นักเรียนชายสี่คนจากโรงเรียนเทพหลวงสปาด้า ผู้เป็นผู้บริหารฝึกหัด หยุดฝีเท้าลงอย่างหอบเหนื่อย
“เฮ้อ……เฮ้อ……โอย เมื่อกี้ตกใจแทบแย่”
“โดนล้อมซะขนาดนั้น มันแย่จริงๆ นั่นแหละ”
“ว่าแต่ ทิ้งเจ้าชายเพ้อเจ้อนั่นไว้จะเป็นไรไหมวะ?”
“มีคุณเซเลียอยู่ด้วย ไม่เป็นไรหรอกน่า ไอ้พวกอัปลักษณ์นั่นน่ะ สบายๆ อยู่แล้ว”
ทั้งสี่คนหัวเราะร่าให้กันและกัน บางทีอาจจะเป็นเพราะความโล่งใจที่รอดพ้นจากอันตรายมาได้
ไม่ปรากฏความรู้สึกผิดใดๆ เลยแม้แต่น้อย จากการที่ทิ้งสมาชิกคนหนึ่งไว้แล้วหนีเอาตัวรอดออกมา
แต่ทว่า หากมีฐานะเป็นขุนนางผู้ซึ่งยืนอยู่เหนือผู้อื่นมาตั้งแต่เกิด การเติบโตมาพร้อมกับความรู้สึกที่ยินดีกับการเอาตัวรอดของตนเองเพียงอย่างเดียวเช่นนั้น ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้กระมัง
“จะเอายังไงต่อดีล่ะ?”
นักเรียนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพลางมองไปรอบๆ
ที่นี่ดูไม่แตกต่างจากสถานที่ที่พวกเขาใช้เป็นที่ตั้งแคมป์เมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย หรือก็คือ ริมแม่น้ำนั่นเอง
หลังจากกระโจนออกจากเต็นท์ พวกเขาก็วิ่งตรงขึ้นไปทางต้นน้ำตามแนวแม่น้ำ
การวิ่งไปตามริมแม่น้ำที่ไม่มีสิ่งกีดขวางนั้นง่ายกว่าการวิ่งฝ่าป่าทึบที่เต็มไปด้วยต้นไม้และพื้นที่ขรุขระ นั่นคือเหตุผลเพียงอย่างเดียว
“อา อย่างน้อยก็มีดาบติดตัวมาด้วย คงพอจะเอาตัวรอดได้ล่ะน่า”
แม้จะบอกว่าหนีมาแต่ตัว แต่ก็ยังพอมีอุปกรณ์ขั้นต่ำติดตัวมาบ้าง
“นั่นสินะ หาจังหวะเหมาะๆ แล้วค่อยกลับไปกัน”
“แต่ไม่เอา (ทะยานเวหา) อีกแล้วนะ”
แม้พวกเขาจะเป็นพวกขี้ขลาดที่หวาดกลัวฝูงมอนสเตอร์จนต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอด แต่ทักษะที่พวกเขามีนั้น ก็สมกับที่ผ่านการสอบเข้าหลักสูตรผู้บริหารอันแสนยากเย็นมาได้
ทั้งเวทมนตร์และวิชาการต่อสู้ พวกเขาก็เชี่ยวชาญในระดับพื้นฐานเป็นอย่างดี
แต่ทว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ ‘วิชา’ ที่นักผจญภัยขัดเกลามาจากการต่อสู้จริง แต่เป็นเหมือนส่วนต่อขยายของกีฬา ที่เรียนรู้จากครูผู้สอนที่ยอดเยี่ยมมาตั้งแต่เด็กเท่านั้นเอง
พวกเขาสามารถยิง (ศรอัคคี) หรือใช้ (ดาบประกายแสง) ได้
แต่หากถามว่าพวกเขาสามารถใช้มันได้อย่างเยือกเย็นตามปกติในการต่อสู้จริงหรือไม่ ก็คงจะต้องตอบว่า ไม่
ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงถูกพวกที่เรียนดีกว่าดูถูกว่าเป็น ‘กลุ่มสำรอง’
“มาไกลเหมือนกันนะ มองไม่เห็นแคมป์แล้ว”
“น่าจะประมาณกิโลเมตรนึงได้มั้ง?”
ฝีเท้าในการหลบหนีของพวกเขานั้นไม่ใช่แค่เร็วในเชิงเปรียบเทียบ แต่ยังเร็วในความเป็นจริงด้วยการใช้ (ทะยานเวหา) อีกด้วย
แม้ระดับความชำนาญจะต่ำเสียจนแทบจะเปิดใช้งานไม่ได้ แต่เมื่อเพลงยุทธ์เสริมความเร็วในการเคลื่อนที่ทำงานแล้ว มันก็มอบความเร็วที่เหนือกว่าการวิ่งสุดกำลังของมนุษย์ให้กับร่างกาย
อาจกล่าวได้ว่า ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงสามารถฝ่าวงล้อมของเหล่าปุ๊นปุ๊นออกมาได้ในคราวเดียว
ริมแม่น้ำที่เต็มไปด้วยก้อนหิน แม้จะไม่ใช่พื้นที่ที่เดินสะดวกนัก แต่ก็ยังดีกว่าในป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ หากระวังเท้าให้ดี ก็สามารถวิ่งตรงไปได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยเช่นนี้ พวกเขาจึงสามารถใช้ (ทะยานเวหา) อย่างเต็มกำลัง และหนีรอดมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย
แต่ทว่า การที่หอบหนักขนาดนี้เพียงแค่ใช้ (ทะยานเวหา) ก็คงจะกล่าวได้ว่าในการต่อสู้จริงคงจะใช้ทำอะไรไม่ได้นอกจากหนีเท่านั้นเอง
“นี่ กลับไปตอนนี้ก็น่าจะปลอดภัยแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่สิ อาจจะยังสู้กันอยู่ก็ได้ รออีกหน่อยดีกว่า”
จากตรงนี้มองไม่เห็นเลยว่าที่แคมป์เป็นอย่างไรบ้าง การจะตัดสินว่าการต่อสู้จบลงแล้วหรือไม่ ก็คงต้องอาศัยลางสังหรณ์เท่านั้น
“ไอ้เจ้าชายเพ้อเจ้อน่ารำคาญนั่น น่าจะโดนลากไปตายด้วยกันซะก็ดี”
“ถ้าตายไปแล้ว ข้าจะจ้างคุณเซเลียเอง”
“ห๊ะ ข้าต่างหากที่จะจ้าง”
จากนั้น ทั้งสี่คนก็เริ่มคุยกันอย่างสนุกสนานถึงเรื่องว่าจะให้เมดสาวสวยคนนั้นปรนนิบัติอย่างไรหากได้จ้างเธอ
แต่ทว่า มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ เป็นเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น
“ก๊ากๆๆๆ—หา?”
