การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 118
บทที่ 118 – ทักษะ
ในขณะนั้นเองดวงตาของรองผู้อำนวยการก็จ้องเขม็งไปที่เลทิเซียกับทสึรุที่กำลังกอดกัน เขารู้สึกว่าหากตัวเองไม่ลงมือตอนนี้ทุกอย่างจะสายเกินไป
โดยไม่รีรออะไรทั้งสิ้น ในมือก็มีปากกาแท่งหนึ่งปรากฏขึ้น เห็นชัดว่านี่เป็นปากกาอาร์ติแฟ็คระดับที่ค่อนข้างสูง แถมยังไม่ต้องใช้เวทมนตร์ในการกระตุ้นเลย!
ยังไงซะสถานะเขาก็สูงส่ง ว่ากันในบางระดับแล้ว สถานะเขาเทียบเคียงกับขุนนางได้เลย ยังไม่พูดถึงสถานะในด้านผู้ใช้เวทมนตร์ของเขาที่ค่อนข้างสูง
แม้อาร์ติแฟ็คจะหายากยิ่ง แต่เพราะสถานะของเขา การจะมีอาร์ติแฟ็คสักชิ้นสองชิ้น ก็ไม่น่าแปลกอะไรมากนัก
แน่นอนว่านี่ก็พิสูจน์ว่าขนาดรองผู้อำนวยการยังมีแค่อาร์ติแฟ็คที่แท้จริงเพียงชิ้นสองชิ้นเท่านั้น แต่เซเลียกับแอนนี่ที่มีมากไม่รู้กี่สิบชิ้นนั้น..
หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป แม้ไม่อาจก่อให้เกิดสงครามเพราะกฎหมายแต่การต่อสู้แย่งชิงจนเกิดมรสุมเลือดมรณะ ย่อมเป็นไปได้
นี่คือความสำคัญของอาร์ติแฟ็คที่แท้จริง! อุปกรณ์เวทมนตร์ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมานั้นเห็นชัดว่ากลายเป็นของเล่นหลอกเด็ก..
ไม่ใช่แค่ในด้านจำนวน เพราะประสิทธิภาพก็เช่นกัน เมื่อเขาตวัดปากกาในมือกลางอากาศ ปลายปากกาก็เหมือนจะมีแสงสีดำของหมึกเปล่งออกมา
และสลักลงกลางอากาศ ราวกับว่ากำลังขีดเขียนอากาศ ยังไม่สิ้นสุดทุกอย่างตรงหน้าของรองผู้อำนวยการพลันกลายเป็น..ลูกดอกสีดำ!
มองดูเผินๆ แล้ว ลูกดอกนี้ไม่มีมุม ไม่มีความสูง.. เป็นเหมือนภาพวาดสีดำที่มองมุมไหนก็เห็นเป็นลูกดอก แต่ว่ารู้สึกได้ชัดเจนว่ามันเป็นแค่ภาพสองมิติ
แต่มันพลันพุ่งดิ่งเข้าใส่เลทิเซียกับทสึรุด้วยความเร็วอันเหนือล้ำ ลูกดอกสองมิตินี้ไม่ส่งผลอะไรต่อโลกนี้เลย ไม่มีเสียงแหวกอากาศ
ไม่มีเสียงต้านลม แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่เห็นลูกดอกนี้ก็ถูกจ้วงแทงโดยไม่สนการป้องกันได้!
