บทที่ 87 – แผนการป้องกัน
ในห้องประชุมบนชั้นสองของสมาคมนักผจญภัย คุโรโนะและคนอื่นๆ มารวมตัวกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะคุโรโนะเป็นคนนัดเอง นอกจากสมาชิก 3 คนของ [ปรมาจารย์ธาตุ] แล้ว ก็ยังมีวัลแคนจาก [วัลแคน พาวเวิร์ด] อิรินะจาก [เจ้าหญิงนักล่าทั้งสาม] นักเวทโครงกระดูกมอซรัน หรือที่รู้จักกันในชื่อคุณมอส และสไลม์คุณซู รวมทั้งหมดเจ็ดคนกำลังนั่งล้อมโต๊ะตัวใหญ่
นอกจากสมาชิกของจอมเวทธาตุแล้ว คนอื่นๆ ยังคงสงสัยว่าทำไมถึงต้องมารวมตัวกันแบบนี้
โดยไม่สนใจท่าทีเหล่านั้น คุโรโนะกางแผนที่ทางตะวันตกของเดดาลัสบนโต๊ะ แล้วพูดขึ้น
“เอาล่ะ มาเริ่มการประชุมวางแผนของ [พันธมิตรนักผจญภัย] กันเลย!”
ชื่อ ‘พันธมิตรนักผจญภัย’ ถูกตั้งขึ้นสำหรับนักผจญภัยที่เข้าร่วมภารกิจฉุกเฉินนี้
คุโรโนะประกาศเริ่มการประชุมอย่างยิ่งใหญ่ แต่
“หา?”
ปฏิกิริยาของสมาชิกที่เหลือกลับเย็นชาและงุนงง
“ประชุมวางแผน? มันคืออะไรเหรอ?”
วัลแคนถามคุโรโนะในฐานะตัวแทนของคนที่กำลังงง
“เอ่อ ประชุมวางแผนก็คือการประชุมเพื่อวางแผน ทุกคนก็ทำแบบนี้ก่อนจะเริ่มภารกิจกันไม่ใช่เหรอ?”
โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งที่นักผจญภัยคุยกันในล็อบบี้สมาคม หรือระหว่างมื้ออาหารก็คือสิ่งนี้
“ก็เพราะมันเป็นทีมไง สำหรับการรวมตัวนักผจญภัยแบบสุ่มๆ แบบนี้ หัวหน้าทีมจะเป็นคนตัดสินใจทุกอย่างเอง เขาจะไม่เรียกคนอื่นมาคุยด้วยหรอก”
“อย่างนั้นเหรอ?”
“แน่นอน! ถ้าแกเริ่มถามความเห็นจากทุกคน มันจะไม่มีวันได้ข้อสรุปหรอก! นั่นแหละคือเหตุผลที่คนที่แข็งแกร่งที่สุดถึงได้เป็นหัวหน้าทีม เพื่อที่จะได้ไม่มีใครมีข้อโต้แย้งไงล่ะ!!”
ข้อโต้แย้งของวัลแคนก็เหมือนกับวิธีที่สัตว์ตัดสินใจเรื่องหัวหน้าฝูง แต่ในทวีปแพนโดร่า มันเป็นเรื่องปกติ
ถ้าจำนวนคนน้อยๆ อย่างในทีม การประสานงานก็จะง่าย แต่ในกรณีแบบนี้ที่มีคนหลากหลายเผ่าพันธุ์และความสามารถมารวมกัน มันจะดีที่สุดถ้าให้คนที่แข็งแกร่งที่สุดควบคุมและดูแลทั้งหมด อย่างที่วัลแคนว่าไว้
ที่นี่ไม่ใช่ดินแดนสงบสุขอย่างญี่ปุ่นของคุโรโนะ ไม่ต้องพูดถึงว่านักผจญภัยส่วนใหญ่ก็เป็นพวกนักเลงหัวไม้ การที่จะทำให้ทุกคนรับฟังกันอย่างสงบมันแทบจะเป็นไปไม่ได้
แต่ถึงอย่างนั้น คุโรโนะก็เข้าใจเรื่องนี้ดี หลังจากที่ใช้ชีวิตเป็นนักผจญภัยมา 3 เดือน
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังเสนอให้มีการประชุมวางแผน
“ถึงสิ่งที่วัลแคนพูดมาจะมีเหตุผล แต่ผมเป็นนักผจญภัยแรงค์ 1 ที่ยังไม่มีประสบการณ์มากนัก ผมไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศแถวนี้เลย ไม่ว่าแผนที่ผมคิดขึ้นมามันจะใช้ได้จริงรึเปล่า ทุกคนทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรไม่ได้บ้าง ถ้าผมไม่รู้เรื่องพวกนี้ ผมก็วางแผนที่มีประสิทธิภาพไม่ได้ การขอความเห็นจากคนอื่นอาจจะดูน่าสมเพชในสายตานักผจญภัยคนอื่นๆ แต่ผมอยากจะขอพลังจากทุกคน ช่วยผมหน่อยได้ไหม? ถือว่าเป็นการช่วยเหลือผม แล้วร่วมมือกันนะครับ?”
