสักอย่างหนึ่งน่ะค่ะ”
คำพูดที่ดูเป็นนัยยะของเธอก็คือ อยากจะทำแต่ทำไม่ได้ อีกอย่างหากไปเรียนทำเอาใกล้ๆ ล่ะก็ เกรงว่าทำออกมาครั้งแรกมันจะไม่อร่อยเท่าไหร่
หลงเซียวเปลี่ยนไปใช้หูฟังบลูทูธ พร้อมทั้งกำมือไว้ที่พวงมาลัยแน่น แล้วเหยียบคันเร่งไปอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวผมสอนคุณเอง อย่าเพิ่งวางสายล่ะ เอาไว้ถึงบ้านแล้วเดี๋ยวผมจะสอนให้”
แอนน่าปิดตาลง ก่อนจะยิ้มด้วยความอ่อนเพลีย “อีกตั้งกว่ายี่สิบนาทีนะกว่าคุณจะกลับถึงบ้านน่ะ ทำไมถึงไม่วางสายกันล่ะคะ?”
พอหลงเซียวได้ยินเสียงที่ดูเหนื่อยอ่อนของเธอ เขาก็คิดว่าเธอคงจะดูแลได้มิ้นอย่างลำบากแน่ๆ จึงรู้สึกเจ็บปวดใจหน่อยๆ เวลานี้เขาควรที่จะอยู่ข้างๆ เธอ เผชิญหน้าทุกอย่างไปกับเธอด้วยซ้ำ
“เหนื่อยไหม? ถ้าเหนื่อยก็พักสักหน่อยนะ รอถึงค่อยให้คนขับรถเรียกคุณให้ตื่นก็ได้” น้ำเสียงที่อ่อนนุ่มและดูน่าหลงใหล ทั้งดูน่าฟังและดูสบายอีกด้วย
แอนน่าฉีกยิ้ม “ฉันเองก็อยากจะนอนแล้ว แต่คุณจะไม่วางสายหรือคะ?”
“ไม่ ผมอยากได้ยินเสียงลมหายใจของคุณ”
พลันความรู้สึกรักและอบอุ่นก็เข้ามาโอบล้อมแอนน่าเอาไว้ ทำให้แอนน่าหน้าแดงขึ้นทันที
หลงเซียวพูดขึ้นต่อโดยไม่รอให้เธอได้ตอบสนอง “เอาล่ะ พักสักหน่อยเถอะ อีกเดี๋ยวผมก็ถึงบ้านแล้วล่ะ”
พลันแอนน่าก็หลับมาจนถึงบ้านตระกูลเฉียว เดินเข้าประตู เข้าห้องครัวไป เธอเปลี่ยนไปใช้หูฟังบลูทูธ พร้อมกับพูดคุยกันโดยไม่มีหยุดชะงัก
ซึ่งเขาเองก็ฟังเสียงลมหายใจของเธอมาตลอดทาง โดยไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ แต่กลับดูหวานชื่นราวกับน้ำเชื่อม
“ยังง่วงอยู่ไหม? ไปล้างหน้าก่อนสิจะได้สดชื่น เพราะอีกเดี๋ยวคุณต้องหั่นมะเขือเทศนะ ยังไงก็ต้องทำให้สมองตื่นดวงตาสดชื่นเข้าไว้” หลงเซียวกำชับเธอราวกับเป็นนักเรียนตัวน้อย
แอนน่าเองก็อดหัวเราะไม่ได้กับความเคร่งขรึมของเขา “ฉันไม่ได้อ่อนแออย่างนั้นสักหน่อย ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันทำผ่าตัด ฉันก็เคยอยู่ดึกไม่ได้นอนทั้งคืนน่า แล้วพวกเราจะเริ่มได้หรือยังคะ”
ในสายที่กำลังพูดคุยกันอยู่ตอนนี้ มีทั้งฝั่งกลางวัน และฝั่งกลางคืนที่มืดมิด
ทั้งสองคนต่างก็หยิบไข่ไก่และมะเขือเทศสดๆ ออกมาพร้อมกัน พร้อมทั้งหยิบมีดขึ้น หลงเซียวก็พูดขึ้นว่า “งั้นเริ่มได้เลย”
เขาที่อยู่ฝั่งนี่ลงมีดหั่นผัก ส่วนฝั่งเธอก็กำลังแบ่งมะเขือเทศให้ออกเป็นส่วนๆ จนน้ำมะเขือเทศสีแดงก็ไหลลงเต็มเขียง จนเปื้อนนิ้วมือเธอไปหมด
“หลงเซียว ฉันหั่นได้เสมอกันเลยล่ะ ฝีมือด้านมีดฉันไม่แพ้คุณหรอกนะ” แอนน่าชื่นชมฝีมือตัวเองอย่างพึงพอใจ ด้วยคำแนะนำของหลงเซียว ทำให้เธอสามารถหั่นมะเขือเทศออกมาได้เสมอกัน เพียงครั้งแรกที่ทำด้วยล่ะ!
