คุณหลง อย่าหยิ่งยโสเกินไป - ตอนที่ 195 กลับตาลปัตร เข้าทำงานที่โรงพยาบาลหวาเซี่ย
ตอนที่ 195 กลับตาลปัตร เข้าทำงานที่โรงพยาบาลหวาเซี่ย
หลงถิงพยักหน้า สายตาแน่วแน่จริงจัง “ไม่ผิด ฉันอยากชวนคุณแอนน่าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในโรงพยาบาลหวาเซี่ย”
แอนน่าขมวดคิ้วแน่นเป็นปมในทันที “ฉันไม่เข้าทำงานในโรงพยาบาลมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ข้อเสนอของคุณ ฉันคงต้องปฏิเสธ”
เข้าทำงานในหวาเซี่ย ข้อเสนอนี้มันไร้สาระที่สุด ที่หลงถิงนัดเธอมาพบก็เพื่อจะหาแพทย์เข้าโรงพยาบาลหวาเซี่ยหรือไง?
แต่หลงถิงกลับหัวเราะ “ฉันกะอยู่แล้วว่าเธอต้องตอบแบบนี้ แต่คุณแอนน่าไม่ลองฟังฉันพูดให้จบก่อนล่ะ”
นิ้วเรียวหยิบแก้วชาขึ้นมา แล้วเอียงวนเป็นวงกลมหลายต่อหลายครั้ง ชาที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วเคลื่อนตัวตามทิศทางที่เธอขยับ จนน้ำชาเริ่มเย็นชืด รสชาติเริ่มขม
“คุณว่ามา”
หลงถิงยกหูกาน้ำชาขึ้น “คุณแอนน่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ คงจะทราบดีใช่ไหมว่าในปัจจุบันการศึกษาแพทยศาสตร์ด้านหัวใจยังคงเป็นเรื่องยากอยู่?”
กาน้ำชาในมือของเขาถูกเปรียบเทียบเข้ากับความท้าทายของการแพทย์
“ใช่ ระดับการแพทย์ในปัจจุบันยังคงมีความท้าทายบางอย่างอยู่ แต่โรคเกี่ยวกับหัวใจส่วนมากสามารถรักษาได้ นี่ก็คือจุดต่างระหว่างโรคหัวใจกับโรคเนื้องอก”
เขากำลังถกปัญหาทางการแพทย์กับเธอ? จะมาไม้ไหนกันแน่?
หลงถิงยังถือกาน้ำชาไม่ปล่อย ไอร้อนที่พ่นออกมาจากปากกา สลายหายไปในอากาศด้วยความรวดเร็ว “รักษา แน่นอนว่า เคสส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจมักจะใช้วิธีการรักษาที่คล้ายคลึงกัน ก็แค่ชีวิตที่ซื้อมาด้วยการผ่าตัดราคาเป็นล้านก็เท่านั้น”
แอนน่าขมวดคิ้ว “ทำไมคะ? ระดับคุณหลงแคร์เงินหลักล้าน?”
“ฉันจะไม่แคร์ก็ได้ แต่คุณแอนน่า คุณลองคิดดูสิ ถ้าคำนวณรายได้ประชากรของอเมริกา ครอบครัวที่สามารถจ่ายค่าผ่าตัดครั้งละล้านได้จะมีสักกี่ครอบครัว? แล้วต้องมีผู้ป่วยอีกเท่าไหร่ที่ต้องจบชีวิตลงเพราะจ่ายค่ารักษาไม่ไหว?”
แอนน่าขมวดคิ้ว กำแก้วชาในมือแน่น เธอเคยอ่านรายงานฉบับนึง เกือบแปดสิบเปอร์เซ็นของผู้ป่วยโรคหัวใจขั้นรุนแรงต้องเสียชีวิตลงเพราะปัญหาด้านค่ารักษา ต่อให้จะรักษาหาย แต่ชีวิตช่วงบั้นปลายก็ต้องรับภาระหนี้สิน ทำให้ต้องใช้ชีวิตได้อย่างข้นแค้น
“แล้วยังไงคะ? คุณหลงอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
ตอนนี้เองหลงถิงเทน้ำในกาใส่แก้ว กลิ่นหอมกรุ่นลอยไปทั่ว “จีนเป็นประเทศพัฒนาที่มีจำนวนประชากรขนาดใหญ่ รายได้ประชาชาติห่างไกลกว่าอเมริกามาก ทุกๆปีจะมีผู้ป่วยที่ต้องเสียชีวิตเพราะไม่มีเงินรักษามากถึงหลักแสนไปจนหลักล้านราย ชีวิตของคนเหล่านี้ คุณแอนน่าไม่คิดว่าน่าเสียดายหรอ?”