พอคุโรโนะขอความร่วมมืออย่างตรงไปตรงมา บรรยากาศในห้องก็เงียบลง
แต่ความเงียบนั้นก็ถูกทำลายลงในไม่ช้า
“ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่นา ในเมื่อหัวหน้าทีมขอความรู้จากพวกเรา เราก็ควรจะตอบรับคำขอของเขานะ”
คนแรกที่ตอบรับข้อเสนอคืออิรินะ
“ใช่แล้ว ลองคิดว่าพวกเรา 50 คนที่อยู่ที่นี่คือทีมเดียวกันสิ! เอาล่ะ ส่วนตัวแล้วฉันชอบทำงานคนเดียวนะ! ฮ่าๆๆ!”
“เห็นด้วย คุณคุโรโนะดูเหมือนจะไม่ใช่คนธรรมดาๆ สักเท่าไหร่ เขาคงจะสามารถรวบรวมความคิดเห็นของทุกคนได้อย่างเหมาะสม”
คุณมอซกับคุณซูก็เห็นด้วยเช่นกัน
วัลแคนเป็นคนเดียวที่ทำหน้าบูดบึ้ง แต่สุดท้ายเขาก็เป็นคนดี ไม่ได้แสดงอาการต่อต้านอะไรมาก
“ช่วยไม่ได้ ก็ต้องดูแลหัวหน้าที่ยังอ่อนประสบการณ์ของพวกเราหน่อยแล้วกัน!”
“ขอบคุณมากครับ นั่นช่วยผมได้เยอะเลย อย่างที่คุณมอซบอก มาคิดว่าพวกเราทุกคนเป็นทีมเดียวกัน แล้วทำภารกิจนี้ให้สำเร็จไปด้วยกันเถอะ”
คุโรโนะรู้สึกผ่อนคลายหลังจากที่ทุกคนตัดสินใจจะช่วยเหลือ
ดูเหมือนว่าการต่อสู้กับหน่วยลาดตระเวนเมื่อวานนี้จะช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับคนอื่นๆ ได้พอสมควร
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ยกเว้น 3 คนจากจอมเวทธาตุ ต่างก็มีชื่อเสียงในด้านความสามารถในพื้นที่นี้ ถ้าเขาได้รับการช่วยเหลือจากพวกเขา มันก็จะง่ายขึ้นที่จะร่วมมือกับนักผจญภัยคนอื่นๆ ด้วย
เนื่องจากคุโรโนะขอให้พวกเขาร่วมมือกันอย่างเหมาะสม อาจกล่าวได้ว่าพันธมิตรนักผจญภัยมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากขึ้น 1 ระดับ
“แล้วเรามาประชุมกันทำไม? จะให้ทำแบบแผนเผาเมืองเมื่อวานอีกเหรอ?”
“นั่นมันแค่เทคนิคถ่วงเวลา ไม่ใช่แผนที่จะหยุดพวกมันได้จริงๆ”
ถึงจะเป็นแค่เทคนิค แต่ก็ต้องทำให้เร็วที่สุด คุโรโนะเลยเลื่อนการประชุมมาเป็นวันนี้ แล้วไปเผาเมืองเมื่อวานแทน
“จะหยุดพวกมัน? มีวิธีอื่นอีกเหรอ นอกจากสู้?”
“ใช่ เราจะไม่ตั้งรับที่ประตูเมืองเคอร์ที่แข็งแกร่งเหรอ?”
