เมื่อได้ยินสิ่งนี้หลิงตวนย่าก็ตกตะลึง
หากเธอไม่มีความรู้สึกที่เป็นมิตรกับหวังฮ่าวหลานก่อนหน้านี้ เธอจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายกําลังสาปแช่งตัวเธอเอง
“ถ้าฉันป่วย ก็บอกสิว่าฉันป่วยยังไง?” หลิงตวนย่ากล่าวอย่างใจเย็น
“ถ้าผมดูไม่ผิด เข่าขวาของคุณเจ็บ”
“นาย… นายรู้ได้ยังไง?” หลิงตวนย่าสงบสติอารมณ์ไม่ได้ในขณะนี้ และถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ตอนผมเห็นคุณเดิน มันมีความไม่ลงรอยกันบางอย่างและความไม่ลงรอยกันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติอย่างแน่นอนมันเกิดจากอาการบาดเจ็บนี้”
แน่นอนว่าหวังฮ่าวหลานไม่ได้บอกว่าเขาเห็นได้ผ่านความสามารถมองทะลุเพราะงั้นเขาทำได้แค่พูดหลอกๆ ไปเท่านั้น
“ฉันเดินได้มั่นคงดีจะตาย มีความไม่ลงรอยกันตรงไหน”
“คนธรรมดามองไม่เห็น มีเพียงคนที่มีสายตาไม่ธรรมดาและผู้ที่รู้ทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้”
“นาย… รู้วิธีรักษา?” หลิงตวนย่าประหลาดใจยิ่งกว่าเดิมซะอีก
“บรรพบุรุษของผมเป็นหมอที่มีชื่อเสียง เพราะงั้นผมจึงได้ศึกษาทักษะทางการแพทย์มามากตั้งแต่เด็ก และทันทีที่ผมเห็นคุณเดิน ผมรู้ว่าคุณได้รับบาดเจ็บ คาดว่าคุณได้รับบาดเจ็บมานานกว่า 3 ปี และก็ยังได้รับบาดเจ็บจากยาพิษ”
การสันนิษฐานนี้ถือได้ว่าเป็นความรู้ความเข้าใจของหวังฮ่าวหลานจากสุตราพิษสูงสุด
เพราะเขาใช้ความสามารถมองทะลุมองเห็นว่ากระดูกในหัวเข่าขวาของหลิงตวนย่าเป็นสีเทาเล็กน้อย นั่นคือหลังจากถูกวางยาพิษแล้วหาย แต่พิษที่เหลือไม่ได้ถูกขับออก
เมื่อได้ยินคําพูดของหวังฮ่าวหลายใบหน้าของหลิงตวนย่าก็ดูตกใจ:
“เมื่อ 3 ปีก่อน ฉันถูกกริชพิษแทงที่หัวเข่าขวาแล้วก็หายดี แต่หลังจากผ่านไปครึ่งปี เข่าฉันก็เจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูกและพอไปตรวจรักษาาที่โรงพยาบาลผลก็ไม่เคยดีขึ้นเลย แต่ส่วนใหญ่แล้วฉันไม่ได้รับผลกระทบมากนักเพราะงั้นจึงไม่สนใจอะไรมาก ”
“ในกรณีของคุณ ถ้าคุณปล่อยให้มันไม่ได้รับการรักษา ภายในหนึ่งปีคุณจะเป็นอัมพาตอย่างแน่นอน” หวังฮ่าวหลานอย่างไม่ตื่นตระหนก
ถ้าหลิงตวนย่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป จะเกิดเป็นปัญหาใหญ่เอาได้
“งั้น… งั้นฉันควรจะทํายังไง? “เมื่อเห็นว่าน้ําเสียงของหวังฮ่าวหลานนั้นหนักแน่น ถึงสภาพทางจิตของหลิงตวนย่าจะดีมาก แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก:
“ตั้งแต่นายเห็นอาการของฉัน นายก็ควรจะรักษาฉันได้ใช่ไหม”
