การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 240
บทที่ 240 – ทำไม.. คนคนนี้ถึงได้..?
ในห้องพยาบาล ลาน่าอุ้มเลทิเซียขึ้นนอนบนเตียงเธอจ้องไปที่เลทิเซียด้วยความห่วงใย..
แต่ในตอนนั้นเองประตูห้องพยาบาลถูกเปิดออก และมีคนคนหนึ่งพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง พร้อมกับตะโกน
“ท่านเลทิเซีย”
ลาน่าหันไปก็เจอคนคนหนึ่ง เธอคือโคลเอ้นั่นเอง เธอวิ่งเข้ามาในห้องพยาบาลด้วยความกระวนกระวายใจ
“ท่านโคลเอ้.. ตอนนี้องค์หญิงหลับไปแล้ว”
ลาน่ารีบตอบทันที เธอรู้จักโคลเอ้ดีเช่นกันเพราะตอนที่เธอดูแลเลทิเซียนอกจากเลวี่ คนที่ตัวติดกับเลทิเซียรองลงมาคงเป็นโคลเอ้
พวกเธอฝึกดาบด้วยกัน ฝึกต่อสู้ด้วยกัน แม้สุดท้ายจะจบลงด้วยการเสมอ แต่ลาน่ารู้ว่าเรื่องวิชาดาบโคลเอ้เหนือกว่าเลทิเซียหลายขุม
ที่เสมอเพราะโคลเอ้ต้องการให้เป็นแบบนั้น ดังนั้นสำหรับเธอจึงมีความรู้สึกดีๆ ต่อโคลเอ้เช่นกัน
“เธอทำมันลงไปแล้วใช่ไหม”
โคลเอ้ไม่อ้อมค้อมเธอถามขึ้นอย่างกระวนกระวาย ดวงตาของลาน่าหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้น
“ข้าไม่รู้ว่าท่านโคลเอ้หมายถึงอะไร”
“ข้าบอกว่า.. เธอฆ่าคนไปแล้วใช่ไหม.. เรื่องการล่มสลายของอาณาจักรสองผู้กล้านั่นเป็นฝีมือของท่านเลทิเซียใช่ไหม”
ลาน่าดวงตามืดครึ้มลง เธอรู้ว่าองค์หญิงตัวเองทำอะไร และข่าวนี้ห้ามถูกเปิดเผยออกให้ใครรู้เด็ดขาด คนที่รู้เรื่องนี้มีแต่คนระดับสูงเท่านั้น
แต่ตอนนี้มีขุนนางธรรมดาคนหนึ่งมาซักถามเรื่องที่ควรจะรู้กันแค่คนจำนวนหยิบมือมันจะทำให้ลาน่ายิ้มหน้าแป้นตอบ “อืม ใช่แล้ว” ได้ยังไงล่ะ
“ท่านพูดอะไรของท่าน ถึงจะเป็นท่านเลทิเซียแต่ถ้าทำแบบนั้น—”
“เธอน่ะเป็นจอมมารคนที่สิบสาม เป็นลูกสาวของจอมมารเอลร่าเมื่อสิบสี่ปีก่อนตอนที่เธอเกิดขึ้นมาเพราะครอบครัวเธอกลัวปัญหาทางการเมืองเลยทิ้งเธอให้ท่านเทพเลเวียเลี้ยงดู ส่วนเธอลาน่าคือผู้รับใช้ข้างกายของจอมมารเอลร่าถูกส่งมาให้ดูแลท่านเลทิเซีย ว่าไงล่ะ จี้ที่ท่านเลทิเซียทำหายน่ะ หาเจอหรือยัง มันเป็นของพ่อแท้ๆ ของเลทิเซียไม่ใช่เหรอ”
คำพูดของโคลเอ้ไม่มีการกั๊กอะไรเลย เธอพูดทุกอย่างออกมาราวกับเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง สีหน้าของลาน่าเปลี่ยนไปอย่างแท้จริง
อย่าว่าแต่เธอเลย ต่อให้เป็นจอมมารเอลร่ามาอยู่ตรงนี้เธอก็ยังตกใจ.. อีกอย่างขนาดลาน่ายังไม่รู้เรื่องของท่านพ่อเลทิเซียผู้นั้นเลย
แล้วคนตรงหน้านี่พูดเหมือนรู้ทุกอย่าง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน.. สีหน้าของลาน่าเย็นลงเธอจ้องมองโคลเอ้
“ต้องการอะไร”
ลาน่าไม่กล้าลงมือทันทีเพราะเธอคนนี้เป็นเพื่อนของเลทิเซียหากลงมือโดยพลการมีแต่เธอจะโดนด่า
