คุณหลง อย่าหยิ่งยโสเกินไป - ตอนที่ 227 งานหมั้นเป็นโมฆะ
ตอนที่ 227 งานหมั้นเป็นโมฆะ
พลันแสงอาทิตย์ส่องทะลุพาดผ่านก้อนเมฆออกมา จนทำให้เกิดแสงประกายจ้าไปทั่วทั้งท้องฟ้า และสาดลงมายังร่างกายของแอนน่า เธอไม่ได้ยิ้มเยาะ ไม่ได้รู้สึกเศร้าระทมแต่อย่างใด เธอยังคงยืนจ้องมองตู้หลิงเซวียนอย่างเรียบเฉยอยู่แบบนั้น
แววตาที่ดูใสสะอาดสุกสกาว มันสว่างเสียจนปกคลุมแสงอาทิตย์ที่โผล่มาจากทิศตะวันออกจนมิดเลยทีเดียว
ตู้หลิงเซวียนกำแหวนที่อยู่ในฝ่ามือแน่น ใบหน้าที่มีแต่ความผิดหวังกับความเศร้าโศกของเขาเมื่อสักครู่นี้หายไปหมดแล้ว ตอนนี้ใบหน้าของเขากลับมาดูสง่าเหมือนอย่างเดิม เขายิ้มแล้วพูดขึ้น “คุณกับแอนน่ามีอยู่จุดหนึ่งที่ไม่เหมือนกันนะ ดูเหมือนว่า คุณจะฉลาดกว่าเธอเยอะเลยนะ”
รอมาตั้งกว่าครึ่งวันแบบนี้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำเพียงแค่ชมเธอ นี่คือการชื่นชมของสุภาพบุรุษงั้นหรือ? หรือว่าตั้งใจให้เธอกลับไปกัน?
แอนน่ายื่นมือออกไป ก่อนจะพูดอย่างใจกว้างว่า “มีคนเคยบอกเอาไว้ว่า หลังจากเลิกกันไม่อาจเป็นเพื่อนกันต่อไปได้ แต่ฉันคิดว่า เรื่องระหว่างพวกเรา ยังไม่เคยถึงขั้นนั้นเลยใช่ไหม? ดังนั้น หวังว่าต่อจากนี้พวกเราจะสามารถเป็นเพื่อนกันต่อไปได้นะ”
แต่ทางตู้หลิงเซวียนกลับไม่ยื่นมือออกมา เป็นเพื่อนงั้นหรือ? นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการด้วยซ้ำ
เขาเก็บแหวนวงเล็กๆ นั้น ก่อนจะกำมือแน่น ราวกับรู้สึกว่าทั้งร่างกายของเขาตอนนี้ จุดที่รู้สึกปลอดภัยที่สุด จะมีเพียงที่ฝ่ามือของเขาเท่านั้น
“ทำไมกัน?”
เขาอยากจะถามเหลือเกิน ว่าช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันที่ผ่านมา แม้แต่จะคบกันก็ยังทำไม่ได้เลยหรือ? ระหว่างพวกเขาสองคน ก็ได้ประสบพบเจออะไรกันมาตั้งหลายเรื่อง ทั้งการนัดเจอกัน กินข้าวกัน เรื่องราวพวกนี้ ไม่เคยเลยที่จะไม่ได้ทำด้วยกัน
แอนน่ารู้ว่าเขาหมายความว่ายังไง แต่ก็ไม่ได้พูดไปตามความหมายที่เขาอยากให้เป็น จึงทำเพียงยักไหล่ “ก็ง่ายๆ มีเพื่อนเยอะขึ้น ก็มีคู่แข่งน้อยลง”
ตู้หลิงเซวียนยังคงค้างอยู่ท่าเดิม แววตาของเขาก็ยังคงหยุดมองอยู่ที่มือทั้งสองข้างของเธอ หลังจากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ดูสง่างาม “หรือคุณจะไม่รู้กัน ว่าคำว่าเพื่อน บางทีมันก็เป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดนะ”
แอนน่าหัวเราะ ก่อนจะทำท่าทางที่สง่างาม ดูสวยสง่ากว่าท่าทางในตอนแรก “แล้วคุณจะเป็นแบบนั้นหรือ?”
