การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 79
บทที่ 79 – ความเศร้าของเลทิเซีย
เมื่อน้ำตาของทสึรุไหลลงจากดวงตาของเธอหยอยมาที่คางของเธอก่อนจะหยุดลงใบมีดที่จอคอทสึรุอยู่…
ดวงความที่เลทิเซียตัวเล็กกว่าด้ามมีดเลยต่ำกว่าปลายมีดที่จ่อคอทสึรุ ทำให้น้ำตานั้นไหลลงมาทางด้ามมีดและถูกมือของเลทิเซียโดยที่เธอกำลังสับสนอยู่
เมื่อเห็นสีหน้าแบบนั้นของทสึรุเลทิเซียรู้สึกอึดอัดยากจะกล่าวอะไร เธออยากจะตะโกนด่าออกไปว่า
‘อย่ามาทำหน้าแบบนั้น’ แต่ทว่าเมื่อปากเปิดออกมันกลับไม่สามารถพูดคำใดออกมาได้ ราวกับหัวใจกำลังบีบรัดว่าห้ามพูดออกไป
ยิ่งพยายามจะสร้างความเป็นศัตรูให้ชัดเจน เผื่อยามจำเป็นต้องสู้กันจนตายกันไปข้างจริงๆ จะได้ไม่ลังเล
แต่ทว่ายิ่งทำและยิ่งเห็นสีหน้า ‘ศัตรู’ มันยิ่งทำให้เลทิเซียรู้สึกทรมาน โดยไม่มีแม้แต่ดาบมาทิ่มแทงเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันแน่..
ภาพรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขเมื่อหลายวันก่อนตอนเที่ยวในเมืองนั้นกับทสึรุผุดขึ้นมา มันทำเอามือของเลทิเซียสั่น
และถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว และเธอกำลังกลัวสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ขึ้นมา มันไม่ใช่ความกลัวแบบเดิมที่เธอรู้จัก
แต่เป็นความกลัวที่จะคิดอะไรแย่ๆ หรือทำอะไรแย่ๆ ใส่ทสึรุ เธอไม่กล้าที่จะทำมันยิ่งมองมันยิ่งทำให้ทสึรุถอยหลังออกไปอีก
เธอหยุดขาตัวเองและกัดฟัน.. เธอพึมพำในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า นี่มันแค่ของปลอม.. ของปลอม.. ของปลอม
แต่ไม่ว่าจะทบทวนยังไงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ยากที่จะแก้ เลทิเซียเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่าทำยังไงถึงจะหลุดออกจากความกลัวนี้ได้
เธอกลัวศัตรูที่ไม่สามารถต่อกร และตอนนี้คือศัตรูที่เธอไม่สามารถทำอะไรมันได้ เลทิเซียกรีดร้องออกมาด้วยความสับสน
“… ตาย…”
เธอร้องออกมา เธอไม่สามารถหยุดความรู้สึกเหล่านี้ได้ จึงมีความคิดโง่ๆ ขึ้นมาโดยไม่ไตร่ตรอง
มือกำมีดแน่นขึ้นและแทงออกไปใส่คอของทสึรุอย่างเกรี้ยวโกรธ หากมองเห็นเลทิเซียตอนนี้เธอคงไม่ต่างจากปีศาจเท่าไหร่นัก
ปากมีเลือดไหลเพราะขบฟันจนเหงือกได้รับบาดแปล ฝ่ามือที่ไม่ได้ถือมีดกำเข้าจนเล็บจิกเข้าเนื้อหนังและมีเลือดไหลออกจากฝ่ามือ
เส้นเลือดปูดบนหน้าผากราวกับสู้กับตัวเองอยู่.. ร่างกายทสึรุเองก็ไร้สิ้นเรี่ยวแรง.. สำหรับเธอเลทิเซียเป็นเหมือนคนเดียวที่เห็นคุณค่าของเธอ
แต่จากคำพูดคำเดียวของเลทิเซียเมื่อสักครู่มันทำลายความเชื่อของเธอทั้งหมด เลทิเซียที่บอกต้องการเธอ แม้มันจะโกหกก็ตาม เธอก็อาจจะ ยอมรับมันได้
เพราะเลทิเซียเป็นเหมือนแสงสว่างสำหรับเธอในชีวิตที่มืดมนและมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว แต่เมื่อทราบว่าเลทิเซียไม่แม้แต่จะเชื่อใจตัวเธอเลยด้วยซ้ำ
ทุกอย่างมันแค่ของปลอม… เธอจึงกลายเป็นเหมือนคนที่ถูกดับแสงในใจไปในทันที ไม่สามารถตอบสนองได้
แต่ทว่าไม่รู้เพราะอะไรกันแน่เมื่อมีดกำลังจะปักใส่คอของทสึรุนั้นเอง มือของเลทิเซียก็หยุดลงกะทันหัน
“ทำ…ไม….”