หลงเซียวเองก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร เขาหยิบมะเขือเทศที่หั่นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยลงในภาชนะ “ผมเชื่อ คุณเองก็เก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นา”
เขาเองก็ชื่นชมเธอ ถึงแม้จะไม่ได้เห็นก็ตาม แต่เขามั่นใจได้แน่ว่า ภรรยาของเขาเก่งที่สุด
เขาและเธอต่างก็จุดไฟขึ้นพร้อมกัน ทอดไข่ ใส่หัวหอม…และเทน้ำมะเขือเทศที่สวยสดลงไป
และปิดไฟพร้อมกัน
พลันอาหารที่มีทั้งสีเหลืองแดงผสมกัน ก็ถูกยกออกมาในเวลาเดียว จนมันส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่ว น้ำมะเขือเทศที่คลุกเคล้าด้วยกันกับไข่ไก่ เพียงแค่ดูสีสันของมัน ก็ทำให้รู้สึกอยากกินมากๆ แล้ว
หลงเซียวนั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียว โดยที่นั่งตรงข้ามเขาว่างเปล่า เขาหยิบตะเกียบขึ้น ก่อนจะยิ้มให้กับเก้าอี้ที่ว่างเปล่าตรงหน้า “กินข้าวได้หรือยังครับคุณนายหลง?”
แอนน่าเองก็นั่งอยู่ในห้องอาหารภายในบ้านตระกูลเฉียว เธอหยิบตะเกียบขึ้นมา พร้อมกับยิ้มบางๆ ให้กับเก้าอี้ที่ว่างเปล่าตรงหน้าเช่นกัน “กินได้แล้วค่ะคุณหลง”
……
“ฉันอยากให้มันตายอยู่ที่อเมริกานั่น! ฉันอยากจะทำให้มันตายเหลือเกิน! กรี๊ด!! ฉู่ลั่วหาน ไอ้คนต่ำช้า! ต่ำต้อย! เธอทำลายชีวิตฉันทั้งหมด! ทำลายความสุขของฉัน! ทำลายชีวิตฉัน! กรี๊ด!! ทำไมมันถึงยังมีชีวิตอยู่! ทำไมถึงยังไม่ตายอีก!”
โม่หรูเฟยขังตัวเองอยู่ในห้องนั้นประมาณสองชั่วโมง พร้อมทั้งทำลายข้าวของต่างๆ ในห้องด้วยน้ำมือของเธอเอง ผ้าม่านที่ดูบางก็ถูกเธอดึงขาดลงมาเป็นชิ้นๆ อีกทั้งผ้าม่านสักหลาดแผ่นหนาก็ยังถูกเธอดึงทึ้ง กองทิ้งไว้กับพื้นไม่เป็นชิ้นดี อีกทั้งยังมีเศษกระจกและเศษกระเบื้องกองอยู่บนนั้นนับไม่ถ้วน และกระจกที่มีขนาดกว้างกว่าสองเมตรก็ถูกเธอทุบจนเป็นเศษเล็กเศษน้อยเสียงดัง “เพล้ง!” จนเศษของมันร่วงกราวลงกับพื้นทั้งหมด
หลังจากระบายอยู่ประมาณสองชั่วโมง โม่หรูเฟยก็รู้สึกเหนื่อย ก่อนจะทรุดลงไปกับพื้น มือของเธอถูกเศษกระจกบาดจนเป็นแผลยาว ทำให้เลือดสดๆ ไหลออกมาจากบาดแผลนั้น จนมันค่อยๆ เปื้อนชุดราตรีสีขาวที่เธอสวมในวันนี้ไป
“เฟยเฟย เปิดประตูสิลูก! รีบเปิดประตูนะ สัญญากับแม่สิว่าอย่าทำเรื่องอะไรโง่ๆ!”