อีกอย่างอีกฝ่ายในตอนนี้กุมความลับของเลทิเซียเอาไว้มากมายเกินไปอยากจะรีบกำจัดทิ้งแต่ในความเป็นจริงมันกลับไม่ง่ายเช่นนั้น
เพราะนี้เป็นภายในโรงเรียนลิเบอร์นะ! ถ้าหากขุมอำนาจใดขุมอำนาจหนึ่งลงมือละก็.. จะถูกเอาผิดได้เลยทันที
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้เป็นศัตรูของท่านเลทิเซีย.. ข้าต้องการจะช่วยเธอต่างหาก เพราะงั้นได้โปรดตอบข้ามา ท่านเลทิเซียฆ่าไปแล้วใช่ไหม?”
ลาน่าลังเล.. แต่จากสิ่งที่เธอพูดออกมาเมื่อกี้ดูเหมือนว่าเธอจะรู้มานานแล้วแถมยังไม่ได้แพร่งพรายอะไรออกไป
นอกจากนี้เธอกับเลทิเซียยังเติบโตมาด้วยกันส่วนเบื้องหลังของเด็กคนนี้ไม่น่าจะมีอะไรมากไปกว่าขุนนางธรรมดา
“ใช่”
ลาน่าตัดสินใจที่จะเชื่ออีกฝ่าย ถึงจะเพราะไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อก็เถอะ โคลเอ้กัดฟันกรอด..
“กี่คน”
เธอถามสั้นๆ เพราะถึงจะมีบอกว่าเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ขึ้น แต่เรื่องจำนวนคนตายก็ถูกปิดไว้ไม่ให้โลกรู้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่มีใครรู้
“9 ใน 10 ของประเทศ”
ลาน่าตอบออกไปสั้นๆ โคลเอ้สีหน้าเปลี่ยนสี เธอจ้องมองไปที่เลทิเซียก่อนที่จะร้องออกมา
“โธ่เว้ย”
เธอกัดฟันอาจจะเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกโกรธเลทิเซียที่ทำเรื่องแบบนั้นลงไป ถึงจะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมก็เถอะ..
แต่เธอไม่ได้กล่าวโทษเลทิเซียมากไปกว่านี้ เธอหันหลังและจากไปทันที แต่ก่อนจะไปลาน่าตะโกนถาม
“มีอะไรงั้นเหรอ”
“เปล่า..ไม่มีอะไร”
โคลเอ้ดุเหมือนลังเลอยากจะพูดแต่ก็พูไม่ออก เธอจึงได้แต่ปฏิเสธพร้อมกับวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งความสงสัยไว้ให้กับลาน่า
…..
หลังจากโคลเอ้ออกจากห้องมา เธอก็มุ่งหน้าออกนอกโรงเรียนทันที เธอดูเร่งรีบอย่างมากเหมือนมีอะไรกังวลใจ
อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังกังวลใจอยู่คืออะไร ไม่มีใครรู้ว่าเธอเห็นอะไรที่คนอื่นมองไม่เห็นกันแน่
เมื่อเธอมุ่งหน้าออกจากโรงเรียนผ่านเมืองและออกนอกเขตทะเลสาบในเวลาอันสั้น โดยไม่รู้ว่าตอนที่เธออกนอกโรงเรียนมามีคนคนหนึ่งยืนหลบอยู่แถวนั้น
“อื้ม.. ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งที่อยู่นอกกระดานด้วยนะ”
เงาร่างนั้นไม่อาจมองเห็นได้เพราะตอนนี้เป็นตอนกลางคืน เธอยืนหลบอยู่ใต้เงาร่มไม้ แต่ดูจากส่วนสูงแล้วก็ไม่ต่างจากโคลเอ้มากนัก
เธอใช้มือแตะปลายคางเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยุ่พักหนึ่งก็ตัดสินใจได้ทันที..