แอนน่าขมวดคิ้วมองหลงถิง ความเศร้าโศกและความวิตกกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ราวกับกำลังแบกรับภาระชีวิตนับล้านอยู่ รวมถึงริ้วรอยบริเวณหางตาก็เพิ่มมากขึ้น
“คุณหลงพูดมาซะเยอะ ตกลงว่าอยากจะให้ฉันร่วมมืออะไรคะ?”
หลงถิงส่งแก้วที่มีนำชาอยู่เต็มใบมาให้เธอ เขาเคาะโต๊ะเบาๆ “MBKลงทุนให้กับโรงพยาบาลหวาเซี่ย ก็เพื่ออยากช่วยเหลือคนไข้ที่มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจได้มีโอกาสรอด แต่เราจำเป็นต้องสร้างทีมแพทย์ที่เหมือนกับคุณแอนน่า ที่ทำการผ่าตัดให้คนไข้โดยไม่คำนึงถึงผลตอบแทน MBKจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด หวาเซี่ยอยากจะมอบซุปดีๆสักถ้วยให้กับประชากรระดับล่าง แต่ด้วยข้อจำกัดระดับฝีมือทางการแพทย์ จึงอยากขอให้คุณแอนน่าฝืนใจมาเป็นอาจารย์สอนสักระยะ”
นิ้วมือของแอนน่าสัมผัสเข้ากับแก้วชา ปลายนิ้วเย็นเฉียบจู่ๆก็ร้อนขึ้นมา “โรงพยาบาลหวาเซี่ยเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีเป้าหมายหลักคือแสวงหาผลกำไร คำพูดของคุณหลงเมื่อกี้ ไม่ทราบว่าจะเอาไปหลอกเด็กสามขวบที่ไหนคะ?”
“ฮ่าๆ! สมกับที่เป็นคุณหมออัจฉริยะ! โอเค ฉันจะบอกความจริงให้ก็ได้ หวาเซี่ยให้ทุนรักษาฟรีแก่คนไข้ เพื่อหวังจะยกระดับเป็นโรงพยาบาลชั้นนำระดับสากลและได้โปรโมทไปในตัว แต่ขณะเดียวกันคนป่วยก็จะมีโอกาสรอด ยิงปืนครั้งเดียวนกสองตัว มีอะไรไม่ดีล่ะ?”
แอนน่ารู้สึกว่าชาถ้วยนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น
“ทุกปีโรงพยาบาลหวาเซี่ยจะมีคนเสียชีวิตเพราะโรคหัวใจเกือบห้าพันราย โดยเฉพาะโรคลิ้นหัวใจกับโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่คุณแอนน่าถนัด ชีวิตของคนห้าพันคนอยู่ในกำมือของคุณ จะกำก็ตายคลายก็รอด คงไม่ต้องให้ฉันอธิบายไปมากกว่านี้หรอกนะ?”
ตำแหน่งลิ้นหัวใจเป็นศาสตร์การแพทย์ที่ยากพอสมควร เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องพูดถึง เอาแค่ฝีมือของแพทย์ที่พอจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในการผ่าตัดสูงยังเป็นไปได้ยาก
ที่หลงถิงพูดไม่ผิด
“แน่นอน ฉันรู้ดีว่ากฎการรับคนไข้ของคุณคือ ต้องเป็นผู้มีอำนาจและฐานะร่ำรวยเท่านั้น ฉันแค่อยากเป็นตัวแทนของคนไข้นับหมื่นขอให้คุณแอนน่าลดศักดิ์ศรีลงสักครั้ง เรื่องค่าตอบแทน หวาเซี่ยยินดีจะจ่ายในเรตที่สูงที่สุด ไม่ให้คุณต้องขายหน้าแน่นอน แต่หากคุณไม่ตกลง ก็คงต้องตามนั้น”
หวาเซี่ยหวังจะได้ชื่อเสียงจากเวทีระดับนานาชาติ น่ารังเกียจ!
แต่ยอมให้ทุนแก่คนไข้ในการผ่าตัดฟรี ก็น่าชื่นชมอีก!