หึๆ
โม่หรูเฟยยิ้มยะเยือกด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด เศษกระจกยังสะท้อนใบหน้าที่ดูดุร้ายของเธอออกมา ผมของเธอกระเซอะกระเซิง ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง เปื้อนไปด้วยรอยน้ำตาและเม็ดเหงื่อจนไม่เหลือสภาพเดิม ริมฝีปากที่แดงฉานของเธอก็บิดเบี้ยว จนใบหน้าที่ขาวผ่องของเธอแทบจะเป็นรอยขีดแผลขึ้นมา
“ไปให้พ้น! ออกไปให้หมด! อย่ามายุ่งกับหนู! อย่ามาเรียกหนู!”
โม่หรูเฟยยกมือทั้งสองขึ้นปิดหูตัวเอง ก่อนจะตะโกนสุดเสียง
ฟู่เหวินฟางเห็นแบบนั้น ก็รู้สึกเจ็บปวดใจ ก่อนจะเคาะประตูพูดอ้อนวอน “เฟยเฟย ลูกเปิดประตูก่อนเถอะนะ ไม่ว่าลูกคิดจะทำอะไร พ่อกับแม่จะช่วยลูกเอง สัญญากับแม่สิว่าอย่าทำเรื่องอะไรโง่ๆ นะ!”
โม่หรูเฟยยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าไปมา ทำให้ขนตาอายไลเนอร์ต่างก็เปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งหน้า “หึๆ ช่วยหนูหรือคะ? จะช่วยหนูยังไงหรือคะ? เขาไม่ต้องการหนู เขาไม่รักหนูแล้ว เหอะ แม้แต่การแต่งงานอย่างไร้ความรัก เขายังไม่ยอมให้หนูเลย มันจบแล้วล่ะค่ะ! มันไม่มีโอกาสอีกแล้ว!”
โม่ล่างคุนเองก็ถอนหายใจอย่างหนัก “เฟยเฟย พ่อจะหาวิธีพาลูกออกมาจากความโหดร้ายนั้นให้ได้ แต่ลูกเปิดประตูให้พวกพ่อก่อนเถอะนะ”
ไม่ว่าจะเป็นจะตายยังไงโม่หรูเฟย ก็ไม่มีทางจะเปิดประตูแน่นอน ตอนนี้เธอจะเอาอะไรที่ไหนไปพบหน้าคนกัน? โลกทั้งใบตอนนี้ต่างก็หัวเราะเยาะเธออยู่ ทุกคนทั้งหมดก็อยากจะให้เธอตายไวๆ ใช่ไหมล่ะ?
ภรรยาของหลงเซียวยังไม่ตาย การมีอยู่ของเธอมันทำให้ดูเป็นเรื่องตลกไปทั่วทั้งแผ่นดินเลย! ตลกสิ้นดี!
ขณะที่กำลังโต้เถียงกันอยู่นั้นเอง เกาหยิ่งจือก็รีบรุดมาอย่างรวดเร็ว พอเห็นสภาพที่เกิดขึ้น ก็ส่งเสียงทักทายพ่อกับแม่ ก่อนจะเดินไปที่ประตู แล้วตะโกนเข้าไปด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวโกรธ “หรูเฟย นี่คือวิธีที่เธอจะโจมตีฉู่ลั่วหานหรือไง? ใช้วิธีนี้แล้วเธอจะตามหาความสุขได้ยังไง? ถ้าเธอยังเป็นแบบนี้ต่อไป หลงเซียวก็ยิ่งไม่ชายตามองมาที่เธอหรอกนะ!”
โม่หรูเฟยรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดเข้าที่หัว เธอลุกพรวดขึ้นจากพื้น ก่อนจะกำหมัดกัดฟันแน่น “ไม่! ฉันไม่ยอม!”