เพียงแต่ว่า ถ้ามันไม่ได้มาอยู่ต่อหน้าเลทิเซียละก็นะ.. เพราะเลทิเซียในตอนนี้ เธอแทบจะฆ่าไม่ตายขนาดดวงวิญญาณถูกฉีกทำลายไปแล้วเธอยังฟื้นฟูกลับมาได้
มันไม่ใช่พลังเวท และเป็นสิ่งที่พลังเวทไม่สามารถกระทำได้เช่นกัน มันมีเพียงสิ่งเดียวบนโลกนี้ซึ่งสามารถทำได้
สิ่งนั้นก็คือ ‘ทักษะ’
ทักษะคืออะไร หากมีใครสักคนถามสิ่งนี้ ทุกคนบนโลกจะตอบได้อย่างพร้อมเพรียงกันว่า “คือพลังที่เหนือกว่าทุกสรรพสิ่งบนโลก”
ที่บอกว่าเหนือไม่ใช่เพราะพวกเขาเข้าใจมันดีมาก แต่เป็นเพราะพลังงานนี้ไม่มีใครต่อต้านหรือขัดขืนได้
เวทมนตร์เมื่อเจอกับทักษะ ไม่ว่าจะเป็นเวทมนตร์ระดับมหานักเวทหรือระดับพาลาดิน มันก็แตกพังทลายเมื่อเจอกับสิ่งที่เรียกว่าทักษะ
ไม่มีใครรู้จักมันแน่ชัด ไม่มีใครเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ เพียงแต่ว่าอาจจะเป็นเพราะความไร้เทียมทานของมันคนทุกคนจึงเกิดมาพร้อมกับทักษะเพียงหนึ่งเดียว
และหากจะใช้ทักษะเหล่านี้ได้ ล้วนจำเป็นต้องได้กลายเป็นหนึ่งในหมากขอเทพและทำพันธสัญญากับเทพเสียก่อน เหมือนกับพ่อและแม่เลทิเซียกับเลวิเนีย
อันที่จริงสิ่งที่เรียกว่าทักษะนี้ แม้แต่เทพก็ยังไม่เข้าใจมัน พวกเขาไม่สามารถสร้างหรือลบได้ สิ่งที่พวกเขาทำได้มีเพียงมอบให้กับมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาบนโลกเท่านั้น
บางครั้งพวกเขาก็ใช้ไม่ได้จนตายเพราะไม่ได้ทำพันธสัญญากับเทพ.. บางครั้งพวกเขาก็ได้ใช้และกลายเป็นตำนานในเวลาต่อมา
นี่คือความยิ่งใหญ่ของสิ่งที่เรียกว่าทักษะ!
และอาจจะพูดได้ว่าคนที่เกิดมาในโลกนี้และมีทักษะมากกว่าหนึ่งนั้นแทบไม่มีเลยสักนิด.. มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีมากมายนับไม่ถ้วน
ใช่.. คนคนนั้นคือเลทิเซียผู้ได้ทักษะมากมายเพราะความหงุดหงิดใจของเทพธิดา แต่เธอก็ใช้มันไม่ได้เมื่อยังไม่ได้รับการยอมรับจากเทพ
แต่เมื่ออยู่บนโลกใบนี้กลับใช้ได้อย่างไม่มีหวงห้าม อันที่จริงหากเป็นมิติที่มีกฎเกณฑ์เฉพาะก็ไม่สามารถบังคับใช้ทักษะได้
แต่อาจจะเป็นเพราะโลกแห่งนี้คือโลกก่อนที่ทุกอย่างถือกำเนิด และก่อนหน้านั้นมีโลกอีกแบบดำรงอยู่และคนในโลกนั้นสามารถใช้ทักษะได้ตั้งแต่เกิด
เป็นเหตุให้เลทิเซียสามารถใช้ทักษะได้! แน่นอนว่าคนอื่นก็ใช้ได้เช่นกัน แต่เป็นเพราะพวกเขานังไม่ ‘ตระหนัก’ ถึง
อย่างที่อาจารย์ที่ชื่อชิสุกล่าวเอาไว้ว่า หากยังไม่ตระหนักถึงก็ไม่รู้ว่าจะใช้อะไรอยู่ดี! และการที่จะตระหนักถึงก็มีเพียงต้องทำสัญญากับเทพ
แต่การมาโลกนี้แค่หักเปลี่ยนกฎเกณฑ์ภายนอกให้ใช้ได้ ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนให้คนคนหนึ่งสามารถใช้ทักษะได้!