ก็เป็นความคิดที่สมเหตุสมผล
ปกติแล้ว พวกคนในทวีปแพนโดร่าไม่ค่อยสนใจเรื่องแท็คติกหรือกลยุทธ์เท่าไหร่
ในการต่อสู้ขนาดใหญ่ พวกเขาจะคิดแค่เรื่องแบ่งกำลังรับที่แนวหลัง กับโจมตีที่แนวหน้า แล้วก็หาที่กว้างๆ ให้สู้กันได้สะดวกๆ
“ไม่ นั่นมันไม่ได้ผล”
คุโรโนะคิด
คุโรโนะ มาโอ นักเรียนมัธยมปลายจากชมรมวรรณกรรม ที่อยากจะเขียนนิยายจูนิเบียวสุดแสบ มีความรู้เรื่อง [การต่อสู้] มากกว่าคนอื่นๆ
แน่นอนว่าความรู้นั้นเป็นแค่สิ่งที่ทำให้คนมีปัญญาพอใจ แต่มันจะใช้ได้จริงรึเปล่าก็อีกเรื่อง
ถึงคุโรโนะจะไม่คาดหวังว่าแผนของเขาจะสำเร็จ 100% เหมือนในตำราหรือตำนานวีรบุรุษ
หลังจากเสี่ยงชีวิตในสนามรบมาหลายครั้ง เขาก็ยังสงสัยว่านี่มันเป็นแค่ทฤษฎีสวยหรูที่ใช้ได้แค่ในจินตนาการของเขาเองรึเปล่า
แต่คุโรโนะก็ไม่มีอะไรอื่นให้พึ่งแล้ว
เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ประสบการณ์ในเรื่องแบบนี้แทบไม่มีเลย โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับ ‘แท็คติก’
ถ้านักผจญภัยพวกนี้มีแท็คติกหรือกลยุทธ์ที่ดีจริงๆ คุโรโนะคงไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
แต่ก็อย่างที่คิดไว้ เพื่อที่จะใช้แผนพวกนี้ให้ได้ผล เขาจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ในโลกนี้
คุโรโนะไม่ได้มั่นใจในแผนของตัวเองมากนัก แต่ก็เริ่มอธิบายออกมา โดยไม่แสดงความกังวลใดๆ บนใบหน้า
“เราจะทิ้งคัวร์ แนวป้องกันของเราจะอยู่ที่–“
นิ้วของคุโรโนะชี้ไปยังจุดบนแผนที่
“หมู่บ้านอัลซัสที่อยู่ทางตะวันตกสุดของเดดาลัส”
หมู่บ้านอัลซัสตั้งอยู่ริมแม่น้ำโรนขนาดใหญ่ที่ไหลมาจากเทือกเขากัลลาฮัด เป็นหมู่บ้านขนาดเดียวกับไอซ์
มีแม่น้ำโรนอยู่ทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นที่ตั้งของประตูหลัก และมีสาขาชื่อฮาเรนอยู่ทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นที่ตั้งของประตูหลังของหมู่บ้าน ทำให้มันเหมือนเกาะเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างแม่น้ำสองสาย
“เราจะใช้สมาคมนักผจญภัยริมแม่น้ำโรนเป็นป้อมปราการ แล้วสกัดพวกครูเสดที่ประตูหน้าของอัลซัส”
“ทำไมต้องเป็นที่นั่น? กำแพงกับประตูที่คัวร์มันดีกว่า แล้วสมาคมที่อัลซัสก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากนัก”
ดูเหมือนอิรินะจะเคยไปอัลซัส แต่คุโรโนะไม่เคยไป
แต่ความรู้สึกของคุโรโนะที่มีต่ออัลซัสว่ามันก็แค่สิ่งก่อสร้างเหมือนที่ไอซ์ ก็ได้รับการยืนยันจากคำพูดของเธอ
“สิ่งที่สำคัญกว่าคือภูมิประเทศ ไม่ใช่สิ่งอำนวยความสะดวก โดยเฉพาะแม่น้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเรา ผมขอถามเพื่อความแน่ใจ มีใครที่นี่มีประสบการณ์ในการสู้รบจริงๆ บ้างไหม?”