“เอาล่ะ”
เธอพึมพำแบบนั้นก็มุ่งหน้าตามโคลเอ้ออกนอกโรงเรียน เมื่อเธอคนนี้จากไป เสียงพึมพำของสตรีผู้หนึ่งก็ดังขึ้นมา
“นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งสุดท้าย.. แต่จะเป็นจุดจบ…”
เสียงนั้นไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นใคร ราวกับว่าพอได้ฟังเสร็จเสียงนี้จะถูกลบเลือนออกไปจากความทรงจำ
เมื่อโคลเอ้ออกจากนอกโรงเรียนมา เธอก็มุ่งหน้าขึ้นเหนอผ่านป่าด้วยความเร็วสูง ที่เอวมีดาบอยู่เล่มหนึ่ง
แต่ทว่าในตอนนั้นเองเธอก้หยุดชะงักลงกะทันหันถอยหลังไปจากจุดเดิมอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวจุดที่เธอเคยอยู่ก็แตกออกอย่างรุนแรง
“นั่นใคร”
เธอตะโกนออกมาด้วยความตกใจ ทว่าพริบตาต่อมาที่พื้นตรงหน้าแตกออกก็มีเถาวัลย์พุ่งออกมาจากพื้นโจมตีใส่โคลเอ้ในทันที
เธอตกใจดาบที่เอวถูกชักออกมา เธอย่อตัวลงพร้อมกับตวัดใส่เถาวัลย์เหล่านั้นจนขาดสะบั้นลงต่อหน้าเธอ ทว่าในชั่วพริบตาเดียวกัน
พลันมีลูกดอกเข้มขนาดเล็กพุ่งมาทางเธอจากทางด้านหลังด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเธอจะตอบสนองได้ทันเสียอีก
มันควรจะเป็นแบบนั้น โคลเอ้ก็เคลื่อนไหวแบบผิดมนุษย์มนาราวกับเห็นอนาคต เพราะเธอย่อตัวลงไว้ตั้งแต่แรกแล้วมันเลยทำให้เข้มนั้นผ่าเธอไปอย่างเฉียดฉิว
“เก่งไม่เบานี่น่า”
เสียงลึกลับดังขึ้นจากทางที่เข็มพุ่งมา โคลเอ้หรี่ตาลงทันที เธอหันคมดาบไปทางต้นเสียง ทางต้นเสียงตอนนี้กำลังมีคนคนหนึ่งเดินออกมาจากเงามืดจากใต้ต้นไม้
“เจ้า…”
ร่างนั้นค่อยๆ เดินออกมาจากเงามืดและเมฆที่บดบังดวงจันทร์ยามค่ำคืนก็ลอยออกไปจากเหนือหัวทั้งสอง
สีหน้าของโคลเอ้แปรเปลี่ยนเมื่อเห็นใบหน้าของเธอคนนี้.. เธอทั้งสับสนและไม่เข้าใจว่านี่มันหมายความว่าไง
เพราะโคลเอ้มัวแต่ตกอยู่ในความตะลึง อีกฝ่ายจึงตอบให้โดยที่เธอยังไม่ได้ถาม แต่จากสีหน้าโคลเอ้อีกฝ่ายคงเดาออกถึงความสับสนของเธอเป็นแน่
“ทำไมน่ะเหรอ..? นั่นก็เพราะว่าเธอ.. รู้มากเกินไปแล้วยังไงล่ะ”
“หมายความว่—”
ก่อนที่จะได้พูดวัตถุทรงกลมก็พุ่งเข้าใส่เธอด้วยความไวสูง ทำให้เธอตกใจรีบหลบทันที.. แต่สิ่งที่แตะแต้มอยู่บนใบหน้าของโคลเอ้ตอนนี้คือคำถามที่ว่า..
ทำไม..คนคนนี้ถึงได้..?