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ตระหนักถึงและใช้งาน.. อันที่จริงต่อให้รู้ว่าตัวเองมีทักษะพอมาโลกนี้แล้วรู้ว่าตัวเองใช้ได้ ก็ทำไม่ได้อยู่ดี เพราะไม่มีทางรู้ว่าตัวเองมีทักษะอะไรกันแน่
แต่แน่นอนว่าทักษะบางประเภทยังมีทักษะติดตัว.. ประมาณทักษะที่ทำให้หัวดีขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องตระหนัก
เพราะทันทีที่สามารถทำงานได้ มันก็ทำงานอัตโนมัติ.. แต่ความลึกลับของทักษะนั้นทำให้ไม่เคยมีคนทราบถึงเลย อาจจะมีแค่อาจารย์ลึกลับที่ชื่อว่าชิสุเท่านั้นที่ทราบ
และแน่นอน.. เลทิเซียเองก็เช่นกัน ทักษะที่ใช้งานอัตโนมัติของเธอก็มีมากมายนับไม่ถ้วน แต่เป็นเพราะเธอต้องการที่จะหลบหนี
และกลัวการเปลี่ยนแปลง ทำให้วิญญาณหลุดออกจากร่างจมดิ่งลงทะเลแห่งจิตสำนึกนั่น.. แต่เพราะคำพูดของร่างแสงปริศนานั้น
ทำให้เลทิเซียพลันเข้าใจขึ้นมาแล้วว่า.. ทักษะที่เคยได้มาในอดีตจะช่วยเธอแล้ว ดังนั้นทันทีที่วิญญาณถูกทำลายพลังของทักษะการฟื้นตัวก็ทำงานทันที
มันทำงานเองอัตโนมัติไม่จำเป็นต้องให้เลทิเซียตระหนักรู้ แต่พอเธอตระหนักรู้เธอก็สามารถใช้มันฟื้นฟูคนอื่นเช่น.. ฟื้นฟูทสึรุที่กำลังทำในตอนนี้!
เลทิเซียมองไปยังลูกดอกที่พุ่งมา เธอไม่รู้ว่าตัวเธอมีทักษะอะไรบ้าง ต่อให้ทำพันธสัญญากับเทพไป เธอก็คงรู้ไม่หมดอยู่ดี
เพราะในตัวเธอมีทักษะมากเกินไป ถ้าจะให้เทพไล่บอกทีละทักษะคงใช้เวลาทั้งชีวิตท่องให้เลทิเซียฟังเลยละมั้ง แต่เรื่องเหล่านี้ทั้งหมดทั้งมวลคงต้องไว้กล่าวในภายหลัง
สรุปก็คือ.. เลทิเซียต้องงมหาทักษะของตัวเองเอาเท่านั้น ทำอะไรไปก็ล้วนไร้ประโยชน์! ปัญหาเพราะมีทักษะมากเกินไปนั่นแหละ
แต่ในแง่ความแข็งแกร่งแล้ว สามารถพูดได้ว่าไร้เทียมทาน!
มือของเลทิเซียยกขึ้นและปัดมือ.. เสียง “เอียด” ดังขึ้นราวกับว่าเธอใช้มือถูลงไปบนกระดานขาวเพื่อลบปากกาเมจิก
และ.. ลูกดอกสองมิติก็ถูกลบออกไปอย่างง่ายดายภายใต้ฝ่ามือของเลทิเซียที่มีรอยหมึกปากกาติดอยู่บนฝ่ามือ
‘สัมผัสสองมิติ’
คำสั้นๆ ลอยผุดขึ้นมาในหัวเลทิเซีย ทักษะนี้คือทักษะที่ตัวเธอสามารถยื่นมือลงไปยุ่งเกี่ยวกับโครงสร้างสองมิติโดยตรง
และแน่นอนว่าในมิติที่สี่.. ก็มีแกนมิติที่หนึ่งที่สองอยู่เช่นกัน พอมิติที่หนึ่งที่สองถูกลบออกไป ตรงหน้าของเลทิเซียก็บิดเบี้ยว
เหมือนห้วงมิติจะพังทลาย! หากว่ากันในบางระดับแล้ว โครงสร้างมิติที่หนึ่งกับสองก็เป็นเหมือนเสาค้ำจุนพอมันหายไป บ้านที่ไร้เสาก็ต้องพังถล่ม
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ต้นกำเนิด’ แล้ว..