เธอกัดฟันแล้วตะโกนออกมาสุดแรง มีดหลุดออกจากมือและถอยหลังไปด้วยความกลัวและไม่เข้าใจ
มือทั้งสองข้างสั่นไหว… ความรู้สึกอันตรายที่ตั้งแต่เข้ามาในโลกนี้ก็ยังอยู่ ความหวาดกลัวและสับสนก็อยู่เต็มอก
มันทำเอาเธอแทบจะเป็นบ้า.. เลทิเซียเงยหน้าขึ้นและมองไปยังทสึรุที่ยืนนิ่งไป ดวงตาที่ไร้สีสันนั้นแต่กลับมีน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด
“….”
เลทิเซียกัดฟันก่อนที่จะหันหลังและรีบวิ่งหนีไปทันที สุดท้ายแล้วเธอก็ไร้ซึ่งความกล้าที่จะทำอะไร
ไม่มีความกล้าที่จะยอมรับ ไม่มีความกล้าที่จะเข้าใจ ไม่มีความกล้าที่จะเปิดอก แม้แต่เส้นทางที่ถนัดที่สุดอย่างไม่เชื่อใจและตัดปัญหาทิ้งอย่างที่ทำประจำ
เธอในตอนนี้ก็ยังไม่กล้าทำ..เลทิเซียหันหลังและวิ่งหนีจากความเป็นจริงนี้ เธอไม่รู้ว่าในชาติก่อนเธอเคยมีเหตุการณ์สับสนแบบนี้หรือไม่
ไม่สิ.. มันมีแน่นอนเพียงแต่เธอจำไม่ได้ เวลาที่เธอถูกแกล้งเธอก็รู้สึกเศร้าเสียใจ เหมือนกับตอนนี้ที่เสียใจกับบางอย่างอยู่ ทว่าเธอไม่ทราบถึงมันว่าคืออะไร
แต่ในอดีตจะมีคนบอกเธอ.. คนช่วยเธอเสมอ นั่นคือพี่สาวของเลทิเซีย ไม่ว่าจะเมื่อไหร่พี่ก็จะบอกว่า ‘ไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ลืม’
และมันก็เป็นแบบนั้น จนกระทั่งพี่ของเธอเสียไป แต่เลทิเซียก็บอกตัวเองว่า ฉันเติบโตแล้ว ฉันจะเป็นคนปลอบน้องสาวเอง ถึงตาของฉันแล้ว
เธอปิดกั้นความรู้สึกเพราะสิ่งนั้น สิ่งที่ว่าไม่มีใครคอยช่วยปลอบเธอ แต่วันนี้เธอรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในวันวาน
แต่ทว่าครั้งนี้ เธอไม่มีพี่สาว.. ไม่มีคนคอยปลอบ ไม่มีแม้แต่น้องสาวที่เป็นคนเดียวที่เธอรู้สึกรักและห่วงใย
ตอนนี้เธอราวกับคนไร้ที่ให้กลับ ไร้บ้าน ไร้คนห่วงใยและไม่มีผู้คนที่รักอีกต่อไป เธอได้แต่วิ่งไปข้างหน้า
วิ่งไปอย่างเดียว อยากจะหนีออกจากความเศร้าโศกที่น่ารังเกียจนี้ วิ่งออกไปให้ไกล น้ำตาที่ไหลออกจากหางตาของเธอไม่มีใครมองเห็น
ไม่มีใครเข้าใจ.. และต่อให้มีใครสักคนมองลงมา จะพระเจ้า จะผู้ที่อยู่นอกจากนั้น ก็คงจะไม่รู้สึกสงสารเธอสักนิด
เพราะเธอเริ่มขึ้นมาเอง แน่นอนนั่นเป็นเพราะเธอกลัว เธอหวาดระแวง.. และไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น
แต่จะมีใครสักคนกันละที่คิดจะเก็บเอาเรื่องพรรค์นั้นมาใส่ใจ ทุกคนทุกอย่างล้วนมีเหตุผลนั่นคือสิ่งที่คนเชื่อแม้แต่เลทิเซียเองก็ไม่ต่างกัน
แต่เหตุผลไม่ใช่สิ่งเดียวที่มนุษย์มี เพราะมันมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรู้สึก’ หลายคนคงไม่เข้าใจเลทิเซียเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเลทิเซียในตอนนี้ถึงกำลังหวาดกลัว อยากจะหนีไปให้ไกลจนสุดขอบโลก เพราะเธอไม่เข้าใจในความรู้สึกตัวเองเลยสักนิด
เลทิเซียวิ่งผ่านป่าที่เรียงรายกันอยู่แทบจะไร้ที่สิ้นสุด เธอไม่เห็นทางออก และเธอก็ไม่ต้องการทางออก
เธอในเวลาต้องการทางออกแค่อย่างเดียว คือทางออกของจิตใจ..