“แน่นอน” หวังฮ่าวหลานพยักหน้า
พิษถูกออกแบบมาเพื่อฆ่าคนและยังสามารถช่วยชีวิตผู้คนเช่นเดียวกับยาที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยชีวิตผู้คน แต่ก็สามารถฆ่าคนได้
อย่างไรก็ตามวิธีที่ยาพิษช่วยผู้คนคือการโจมตีพิษด้วยยาพิษ
“ฉันไม่อยากเป็นอัมพาต ช่วยฉันหน่อยได้ไหม จะให้ฉันจ่ายยังก็บอกมาได้เลย” หลิงตวนย่าขอร้อง
“บรรพบุรุษของผมมีกฎสําหรับแพทย์ ค่าใช้จ่ายนั้นเพียงเพนนีเดียวก็พอสําหรับการรักษา แน่นอนเพื่อให้ทันกับเวลาตอนนี้มันถูกเปลี่ยนเป็นหยวนเดียวพอ นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายของวัสดุยา คุณต้องเป็นคนจ่ายเอง ส่วนค่าตอบแทนอื่น ๆ ไม่จําเป็น” หวังฮ่าวหลานกล่าว
“งั้นฉันขอขอบคุณล่วงหน้า” หลิงตวนย่าโล่งใจเล็กน้อย
“แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณต้องจําไว้ ผมสามารถช่วยคุณรักษาได้ แต่คุณไม่สามารถบอกคนอื่นเกี่ยวกับการรักษาของผม และคุณต้องไม่ปล่อยให้คนอื่นรักษาอาการบาดเจ็บของคุณ” หวังฮ่าวหลานกล่าวเตือน
“ฉันจะจําไว้”หลิงตวนย่าพยักหน้าและไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงคิดว่านี่เป็นกฎที่บรรพบุรุษของหวังฮ่าวหลานตกทอดมา อย่างที่กล่าวมาเมื่อข้างต้น
“ทันทีที่ผมมีเวลา ผมจะไปเตรียมยาสําหรับการรักษา เอาละ มาถามกันเถอะ คุณอยากรู้อะไร” หวังฮ่าวหลานเปลี่ยนหัวข้อ
“ก่อนเกิดเพลิงไหม้ นายพบตัวคนที่น่าสงสัยบ้างไหม” หลิงตวนย่าปรับอารมณ์และเริ่มทํางาน
“คนที่น่าสงสัย?” หวังฮ่าวหลานพยักหน้า “พบ!”
“ใคร?”
“ชายคนหนึ่งแสร้งทําเป็นนักเรียนและวิ่งหนีไปหลังถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพบ เขากระแทกคนอื่นล้มลงและหนีไปอย่างเร่งรีบ”
“คนๆ นั้นหน้าตาเป็นยังไง” หลิงตวนย่าถาม
“ผมอยู่ไกลและเห็นไม่ค่อยชัด แต่มีคนรู้” หวังฮ่าวหลานพูดเสร็จก็โทรเรียกสามลูกน้องฟางเจี้ยน
ให้ลูกน้องทั้งสามคนนี้เป็นคนรายงาน เสี่ยวอี้เฟิงในเวลานั้นมีหลายคนเห็นเหตุการณ์ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้สูงขึ้น
หลังจากลูกน้องทั้งสามได้รู้ข่าวพวกเขาก็วิ่งไปที่โรงยิมทันที
“นักเรียนทั้งสามคน ขอถามหน่อยว่าคนที่ปลอมตัวเป็นนักเรียนหน้าตาเป็นอย่างไร ทั้งสามช่วยอธิบายได้ไหม” หลิงตวนย่าถาม
“ชายคนนั้นสูงประมาณ 175 และเขาดูอายุใกล้เคียงกับพวกเรา”
“รูปลักษณ์ไม่อ้วนหรือผอมและดูหล่อมาก”
“ชายคนนั้นเก่งเรื่องการทุบตี และเขาสามารถล้มรปภ.สองคนได้ง่ายๆ !”