แอนน่ากำลังชั่งใจ “ฉันต้องขอเวลาตัดสินใจ”
หลงถิงพยักหน้า “ตกลง ฉันจะให้เวลาเธอหนึ่งวัน ตอนนี้มีคนไข้ที่กำลังนอนรอการผ่าตัดอยู่ที่โรงพยาบาล เขาคงรอได้ไม่นาน”
หลังจากรับนามบัตรสีทองที่หลงถิงส่งมาให้ แอนน่าเม้มปาก “ฉันจะพยายามตอบกลับให้เร็วที่สุด”
แอนน่าเดินออกจากร้านน้ำชาด้วยจิตใจที่สับสน
ทำไมเธอถึงกลายเป็นคนขี้ลังเลแบบนี้ได้? ของแบบนี้ เธอควรจะปฏิเสธไปตั้งแต่ต้น
หญิงสาวนวดหัวคิ้วอย่างกลัดกลุ้ม แล้วถามตัวเอง นี่เธอเป็นอะไรไป?
ภายในร้านชา หลงถิงโทรศัพท์
“เหล่าเหลียง บอกทางโรงพยาบาลหวาเซี่ย โครงการที่ประธานเฉินเสนอ ฉันอนุมัติ บอกเขาว่าโรงพยาบาลหวาเซี่ยจะมีทหารนายใหม่มาร่วมศึก เขารู้ว่าฉันหมายถึงอะไร”
“ครับ ท่านประธาน”
วางสายโทรศัพท์ หลงถิงมองกาน้ำชา ริมฝีปากค่อยๆยกยิ้ม “แบ่งซุปดีๆให้พวกคนในกองขยะงั้นหรอ? เหอะ!”
มือหนายกแก้วชาขึ้น แล้วเทน้ำชาที่ชงไว้อย่างดีลงในแม่น้ำ “จุ๋ม”
เมื่อกลับมาถึงวิลล่า แอนน่ายังคงลังเลกับคำชวนของหลงถิง
ถ้าตกลง เกรงว่าต่อไปจะต้องอยู่ที่โรงพยาบาลไปอีกระยะนึง คงกลับอเมริกาไม่ได้แล้ว
แต่ถ้าไม่ตกลง…ไม่ว่าจะยังไง หัวใจของคนเป็นหมอ เธอจะยอมเห็นคนไข้ตายไปต่อหน้าต่อตาได้ยังไง?
ขณะกำลังครุ่นคิด แอนน่าก็นึกถึงไปอีกปัญหานึง หลงเซียวเคยบอกว่าขณะที่กำลังทำหน้าที่เป็นหมอส่วนตัวของเขา ห้ามรักษาให้คนอื่น
พ่อลูกคู่นี้ประสาทซะจริง จะแยกร่างเธอเล่นหรือไง
“แอนน่า”
หลงเซียวเดินเข้าประตูมาก็เรียกเธอ แอนน่าจึงรีบยัดนามบัตรของหลงถิงลงกระเป๋า “มีอะไรคะคุณหลง?”
“เธอจะเข้าร่วมโปรเจคของหวาเซี่ยหรอ?”
หลงเซียวเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา ไม่ให้เธอได้มีแม้แต่เวลาจะลังเล
แอนน่าเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบัง จึงพยักหน้ายอมรับ “พ่อคุณมาหาฉัน อยากให้ฉันเข้าร่วมโปรเจคของหวาเซี่ย”
“เธอคงจะลืมสิ่งที่ฉันเคยพูดไว้” หลงเซียวเลิกคิ้วขึ้นบ่งบอกเป็นสัญญาณอันตราย
“ตอนนั้นก็คือตอนนั้น แต่ตอนนี้โปรเจคนี่มีชีวิตคนจำนวนนับหมื่นเข้ามาเกี่ยว…”
“คุณแอนน่ากลายเป็นผู้กอบกู้โลกตั้งแต่เมื่อไหร่? คนนับหมื่น? ทุกๆวันมีคนอีกไม่รู้เท่าไหร่ที่ตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บ หิวโหย ภัยพิบัติ หรือเธออยากจะยื่นมือเข้าไปช่วยทุกคน?”