หากดูจากการที่เขาสามารถควบคุมตระกูลเฉียวได้ ก็คงจะพูดแบบนั้นไม่ได้ทีเดียว
จนสุดท้ายตู้หลิงเซวียนก็ไม่ได้จับมือกับแอนน่าเลย เพียงแต่มีแสงประกายวาบผ่านดวงตาของเขาเท่านั้น “การมาถูกขอเลิกแบบนี้ มันดูน่าอาย แต่มันก็พอกับเวลาที่เสียไปแล้วล่ะ แต่ว่าแอนน่า คุณรู้หรือเปล่า ว่าบนโลกนี้น่ะมันจะมีสัตว์อยู่ชนิดหนึ่ง หากเหยื่อของมันถูกสัตว์อื่นขโมยไปล่ะก็ มันก็จะไปล้อมโจมตีรังของอีกฝ่าย เพื่อที่จะแย่งกลับมานะ”
ตู้หลิงเซวียนไม่ได้เป็นพระเอกอย่างที่คาดไว้ เขาเองก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ว่าเขาจะยอมเป็นคู่ต่อสู้กับหลงเซียวต่อหน้าของเธอ ซึ่งเห็นได้เลยว่าเขามีทั้งความแน่วแน่และความโกรธเกรี้ยว
แอนน่าชักมือกลับมา “ฉันไม่ใช่เหยื่อของคุณสักหน่อย”
ในแววตาที่ยากจะคาดเดาของตู้หลิงเซวียนตอนนี้ มีทั้งความคิดและสิ่งที่ลึกซึ้ง ที่แอนน่ายากจะเข้าใจอยู่ เขาใช้สายตาแบบนั้นในการจ้องมองมาที่แอนน่า หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “ถูกแล้ว คุณไม่ใช่เหยื่อของผม แต่ผมเป็นเหยื่อของคุณต่างหาก คุณได้ขโมยหัวใจของผมไปแล้ว แต่ตอนนี้คุณกลับเอาความจริงใจที่ผมมี โยนทิ้งไปแล้วล่ะ”
แอนน่าแทบจะพูดอะไรไม่ออก เขาพูดอย่างเศร้าโศกออกมาอย่างจริงใจ จริงใจจนขนาดแอนน่ารู้สึกได้ ว่าตัวเองไปทำร้ายผู้ชายที่รักตัวเองอย่างสุดซึ้งคนหนึ่งเข้าแล้ว
ตู้หลิงเซวียนยังคงรักษาท่าทางแบบเดิมไว้อยู่ “เอาล่ะ เข้าไปเถอะครับ ส่วนเรื่องของพวกเรา เอาไว้คุยหลังจากนี้แล้วกันนะ ดูแลแม่ของคุณให้ดีล่ะครับ เธอยังต้องการคุณอยู่นะ”
พูดจบ ตู้หลิงเซวียนก็หันหลังเดินออกจากโถงทางเดินไปทันที
แอนน่าส่งสายตามองไปยังเขา ที่กำลังเดินเข้าหาแสงอาทิตย์ ที่กำลังส่องแสงพาดผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ที่สุดโถงทางเดินเข้ามา แผ่นหลังของเขายิ่งเดินยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ จู่ๆ เธอก็มีความรู้สึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก
ชั่วขณะนั้นเอง เธอก็มองเห็นว่าฝ่ายชายที่ค่อยๆ เดินออกไปไกลนั้น กลับดูมีจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง มากกว่าตอนอยู่ต่อหน้ากันเสียอีก
มันนอนนิ่งอยู่ในมุมมืด ราวกับสัตว์ที่กำลังจำศีลในฤดูหนาว
……
“หัวหน้า ถึงเวลาแล้วครับ ไม่ทราบว่าจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงตอนนี้เลยไหมครับ?”
ถึงเวลาเลิกงานจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม แต่หลงเซียวยังคงอยู่ในห้องทำงาน ด้านนอกตอนนี้ พระจันทร์เสี้ยวกำลังลอยอยู่ในหมู่มวลเมฆหมอกมากมาย ล้อมรอบไปด้วยหมู่ดาวที่ส่องประกายระยิบระยับ ราวกับกำลังส่งเสียงรับขานกับโคมไฟสีรุ้งในเมืองไปมา ยิ่งดูก็ยิ่งสวยงามอย่างมาก
หลงเซียวยืนอยู่ริมหน้าต่าง ร่างกายที่สูงใหญ่ของเขาถูกความมืดมิดในค่ำคืนโอบกลืน อีกทั้งดูสูงใหญ่จนยากที่จะแหงนหน้ามอง
เขายกกาแฟขึ้นจิบ พร้อมทั้งรสขมที่พุ่งผ่านลำคอ “จะรีบร้อนไปทำไมกัน? ให้พวกเขารอไปก่อน”
“ครับ…”
“แล้วจัดระเบียบพวกนักข่าวเรียบร้อยหรือยัง?”
“วางใจได้เลยครับหัวหน้า งานเลี้ยงของคืนนี้ ไม่มีนักข่าวอยู่เลยสักคนครับ”
“ดี”
จี้ตงหมิงก้มมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ เวลาก็กำลังเดินไปทุกนาทีๆ แต่หัวหน้ากลับไม่รีบร้อนเลยสักนิด เขาเองก็ไม่กล้าที่จะไปเร่ง จึงทำได้เพียงคิดว่าตัวเองเป็นขอนไม้ ยืนรอคำตอบจากหัวหน้าอยู่แบบนั้น
หัวหน้าเองแทบไม่เคยจะสนใจ งานเลี้ยงของตระกูลหลงกับตระกูลโม่มาก่อน คงน่าจะเป็นการไว้หน้าแล้ว แล้วใครจะไปกล้าให้เขาโผล่มาตรงเวลาล่ะ
หลงเซียวยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอานิ้วมือเคาะที่แก้วไปมา ก่อนจะมองดูเวลา ตอนนี้ก็น่าจะได้เวลาแล้วล่ะมั้ง?
ทำไมไม่มีข่าวคราวจากลั่วลั่วเลยนะ?
หากดูจากข่าวที่กู้เยนเซินบอกมา ลั่วลั่วในตอนนี้ก็น่าจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้น……
พลันมุมปากของหลงเซียวก็เผยอขึ้นบางๆ รอยยิ้มของเขามันดูลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูกทีเดียว
ดูเหมือนว่า เขาจะช้ากว่าเธอไปก้าวหนึ่งล่ะนะ
“เอาล่ะ พวกเราออกไปกันเถอะ”
จี้ตงหมิงส่งเสียงตอบรับ หัวหน้าจะตัดสินใจกะทันหันไปแล้ว!
“ครับ! ผมจะไปขับรถทันทีครับ”
พลันรถ Rolls-Royce สีดำ ก็ขับมาจอดอยู่ด้านหน้าตึก Club.HT เป็นเพราะมีงานเลี้ยงรวมตัวกันของตระกูลโม่ และตระกูลหลง ทำให้แสงไฟด้านนอกต่างๆ ในคืนนี้ มีรวมอยู่กันมากมายราวกับทะเลแสงไฟ ส่วนที่จอดรถที่กว้างใหญ่ตอนนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่รถของผู้ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโม่และตระกูลหลงทั้งนั้น
หากอิงตามประเพณีแล้ว วันนี้ก็จะถือว่าเป็นวันนัดพบปะสังสรรค์ ก่อนคู่แต่งงานใหม่ เพื่อจะได้ต้อนรับอย่างอบอุ่น
พลันผู้ที่สวมรองเท้าหนังสีดำวาวก็เดินลงจากรถ หลงเซียวเอามือมาจัดกระดุมของชุดสูทสีดำของตัวเอง ก่อนจะเผยรอยยิ้มมุมปาก เพื่อความอบอุ่นยังงั้นหรือ?