แต่ในตอนนั้นเองขณะที่เธอกำลังสับสนอยู่นั้น เธอก็วิ่งไปชนกับอะไรบางอย่างเข้าจนล้มไปข้างหลังกระแทกพื้น
“ตุบ!”
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นก็เห็นร่างกายใหญ่โตของสัตว์ป่า มันไม่ใช่มอนสเตอร์เลย เป็นแค่หมีป่าธรรมดา
แต่ใครบอกว่าหมีกระจอกกัน จะมีใครสักกี่คนในโลกเดิมที่ล้มหมีด้วยมือเปล่าได้.. และเลทิเซียเองก็สภาพย่ำแย่เกินกว่าที่จะสู้อย่างแน่นอน
“โฮกกกกกกก!”
มันร้องออกมาและจับจ้องไปที่เลทิเซียที่ตัวเล็กกว่ามันหลายเท่านัก มันจึงขู่คำรามใส่เหยื่อที่ตัวเล็กกว่าทันที
เลทิเซียในตอนนี้ไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลยทั้งสิ้น เมื่อไม่ตอบสนองหมีป่ามันก็ร้อง ‘โฮก’ อีกครั้งก่อนที่จะตบมือลงใส่เลทิเซียทันที
เลทิเซียทั้งโกรธทั้งสับสนตอนนี้ เธอจึงกัดฟันกรอดและหลบหลีกมือของหมีออกไปโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่จะโยนยาเม็ดหนึ่งเข้าไปในปากของมัน
พร้อมกับบดขยี้ยาอีกเม็ดทันที และในจังหวะนั้นเองเม็ดยาที่เข้าไปในปากของมันก็แตกหน่อรวดเร็วแทงทะลุท้องจากภายใน
เลทิเซียไม่ได้สนใจเถาวัลย์พันไม้ที่มีขนาดใหญ่กว่าที่คิด เพราะเธอไม่ได้ใช้สิ่งนี้เลยเพราะคิดว่ามันอันตราย แต่ตอนนี้เธอแทบจะหมดของวิเศษ
รวมถึงที่เธอในตอนนี้นั้นขาดความสุขุมเยือกเย็นไปโดยสิ้นเชิง ส่งผลให้ใช้เถาวัลย์พันไม้โดยไม่คิดให้ถี่ถ้วน
ภาพร่างกายของหมีถูกฉีกกระชากอย่างรุนแรงเลือดสาดกระเซ็นจนไปโดนเลทิเซียที่ถึงแม้วิ่งไปไกลพอสมควรแล้วก็ตามแต่
เลือดหมีที่กระเซ็นใส่เธอ มันส่งผลให้เสื้อผ้าเธอส่งกลิ่นเหม็นคาวเลือดสัตว์ออกมาอย่างช่วยไม่ได้
แต่เธอไม่สนใจเลย ขาของเธอยังคงวิ่งออกไปข้างหน้า วิ่งโดยไร้จุดหมายปลายทาง ราวกับว่าโลกทั้งใบมีแค่ตัวเธอคนเดียว
ราวกับว่าบนโลกใบนี้ มีแค่เธอคนเดียว
……