หลังจากฟังที่เขาพูด แอนน่ารู้สึกไม่ดีอย่างหนัก ครั้งนึงเธอเคยมีความคิดแบบนี้ โดยเฉพาะตอนที่ร่างเธอนอนเป็นผักเป็นปลาอยู่ในโรงพยาบาล ตอนนั้นที่สมองของเธอมีแต่ภาพสีขาวโพลน
สามร้อยวันที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าอยู่รอดมาได้ยังไง
สามร้อยวัน ที่เธอพูดไม่ได้ เหมือนไอ้โง่หูหนวก ตาบอด ร่างแข็งทื่อนอนอยู่ในห้องคนไข้VIP หัวใจของเธอค่อยๆกลายเป็นหินทีละนิดทีละนิด
เวลานั้น เธอสิ้นหวังกับโลกใบนี้ ปิดประสาทรับรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโลกภายนอก…
หญิงสาวส่ายหัวสลัดความคิดบ้าๆนั่นออกไป “คุณกับฉันไม่เหมือนกัน คุณเป็นนักธุรกิจ ฉันเป็นหมอ ฉันมีกฎเกณฑ์ของฉัน ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของคุณในตอนนี้คือโรคทางใจ ไม่จำเป็นต้องมีฉันอยู่ข้างกายก็ได้ ส่วนคนขับรถ แค่คุณพูดคำเดียวหยังเซินก็จะมาในทันที”
“พูดแบบนี้ เธอจะไปหวาเซี่ยแน่ๆใช่ไหม?” มือใหญ่ของหลงเซียววางลงบนไหล่ของเธอ มือข้างนึงจับคางเล็กให้เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา
“ใช่”
นาทีก่อนเธอยังลังเลอยู่ แต่นาทีนี้เธอแน่ใจแล้ว
“จะไม่เสียใจทีหลัง?” คุณชายเซียวมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ
“ถ้าฉันตัดสินใจทำอะไรแล้ว ไม่เคยเสียใจทีหลัง” แอนน่าเงยคางขึ้นเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ
“ดีมาก”
เขาเห็นด้วยแล้ว?
ข่าวที่แอนน่าจะเข้าทำหน้าที่เป็นศาสตร์แพทย์ของโรงพยาบาลหวาเซี่ยถูกกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ภายในค่ำคืนเป็นที่รู้กันทั่วทั้งเมืองหลวง ทำให้โรงพยาบาลหวาเซี่ยกลายมาเป็นกระแสแรงอีกครั้ง
คุณหมอแห่งชนชั้นสูงที่แสนเย่อหยิ่งในตำนาน ไปทำท่าไหนถึงดึงตัวมาได้? โรงพยาบาลจ่ายไปเท่าไหร่? ให้ผลประโยชน์มากขนาดไหน?
น้ำนิ่งไหลลึก!
เมื่อเผชิญหน้ากับคำวิจารณ์ แอนน่าเพียงยิ้มรับ
สองวันต่อมา ณ โรงพยาบาลหวาเซี่ย
รถเบนท์ลี่ย์สีดำขับเข้าประตูโรงพยาบาลด้วยความเร็ว จากหน้าต่างรถสิ่งแรกที่มองเห็นคือทีมบุคลากรทางการแพทย์สวมกราวน์สีขาวที่ยืนสแตนบายรออยู่ด้านหน้าตึกฉุกเฉิน
ประธานเฉิน แพทย์หัวหน้าแผนกหัวใจทุกท่าน และแพทย์ตำแหน่งสำคัญในแต่ละแผนกต่างออกมาต้อนรับ เมื่อเห็นรถของแอนน่า ทุกคนก็พากันเคลื่อนตัวขึ้นมาด้านหน้าสองสามก้าว
เมื่อรถจอดสนิท แอนน่ามองไปยังกลุ่มคนชุดกาวน์ที่อยู่ด้านนอกก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ หนึ่งในนั้นเป็นฝ่ายเดินขึ้นหน้ามาเปิดประตูรถให้เธอ พร้อมกับโค้งตัวแสดงความเคารพ “ยินดีต้อนรับคุณสู่หวาเซี่ย”
แอนน่าผงกศีรษะรับ ก่อนจะเดินขึ้นมาถึงประธานเฉิน “สวัสดีค่ะประธานเฉิน ฉันแอนน่าค่ะ”
ประธานเฉินอายุราวห้าสิบจับมือแอนน่าอย่างยินดีปรีดา พร้อมทั้งเอ่ยปากชมไม่หยุด “คิดไม่ถึงเลยจริงๆครับว่าโรงพยาบาลเราจะได้รับเกียรตินี้ ขอบคุณมากนะครับคุณแอนน่า! ผมขอเป็นตัวแทนทุกคนขอบคุณคุณ!”