ทันทีที่ประตูถูกเปิด สภาพด้านในห้องตอนนี้แทบจะดูไม่ได้เลยทีเดียว
โม่หรูเฟยมองไปยังพ่อกับแม่น ก่อนจะกัดฟันเค้นเสียงพูดออกมาทีละคำ “พ่อคะ ถึงแม้อำนาจของตระกูลโม่จะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับตระกูลหลง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นที่จะถูกพวกเขาควบคุม หนูไม่เชื่อ ว่าตระกูลโม่จะทำอะไรพวกเขาไม่ได้!”
โม่ล่างคุนพลันนิ่งเงียบไปทันที ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้นมาว่า “เฟยเฟย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเอาของแข็งไปชนกับของแข็งหรอกนะ จะโจมตีอะไรก็คงยังไม่ได้หรอก”
อีกอย่างช่วงนี้หุ้นของตระกูลโม่ก็ดูเลวร้ายอยู่ด้วย ในใจของเขาจึงรู้สึกเหมือนมีหินก้อนหนึ่งมาถ่วงเอาไว้ เดิมทีเขาเองก็อยากที่จะเกี่ยวดองกับตระกูลหลงให้เร็วๆ เหมือนกัน เพื่อที่จะได้คลี่คลายวิกฤตที่ตระกูลโม่เจอ แต่เรื่องมันกลับ……
โม่หรูเฟยเองก็จ้องเขาเขม็ง พร้อมกับยิ้มอย่างเยือกเย็น “ที่พ่อพูดนี่หมายความว่าไงกันคะ? หรือว่าพ่อไม่อยากออกปากแทนหนูหรือคะ? พ่อจะมาดูหนูถูกตระกูลหลงปั่นหัวเล่นแบบนี้หรือคะ?”
“ไม่แน่นอน! แต่…ตอนนี้สภาพของบริษัทมันไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสมเท่าไหร่ ลูกต้องเข้าใจพ่อด้วยนะ”
“เข้าใจแล้วล่ะค่ะ ดูเหมือนว่าในสายตาของพ่อ บริษัทดูจะสำคัญกว่าหนูตลอดไปเลยสินะคะ!” พูดจบ โม่หรูเฟยก็หันหลังเดินจากไปทันที!
“เฟยเฟย ลูกจะไปไหนน่ะ? กลับมาก่อน!”
แต่เกาหยิ่งจือยกมือขวางฟู่เหวินฟางเอาไว้ “เดี๋ยวหนูไปตามเองค่ะ”
เธอเดินเข้าไปรั้งข้อมือของโม่หรูเฟยเอาไว้ ก่อนจะยกมือฟาดลงไปบนใบหน้าของเธอเต็มแรง!
เสียงดัง “เพี๊ยะ!” จนแทบจะทำให้โม่หรูเฟยเป็นลมไปลเย “นี่พี่…”
“ไม่ได้เรื่อง! นี่เธอคิดจะไปที่อเมริกาแบบนี้หรือ? เธอคิดจะไปสู้สุดตัวกับฉู่ลั่วหานหรือเปล่า?”
“ฉัน…”
“หรูเฟย!…เธอนี่ยากจะเยียวยาแล้วล่ะ!”
โม่หรูเฟยยกมือขึ้นกุมหน้าที่ร้อนผ่าวของตัวเอง ก่อนที่น้ำตาจะเอ่อล้นออกมา “หนูเกลียดมัน!”
“พี่รู้! แต่ตอนี้เธอยังทำอะไรไม่ได้ สิ่งที่เธอต้องทำตอนนี้ ก็คือหาแพะมารับบาปต่างหาก!”
โม่หรูเฟยส่งแววตาว่างเปล่าออกมา “ใครกัน?”
“จินเสี่ยวเย้น ตอนนั้นเธอเป็นคนที่ผลักฉู่ลั่วหานลงหน้าผาไปเอง ตอนนี้ เธอก็น่าจะได้เวลาทำอีกรอบแล้วล่ะ”
……
ท้องฟ้า ณ มหานครนิวยอร์ก แสงอาทิตย์ค่อยๆ จางลง พร้อมกับแสงสีทองทีวาดผ่านกลุ่มเมฆ ทำให้เกิดหมอกจางๆ
แอนน่าเอนหัวอิงหลับอยู่ที่โซฟาภายในห้องผู้ป่วย ทันทีที่ตื่นมาเธอก็พบว่า บนร่างกายเธอมีเสื้อนอกสีดำคลุมตัวเธอไว้อยู่
พลันกลิ่นน้ำหอมกู่หลงที่คุ้นเคยก็โชยมา ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกใจวูบขึ้นมา เควินงั้นหรือ?