แต่เขาชอบอะไรที่มันไม่ร้อนเกินไปน่ะสิ
“สวัสดีคุณชายหลง มีบุคคลสำคัญตั้งมากมายขนาดนี้ คุณชายคงไม่ได้ตั้งใจจะมาสุดท้ายแบบนี้หรอกใช่ไหม? มีคนตั้งมากมายกำลังรอคุณชายอยู่เลยนะ”
พลันมีชายมีอายุคนหนึ่งของตระกูลหลง เดินมายิ้มทักทายเขาอย่างสดใส ส่วนน้ำเสียงของเขาก็ดูประจบประแจงเสียจริง
เมื่อมีคนตะโกนเรียกเขาแบบนี้ ทำให้สายตาของทุกคน ต่างก็หันมามองคนที่เพิ่งจะเดินเข้าประตูห้องโถงมา เมื่อมีร่างกายที่สูงใหญ่ สวมเสื้อสีดำกางเกงสีดำปรากฏตัวขึ้น ทุกคนที่กำลังดื่มกินอยู่ก็หยุดชะงักลง พร้อมทั้งเสียงพูดคุยเองก็หายไปเหลือแต่ความเงียบ ก่อนจะหันไปมองหลงเซียวเขม็ง
โม่หรูเฟยหันกลับมามองตาไม่กระพริบ เพราะความรู้สึกดีที่มีให้ เธอยกให้หลงเซียวหมดแล้ว วันนี้เธอสวมชุดราตรีประดับเพชรสีขาว ดูสว่างเจิดจ้าเป็นประกายระยิบระยับ จากนั้นเธอก็ก้าวเท้าไปหาหลงเซียวด้วยรองเท้าส้นสูง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน “พี่เซียว ในที่สุดพี่ก็มาจนได้”
โม่หรูเฟยเข้าไปคล้องแขนของหลงเซียว ท่ามกลางสายตาที่อวยพรและอิจฉาของแขกเหรื่อทั้งหลาย ราวกับว่าผู้ชายคนนี้กลายเป็นของส่วนตัวของเธอไปซะแล้ว
หลงเซียวเองก็กวาดสายตาที่เยือกเย็นของเขา มองไปยังแขกเหรื่อนับร้อยในงาน ไม่เพียงแต่จะมีแค่ตระกูลโม่เท่านั้น แต่ยังมีคนของตระกูลเการ่วมอยู่ด้วย ในงานเลี้ยงคืนนี้ เป็นการรวมตัวของตระกูลที่ร่ำรวยในเมืองกว่าครึ่ง เขาก็เริ่มรู้สึกไม่สนุกขึ้นมา
หลงเซียวยกมือขึ้นจับที่ปลายนิ้วของโม่หรูเฟย ชั่วขณะที่โม่หรูเฟยคิดว่าเขาจะทำอะไรบางอย่างที่สนิทชิดใกล้นั้นเอง เขากลับออกแรงผลักมือที่คล้องแขนของเขาไว้ออกทันที
โม่หรูเฟยเบิกตากลมโตมองอย่างเงียบๆ พร้อมทั้งเปิดปากพูดออกมาอย่างยากลำบาก “พี่เซียว…นี่พี่ทำอะไรน่ะคะ?”
หลงเซียวโน้มตัวลงมาแนบชิดติดหูของเธอ ท่าทางดูคลุมเครืออย่างมาก แต่คำที่พูดออกมา กลับทำให้โม่หรูเฟยตัวแข็งทื่อไป “หรูเฟย ยังจำเรื่องที่พี่พูดได้ใช่ไหม? แต่พี่มีเงื่อนไขข้อหนึ่งมาบอก คืนนี้ เธอจะเป็นคนบอกยกเลิกงานหมั้นเอง หรือว่าจะให้พี่เป็นคนพูด?”
พลันสีหน้าของโม่หรูเฟยก็แดงก่ำ ราวกับมีฝ่ามือมาตบฉาดบนใบหน้าเธอหลายต่อหลายทีจนเจ็บปวด เธอรีบคว้าแขนเสื้อของเขาไว้ด้วยท่าทีตื่นตระหนก “พี่เซียว พี่อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ ฉันอยากแต่งงานกับพี่นะ แล้วพี่จะมายกเลิกงานหมั้นกับฉันได้ยังไงกัน?”