ขณะเอ่ย ประธานเฉินก็เตรียมจะโค้งตัวแสดงความขอบคุณ แต่ถูกแอนน่าห้ามไว้ “ประธานเฉินเกรงใจเกินไปแล้วค่ะ ให้หมอแผนกหัวใจพาฉันไปดูอาการผู้ป่วยดีกว่าค่ะ”
ไม่เหมือนกับที่หมอทุกคนจินตนาการไว้แอนน่าเดินเข้าโรงพยาบาลโดยไม่วางท่าหรือเย่อหยิ่งแม้แต่นิดเดียว มีเพียงแค่สีหน้าที่นิ่งสงบ กับท่าทางที่เย็นชาไปหน่อย นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีอะไรที่ต่างจากคนอื่นๆ
“ได้ๆๆ! หมอซุน พาแอนน่าไปดูอาการคนไข้”
ซุนเจียลี่ที่ถูกเรียกชื่อก็เดินออกมาจากในกลุ่มคณะแพทย์ เจ้าตัวมองแอนน่าด้วยยิ้มฝืนๆ “แอนน่าตามฉันมาค่ะ”
แอนน่าเห็นว่าเป็นซุนเจียลี่ จึงนึกไปถึงงานเลี้ยงคืนนั้น วิธีเล่นงานที่ซุนเจียลี่กับเกาหยิ่งจือใช้ เธอจึงระมัดระวังตัว ตอบกลับด้วยเสียงที่ไม่สื่ออารมณ์ “ค่ะ”
หลังจากตรวจอาการคนไข้เสร็จ แอนน่าก็ตรงเข้าไปเขียนประวัติคนไข้ด้วยภาษาอังกฤษ ลายมือของเธอเป็นตัวอักษรภาษาเขียนที่ลากยาวติดเป็นเส้นเดียวกัน หากไม่ตั้งใจอ่านให้ดีๆก็คงอ่านไม่ออก
“เตรียมห้องผ่าตัดด่วน อาการของคนไข้เข้าสู่ขีดอันตราย”
ซุนเจียลี่หันไปส่งซิกผ่านสายตากับหมอหลายคนที่อยู่รอบๆ “พวกเรารู้ค่ะว่าอาการคนไข้อยู่ในขีดอันตราย แต่ตอนนี้คนที่จะมีความสามารถลงมือผ่าตัดได้ มีแค่คุณคนเดียว”
“ห้ะ?” แอนน่ามองหมอวัยรุ่นสามสี่คน “จนถึงตอนนี้ หวาเซี่ยไม่มีแพทย์ที่ทำการผ่าตัดได้แม้แต่คนเดียว?”
“คุณหมอแอนน่า ผู้ป่วยโรคหัวใจเคสที่ซับซ้อนแบบนี้ อย่าว่าแต่หมอทั่วไปเลย ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญอาวุโสก็ไม่ใช่ว่าจะซี้ซั้วทำได้” หมอผู้ชายคนนึงกล่าวเสียงต่ำ
แอนน่ามองนาฬิกา ”คนไข้ต้องได้รับการผ่าตัดเดี๋ยวนี้ เตรียมห้องผ่าตัด ห้าโมงเย็นเราจะเริ่มกัน”
“แต่…ถ้าทีมผ่าตัดละก็ คุณว่า?”
ผู้ช่วย หมอที่ให้ยาสลบ หมอที่เตรียมเครื่องมือ…ต้องจัดทีมใหม่หมด
“ไปแผนกยาสลบ หาหมอที่เชี่ยวชาญที่สุดมา หมอที่เตรียมเครื่องมือก็เช่นกัน เอาคนที่มีประสบการณ์มากที่สุด ส่วนผู้ช่วยฉันจะเลือกเอง”
“ครับ!”
แอนน่าก้าวขาฉับๆออกจากห้องผู้ป่วย แล้วเปิดโทรศัพท์ออก
“คุณหลง ในเมื่อคุณยินยอมให้ฉันมาหวาเซี่ย งั้นรบกวนปล่อยตัวผู้ช่วยสองคนของฉันด้วย ฉันต้องการพวกเขามาช่วยดำเนินการผ่าตัด”
หลงเซียวนั่งอยู่ในห้องทำงานMBK จี้ตงหมิงพยักหน้าให้เขา เป็นสัญญาณว่าจัดการให้เรียบร้อย
“พวกเขาน่าจะอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลแล้วล่ะ เธอสบายใจเถอะ เรื่องที่รับปากไว้ ฉันไม่มีทางผิดคำพูด”