ทันทีที่เลทิเซียลบออกไป แม้แต่เธอก็ยังผงะเหมือนกัน เพราะเธอคิดจะใช้พลังเวทในฝ่ามือป้องกัน
เธอเป็นคนระมัดระวังตัว ต่อให้เธอรู้จากข้อมูลที่เทพธิดาให้ว่าทักษะจะแข็งแกร่งแค่ไหน เธอก็ซ้อนแผนไว้รองรับเสมอ
เธอคิดใช้ทักษะบางอย่างเพื่อลบการโจมตี ถ้าหากไม่สำเร็จก็มีพลังเวทจำนวนไร้ที่สิ้นสุดในร่างเธอพอที่จะระเบิดทำลายโครงสร้างมิติโดยตรง
เพราะต่อให้เธอแทรกแซงไม่ได้ แต่จำนวนพลังเวทของเธอก็มากพอที่จะทำให้โครงสร้างมิติบิดเบี้ยว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เลทิเซียเคยใช้เวทมนตร์แนวนี้มาก่อน
แม้จะเป็นในรูปแบบของเวทมนตร์มนุษย์ก็ตามที..
พริบตานั้นเองมิติก็เกิดรอยปริแตก! ดวงตาของรองผู้อำนวยการเบิกกว้างอย่างสับสน.. แน่นอนว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น
เกิดในระยะเวลาสั้นๆ เพียงเท่านั้น.. ห่างไกลออกไปไม่มากมีแสงสีดำเส้นหนึ่งพุ่งมา รอบตัวมันแตกด้วยสายฟ้าสีม่วงครั่นคร้าม
และในขณะเดียวกันในบททดสอบที่สาม.. ซึ่งตั้งอยู่ใต้ดินของมิติแห่งนี้มีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ในนั้น.. เงาร่างนี้ปรากฏขึ้นเมื่อแสงสีดำนั้นพุ่งผ่านท้องฟ้า
ร่างนี้เล็กบอบบาง สีหน้ามันพร่ามัวจนแยกไม่ออกว่าเป็นใครกันแน่ แต่ส่วนสูงของเธอเหมือนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
แถมสีผมก็พิลึกพิลั่นมาก บางครั้งก็เป็นสีเหลืองทอง บางครั้งก็เป็นสีแดงจ้า มองดูแปลกตามากนัก..
ก่อนที่เงาร่างนั้นจะก้าวหนึ่งครั้งทะลุทะลวงผ่านความว่างเปล่า ราวกับเมินระยะและเวลาที่ต้องใช้ในการก้าวเดินไปโดยสิ้นเชิง..
ร่างนี้พลันปรากฏต่อสายตาทุกคนรวมไปถึงเลทิเซียกับทสึรุ.. แต่ยังไม่ทันให้ตั้งตัวคิดหรือได้พูดอะไร เพราะว่าร่างนั้นเร็วเกินไปปากเปิดคำพูดสั้นๆ ว่า
“บททดสอบที่สาม.. เอาชนะฉัน..”
พอพูดเสร็จดาบจูชินสีดำที่เป็นเหมือนภาพลวงตาก็ปรากฏขึ้น และตวัดฟันลงมาจนห้วงมิติบิดเบี้ยว คำสาปแห่งความตาย.. ราวกับว่า
ต่อให้มีพลังฟื้นฟูก็ไม่สามารถฟื้นฟูได้หากโดนคำสาปนี้ฟัน แถมยังมีประกายสายฟ้าที่ระเบิดออกพร้อมกันทำให้เลทิเซียตกใจ
เลทิเซียกัดฟันยกแขนที่ขาดขึ้น เห็นได้ชัดว่าพริบตานั้นแขนที่ขาดค่อยๆ งอกกลับมา ยังไม่สิ้นแสงสีดำที่พุ่งมาจากที่ห่างไกลก็พุ่งมาอยู่ในระยะมือทันที
เลทิเซียที่กำลังจะใช้เวทมนตร์ก็ตกใจ แต่ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว จับเงาสีดำที่บัดนี้กลายเป็นดาบที่เหมือนกับอีกฝ่ายทุกระเบียบไว้
การปะทะพลันบังเกิดขึ้นกะทันหัน “เคร้ง!!!”
โลกสั่นสะเทือน และพังทลายลงแทบจะทันที
ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเท่านั้น!