นอกจากฟิโอน่าที่เป็นนักผจญภัยเก่าแล้ว ก็ไม่มีใครยกมือขึ้น
พวกนี้คือนักผจญภัย ไม่ใช่ทหาร มันก็ไม่แปลกอะไร
“นักผจญภัยแรงค์ 4 น่าจะมีประสบการณ์ในการสู้กับพวกก็อบลินที่ชอบมากันเป็นฝูงเยอะแยะไม่ใช่เหรอ? แต่พวกครูเสดไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับพวกสัตว์ประหลาดในป่า พวกมันมีจำนวนมาก แถมยังฝึกมาดี สามารถโจมตีแบบประสานงานกันได้”
เมื่อคืนก่อน ฟิโอน่าได้อธิบายให้คุโรโนะฟังถึงความแตกต่างระหว่างกองทัพของเดดาลัสกับสาธารณรัฐซินเครีย
กองทัพมนุษย์มีความรู้เรื่องการจัดลำดับชั้น กลยุทธ์ รูปแบบการต่อสู้ ฯลฯ จากประสบการณ์ที่สั่งสมมานาน
แต่กองทัพปีศาจจะปล่อยให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพลังของแต่ละคน แล้วทำงานเป็นกลุ่มใหญ่ภายใต้การนำของหัวหน้า
ขณะที่คุโรโนะลังเลว่าจะสู้ในที่ราบ (คัวร์) หรือใช้แม่น้ำ (อัลซัส) เขาก็รู้ตัวว่าตัวเองก็ไม่มีประสบการณ์ในการสู้รบในกลุ่มหรือองค์กรขนาดใหญ่เท่าไหร่
“ถึงพลังของแต่ละคนจะแข็งแกร่งขึ้น ก็สามารถจัดการกับพวกสัตว์ประหลาดอ่อนๆ ที่มากันเยอะๆ ได้ แต่กับกองทัพมนุษย์มันใช้ไม่ได้จริง ถึงจะแข็งแกร่งแค่ไหน ถ้าโดนทหาร 100 หรือ 1000 คนล้อมเอาไว้ ก็ต้องเจอชะตากรรมเดียวกับนักผจญภัยแรงค์ 1 ที่โดนก็อบลินรุมทึ้งจนตาย”
“สรุปก็คือ ถ้าพวกเราแค่ 50 คนไปสู้ในที่กว้างๆ อย่างหมู่บ้านคัวร์ เราก็จะโดนพวกมันล้อม แล้วก็โดนกระทืบตาย”
ถึงคัวร์จะมีกำแพงที่แข็งแรงพอสมควร ซึ่งจะไม่ทำให้เราแพ้ในทันที แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็คงไม่ต่างกัน นั่นคือสิ่งที่คุโรโนะต้องการจะสื่อ
“พวกมนุษย์ไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไรเมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์อื่น ดังนั้นเราสามารถจำกัดการเคลื่อนที่ของพวกมันได้มาก โดยใช้ประโยชน์จากแม่น้ำ”
อาจจะมีพวก ลิซาร์ดแมน หรือนางเงือกที่ไม่ถูกจำกัดด้วยแม่น้ำ แต่คู่ต่อสู้ของเราในตอนนี้เป็นแค่มนุษย์
“การโจมตีศัตรูตอนที่พวกมันกำลังข้ามแม่น้ำแบบไม่ทันตั้งตัว มันเป็นกลยุทธ์พื้นฐานเลยนะ”
“อืม แน่นอนว่าการล่อศัตรูไปในที่ที่เราได้เปรียบ มันเป็นสิ่งที่ทุกคนทำกันอยู่แล้ว แถมถ้าพวกมันมาตามถนนหลวงตรงๆ ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการล่อพวกมันเหมือนพวกสัตว์ประหลาดด้วย”
“ถึงจะเป็นกลุ่มนักผจญภัยที่รวมตัวกันแบบลวกๆ เราก็ยังสามารถซุ่มโจมตีได้อย่างดี”
“ถูกต้องแล้ว ทีนี้ผมจะบอกรายละเอียดที่เจาะจงมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งไหนที่ทำได้ ใครจะทำอะไร นี่คือสิ่งที่เราต้องตัดสินใจกันตอนนี้ น่าเสียดายที่เราไม่มีเวลามาคุยกันสบายๆ มาจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด แล้วเริ่มทำงานกันเลย!”
Translater : Eidolonwww.nekopost.net/editor/78229
MANGA DISCUSSION