ทั้งสองคนต่างก็กระซิบกระซาบคุยกันแบบนั้น ทำให้ทุกคนต่างก็คิดว่าเป็นการแสดงความรักกันระหว่างคู่รักปกติ มีเพียงแค่บุคคลที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่
หลงเซียวปัดมือของเธอออก “แต่งงานกับเธองั้นหรือ? แล้วภรรยาของพี่ล่ะจะทำยังไง?”
ภรรยางั้นหรือ?!
พลันหลงเซียวก็พูดขึ้นต่อเสียงต่ำอย่างมีเมตตาที่สุด โดยไม่รอให้โม่หรูเฟยแสดงความประหลาดใจออกมา “พี่ยกสิทธิ์ให้เธอหมดเลย เธอก็ไปประกาศว่าเราสองคนจะไม่หมั้นกัน เมื่อเป็นแบบนี้ ก็จะได้รักษาหน้าของตระกูลโม่ได้ยังไงล่ะ”
“ไม่! ฉันไม่ตอบรับอะไรพี่ทั้งนั้น!”
หลงเซียวขมวดคิ้ว “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ให้พี่เป็นคนพูดแทนแล้วกัน”
เขาเตรียมใจเรื่องการมาพูดกับโม่หรูเฟย ก่อนหน้าที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้แล้ว หลงเซียวเดินเชิดหน้าตรงไปยังจุดศูนย์กลางของห้องโถง โม่ล่างคุนเองก็รีบรุดเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม “หลงเซียว วันนี้เป็นวันสำคัญของนายกับเฟยเฟยเลยเชียวนะ ในที่สุดพวกเราทั้งสองตระกูล ก็จะได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว”
แต่รอยยิ้มของหลงเซียว กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกอบอุ่นออกมาเลย “คุณโม่ครับ เกรงว่าจะยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับ”
คุณโม่งั้นหรือ? เหมือนว่าพอพูดคำนี้มา ระยะระหว่างทั้งสองคนมันก็ยิ่งห่างขึ้น โม่ล่างคุนเองก็ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “นี่เจ้าหนุ่มน้อย นี่คิดจะเรียกอย่างเกรงใจแบบนี้ ก่อนจะได้เรียกคำว่าพ่องั้นหรือ? ฮ่าๆ”
หลงถิงเองก็เฝ้ามองดูลูกของตัวเองอย่างเงียบๆ ชั่วขณะนั้นทั้งสองคนก็หันหน้ามาสบตากัน ส่วนความนัยนั้นก็มีแค่ทั้งคู่ที่เข้าใจกันเท่านั้น
หลงจื๋อเองก็นั่งหน้าบูดหน้าบึ้งอยู่ที่โซฟาเดี่ยวไกลๆ ตัวหนึ่ง อีกทั้งยกขาขึ้นพาดเก้าอี้ด้านหน้า พร้อมทั้งยกแก้วแชมเปญ และแกว่งมันไปมา แต่กลับไม่ได้ดื่มเลยสักอึก
คืนนี้ ตระกูลโม่คงจะโชคไม่ดีแล้วล่ะ
หลงเซียวเองก็ไม่ได้คิดที่จะอยู่ในงานเลี้ยงนี้นาน เขาต้องการรีบตัดจบ ทำทุกอย่างให้เสร็จไปทีเดียวเลย
หยวนชูเฟินกับฟู่เหวินฟางก็ยังคงพูดคุยกันอยู่ เกาหยิ่งจือเองก็กำลังพูดคุยกับคนของตระกูลหลงเช่นกัน ส่วนเกาจิ่งอานก็เดินไปทางหลงจื๋อตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้
“คุณชายสอง วันนี้เป็นวันสำคัญของพี่ใหญ่แท้ๆ แต่ทำไมกลับไม่ดีใจบ้างเลยล่ะ?”
หลงจื๋อเงยหน้าขึ้น ก่อนจะยิ้มให้ “วันนี้ก็เป็นวันที่ดีของน้องสาวนายเหมือนกันนี่ แล้วทำไมนายเองไม่เห็นจะดีใจเลยล่ะ?”