ขณะที่เธอกำลังลืมตานั้นเอง เควินก็ลุกออกมาจากโซฟาที่อยู่ตรงข้าม “ดีขึ้นหรือยัง?”
เธอจำไม่ได้เลยว่าทำไมตัวเองถึงได้หลับไป
“หลับอิ่มแล้วล่ะ ขอบคุณนะ”
เธอยื่นเสื้อนอกคืนให้เควินผ่านโต๊ะไป พร้อมกับยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่
เควินเองก็พาดเสื้อนอกตัวนั้นไว้กับโซฟา “ใครกันที่บอกว่าอยากจะเป็นเพื่อนกับผมน่ะ? ก่อนหน้าที่จะเป็นเพื่อนกัน คุณไม่ได้เกรงใจผมขนาดนี้เลยนะ”
“นี่เป็นมารยาทพื้นฐานเท่านั้นล่ะ”
“ไม่หรอก คุณลองคิดดูให้ดีคุณก็รู้ ระหว่างพวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอก ผมจะดีใจมากถ้าคุณเองก็คิดได้แบบนี้เหมือนกัน”
แอนน่าได้ยินก็แทบจะพูดอะไรไม่ออก “แล้วแต่คุณจะคิดแล้วกัน”
“แม่ของคุณพ้นขีดอันตรายแล้วล่ะ แล้วขั้นต่อไปคุณคิดจะทำอะไรล่ะ?”
ยังพูดมาตรงๆ เหมือนเดิมนะ
แอนน่าเองก็พูดตรงๆ บ้าง “ฉันควรจะถามคุณมากกว่า ว่าคุณคิดจะทำอะไรต่อกันแน่? ตอนนี้ฉันไม่ใช่คู่หมั้นของคุณแล้ว คุณเองก็ควบคุมบริษัทเฉียวซื่ออยู่ อยากจะพัฒนามันต่อไหมล่ะคะ?”
เควินหัวเราะออกมา โดยไม่ได้แสดงท่าทีที่ประหม่าแต่อย่างใด “สามีของคุณคือหลงเซียวนะ คุณจะมาเป็นห่วงผมไปทำไมกัน?”
“พูดแบบนี้ คุณไม่คิดที่จะปล่อยบริษัทเฉียวซื่อไปงั้นหรือ?”
เควินยกมือทั้งสองข้างขึ้นถู ก่อนจะโน้มกายลงมากึ่งหนึ่ง “เจ้าสาวมักจะกลัวได้เจ้าบ่าวที่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมจะเป็นคนช่วยตรวจสอบดูให้เอง ว่าหลงเซียวมีความสามารถที่จะปกป้องคุณหรือเปล่า”
แอนน่ากำนิ้วมือเข้าหาทีละนิ้ว พร้อมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความระแวดระวัง “หมายความว่ายังไงกัน?”
“ง่ายมาก แค่เอาบริษัทเฉียวซื่อมาพนัน ถ้าหากหลงเซียวสามารถแย่งบริษัทเฉียวซื่อไปจากผมได้ ก็ถือว่าเขาชนะ ส่วนผู้ชนะมีสิทธิ์ครอบครองทุกอย่าง แต่ถ้าหากเขาแพ้ คุณก็ต้องกลับมาอยู่ข้างๆ ผม ผมจะไม่มีทางให้คุณ เหมือนกับหญิงสาวคนอื่นที่มีคนไร้ความสามารถ และไม่มีทางปกป้องคุณได้อยู่ข้างๆ คุณหรอกนะ”
แอนน่าได้ยินก็โมโหเสียจนหัวเราะอย่างเยือกเย็น “เควิน นี่คุณจำเป็นต้องทำแบบนี้เลยหรือ?!”
เขาก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “ผมก็ไม่ได้อยากทำถึงขั้นนี้หรอก แต่เมื่อถูกแย่งเหยื่อไป ผมก็ต้องสู้สุดชีวิตเพื่อแย่งกลับมา ใช่ไหมล่ะครับ?”