ลูกน้องทั้งสามเริ่มพูดทันทีและตํารวจหญิงก็เขียนรายงานแล้วพูดว่า:
“ขอนักเรียนสักสองสามคนช่วยพาฉันไปที่ห้องกล้องวงจรปิดสำหรับจุดที่มีกล้องของหน้าประตูทางเข้าโรงเรียน ฉันต้องการระบุตัวบุคคลนั้น”
ลูกน้องทั้งสามเห็นพ้องต้องกันทันทีและตามหลิงตวนย่าออกจากโรงยิม
หวังฮ่าวหลานมองหลิงตวนย่าจากไป ในใจแอบยิ้มและตั้งตารอ
ทำเท่าที่ทำได้จากนั้นก็รอการเก็บเกี่ยว
——
ลุงหลี่ขับรถพาฉินไคและเสี่ยวอี้เฟิงไปยังคฤหาสน์ที่ค่อนข้างแปลกตา
คนรับใช้เฒ่าคนหนึ่งรออยู่ที่ประตูคฤหาสน์เป็นเวลานานและหลังจากเห็นแขกมาถึง เขาก็เดินพาฉินไคและเสี่ยวอี้เฟิงไปที่ประตู
ภายใต้การนําโดยคนรับใช้เฒ่าผ่านทางเดินโค้งมนและโบราณที่สง่างาม
ฉินไคและเสี่ยวอี้เฟิงก็มาถึงศาลาในสวน
ในศาลามีชายชราที่มีเคราขาวกําลังถือสร้อยข้อมือหยกอย่างตั้งใจและตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
“นายท่าน แขกมาถึงแล้ว”
คนรับใช้เฒ่าส่งเสียงแล้วโค้งตัวลงและจากไป
“ผู้เฒ่าถัง ฉันไม่ได้เจอท่านมานานแล้ว แต่ท่านยังคงหล่อเหลาเหมือนเดิม” ฉินไคกล่าวด้วยน้ําเสียงที่ไพเราะ
สายตาของชายชราถอนออกจากสร้อยข้อมือหยกและมองไปที่คนสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา
สายตาของเขามองข้ามเสี่ยวอี้เฟิงและตกลงบนร่างของฉินไคโดยตรงและกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย:
“โอ้ ข้าแก่แล้วๆ พี่ฉินเป็นสไตล์ที่แท้จริง อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เมืองชิงหลิงกําลังเฟื่องฟูเลย เค้กชิ้นนี้สำหรับพี่ฉินเพียงคนเดียวเกรงว่าจะกินไปไม่น้อยกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์”
“ผู้เฒ่าถังยกย่องกันเกินไป ฉันโชคดีเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผู้เฒ่าถังที่เริ่มต้นจากศูนย์และวางรากฐานที่มั่นคงในอุตสาหกรรมหยกสำหรับฉันถือว่าเทียบไม่ได้” ฉินไคยิ้มและโบกไม้โบกมือของเขาพูดด้วยความคารวะ
เมื่อผู้เฒ่าถังได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะลูบเคราสีขาวของเขา มีความภาคภูมิใจในสายตาของเขามากและรอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งเบ่งบานมากขึ้นไปอีก
ฉินไคยังเป็นโจรเฒ่าผู้มีประสบการณ์ที่เกลือกกลิ้งในสาขาธุรกิจและเขารู้วิธีที่จะทําให้คนอื่นพอใจ
คำพูดไม่กี่คำทำให้ความโปรดปรานของผู้เฒ่าถังเพิ่มมากขึ้น
“พี่ฉินอย่ายืน เชิญนั่งๆ” ผู้เฒ่าถังชี้นิ้วระบบุให้นั่ง
ฉินไคนั่งลงบนม้านั่งหินในศาลาและเหลือบมองสร้อยข้อมือที่ผู้เฒ่าถังกําลังถืออยู่:
“สีและการตัดแต่งของสร้อยข้อมือนี้ยอดเยี่ยมมาก ถ้าเอาไปขายในตลาดภายนอกฉันกลัวว่ามันมีค่าอย่างน้อยสิบล้านใช่ไหม”
“พี่ฉินมีสายตาที่ดี วัสดุของสร้อยข้อมือนี้คือหยกเขียวจักรพรรดิ จากอาจารย์หยกชื่อดังหลิวเฟิง มูลค่าอยู่ระหว่าง 11 ล้านถึง 13 ล้าน แต่ข้าไม่ได้วางแผนจะขายมัน” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ผู้เฒ่าถังก็เปิดเผยท่าทางโล่งอก:
“เพราะนี่เป็นของขวัญจากปิงหยุนหลานสาวของข้า”
“คุณถังปิงหยุนซึ่งปัจจุบันดูแลธุรกิจของตระกูลถังครึ่งหนึ่งเธอไม่เพียง แต่มีความสามารถที่ดีที่สุดในการดําเนินงานและการจัดการ แต่ยังมีควากตัญญูเช่นนี้อีก ฉันอิจฉาที่ผู้เฒ่าถังมีหลานสาวที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้จริงๆ ” ฉินไคกล่าวอย่างอิจฉาและเศร้าโศก:
“พอเปรียบเทียบกับลูกสาวฉันมันทำให้ฉันเป็นกังวลเอามาก เพราะเรื่องธุรกิจบางอย่าง ฉันกลัวการตอบโต้จากสหายในธุรกิจ ดังนั้นจึงจ้างบอดี้การ์ดเพื่อปกป้องเธอ แต่เธอก็เอาแต่ใจ ไม่รับฟังการเตรียมการของฉัน ฉะนั้นฉันเลยมีแผนที่จะให้บอดี้การ์ดไปเรียนที่เดียวกันกับเธอแทน”
ผู้เฒ่าถังประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งและเข้าใจว่าฉินไคหมายถึงอะไร แต่เขามีข้อสงสัยบางอย่าง
เขาควรไปหาหลานสาวถังปิงหยุนของข้าเพื่อจัดการเรื่องนี้สิ?
MANGA DISCUSSION