เกาจิ่งอานเบ้ปาก ก่อนจะยกแก้วชนกับหลงจื๋อ พร้อมทั้งดื่มไวน์แดงรวดเดียวหมด “วันที่ดีงั้นหรือ? แต่เหมือนฉันจะไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลยนะ”
หลงจื๋อเองก็เบ้ปาก “คิดไม่ถึงเลยนะ ว่าจะมีวันที่ฉันกับประธานเกาจะมีความคิดเหมือนกัน”
เขายกแก้วขึ้นจิบ พร้อมทั้งหันไปมองกลุ่มคนที่อยู่รอบๆ ตัวของหลงเซียว ด้วยกันกับเกาจิ่งอาน
หลงเซียวเอามือข้างหนึ่งสอดไว้ในกระเป๋ากางเกงตลอดเวลา ก่อนที่รอยยิ้มในแววตาจะค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นเยือกเย็น “วันนี้ผมต้องขอขอบคุณทุกคนมาก ที่มารวมตัวเพราะเรื่องของผมกับคุณหนูโม่”
โม่หรูเฟยคว้ามือของเขาไว้แน่น “พี่เซียว ไม่ต้องพูดอะไรเป็นพิธีรีตองแล้ว มันยากนะกว่าที่ทุกคนจะมารวมตัวได้แบบนี้ สู้ปล่อยเวลาให้พวกเขาอยู่กันตามสบายดีกว่านะคะ……”
หลงเซียวพลันพูดตัดบทเธอขึ้นมา “อีกเดี๋ยว ทั้งเวลาแล้วก็สถานที่ ก็จะกลายเป็นของพวกเขาแล้ว ก็แค่ใช้เวลาแค่นาทีเดียวเอง”
ชั่วขณะนั้นเขาเหมือนดั่งนกพญาอินทรี เขาแทบจะไม่มองมาทางพ่อกับแม่เลยด้วยซ้ำ พลันมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นไหวขึ้น
หลงเซียวที่อยู่จุดศูนย์กลางระหว่างสายตาของทุกคน ก็หยิบมือถือขึ้นมา ท่าทางดูราวกับเป็นคนในราชวงศ์ ที่ปัดป้องคำว่าร้ายของทุกคนเอาไว้
บนหน้าจอมือถือของเขา โชว์ข้อความของลั่วลั่วไว้ ซึ่งเป็นแค่ประโยคง่ายๆ ประโยคเดียว……
“ฉันยกเลิกงานหมั้นแล้วนะ ไม่รู้ว่าฝั่งคุณเองไปด้วยดีไหม?”
หลงเซียวเผยรอยยิ้มขึ้นมา จนคนข้างๆ มองไม่ออกว่ามันหมายความว่าอย่างไร ก่อนเขาจะพูด “แต่ว่า ผมไม่มีทางที่จะแต่งงานกับหรูเฟยได้”
อะไรนะ?!
ไม่มีทางแต่งงานได้งั้นหรือ!
แววตาของโม่ล่างคุนเบิกโพลงด้วยความโกรธ ก่อนจะเดินเข้ามาดึงคอเสื้อของหลงเซียวเอาไว้ “นี่พูดอะไรออกมาน่ะ! ไหนพูดมาอีกทีสิ!”
หลงเซียวคว้าข้อมือของโม่ล่างคุนเอาไว้แน่น พร้อมทั้งสะบัดมือของเขาออก “คุณโม่คงไม่อยากให้ลูกสาวของตัวเอง ต้องมาแต่งงานกับคนที่มีภรรยาแล้วใช่ไหมครับ?”
อะไรนะ?!
ฟู่เหวินฟางได้ยินก็โกรธจนหน้าขาวโพลนไปหมด “หลงเซียว ที่พูดมา มันหมายความว่ายังไงกัน?”
หลงเซียวใช้มือเคาะหน้าจอมือถือไปมา พร้อมทั้งคำที่เรียบเรียงมาสั้นๆ สวยงาม “ภรรยาของเขา กลับมาแล้ว หมายความว่าแบบนี้ล่ะครับ”