นักเรียนชายคนหนึ่งที่กำลังหัวเราะขำขันกับมุกตลกหยาบคาย สังเกตเห็นเงาขนาดมหึมาปรากฏขึ้นที่หางตา
“หะ อะไรวะ……เจ้านั่น”
“อ๋า?”
เมื่อเห็นเขาจ้องมองไปยังจุดหนึ่งด้วยสีหน้าแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็ง อีกสามคนที่เหลือก็มองตามไปยังทิศทางเดียวกัน
ณ ที่แห่งนั้น มีอสูรร่างยักษ์ตัวหนึ่งยืนอยู่
ร่างมหึมาที่สูงราว 6 เมตร แต่สัตว์ร้ายที่ยืนสงบนิ่งอยู่ริมแม่น้ำนั้น มาอยู่ที่นั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้เลย
ขนสีดำของมันกลมกลืนไปกับความมืดมิดยามค่ำคืนจนแทบมองไม่เห็น แต่ขนสีแดงเพลิงที่ปกคลุมแขนและหน้าอกนั้น กลับมองเห็นได้อย่างชัดเจนราวกับเปลวไฟที่ลุกโชนอย่างน่าประหลาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หูทั้งสองข้างที่ยาวและแหลมคมซึ่งตั้งอยู่บนหัวนั้น สั่นไหวราวกับเปลวเพลิง
“มอนสเตอร์สินะ?”
“ตัวใหญ่โคตร……ดูท่าจะแย่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
จากหูอันเป็นเอกลักษณ์นั้น ทำให้เผลอนึกถึงหมีกระต่ายปุ๊นปุ๊นที่เพิ่งเห็นไปเมื่อครู่
แต่ รูปลักษณ์นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเจ้าตัวสี่ขาน่ารักนั่น
แขนทั้งสองข้างหนาใหญ่ราวกับลำต้นไม้ กล้ามเนื้อที่นูนเด่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดแม้จะถูกปกคลุมด้วยขนหนา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใบหน้าที่ดุร้ายราวกับหมาป่าผสมสิงโตนั้น ไม่มีความคล้ายคลึงกับมอนสเตอร์แรงค์ 1 ที่มีรูปร่างตลกขบขันนั่นเลยแม้แต่น้อย
มอนสเตอร์ยักษ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนซึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน เพียงแค่จ้องมองมายังพวกเขาทั้งสี่คนด้วยดวงตาสีแดงเพลิงอันชั่วร้ายนิ่งๆ
“ฮะฮะ ไอ้ตัวนั้น ดูท่าจะสู้ไม่ไหวแน่ๆ เลยว่ะ”
“ไม่ไหว ไม่ไหวแน่ๆ”
“ย-เอาล่ะ หนีกันเถอะ”
“โอ้ว”
ทั้งสี่คนที่ตกลงกันได้อย่างรวดเร็ว พยายามรวบรวมสมาธิและพลังเวทเพื่อเปิดใช้งาน (ทะยานเวหา) อีกครั้งเช่นเดิม
ในตอนนั้นเอง—
——กแจะ!
—เสียงทื่อๆ ดังเข้ามาในหูของคนสามคน
ใช่แล้ว ผู้ที่ได้ยินเสียงนั้นมีเพียงสามคน หนึ่งในสี่คนที่ควรจะอยู่ตรงนั้น—
“หะ……เอ๊ะ?”
—ได้กลายเป็นคราบสีแดงแผ่กระจายอยู่ริมแม่น้ำ แล้วหายลับไป
เมื่อมองไป นักเรียนชายที่ควรจะยืนอยู่ตรงนั้นได้หายตัวไปแล้ว แทนที่ด้วยต้นไม้ยักษ์สีแดงดำที่งอกขึ้นมา
ไม่สิ นั่นไม่ใช่ต้นไม้ แต่เป็นแขนของมอนสเตอร์ต่างหาก
“เอ๊ะ ทำไม……?”
ทั้งสามคนต่างก็เผลอมองสลับไปมาระหว่างจุดที่มอนสเตอร์เคยยืนอยู่เมื่อครู่ กับข้างๆ ตัวเอง
ณ จุดที่มอนสเตอร์เคยยืนนิ่งอยู่ เงาขนาดใหญ่นั้นได้หายไปราวกับภาพลวงตา และบัดนี้—
“อะ อะ อ๊าาาาาาาาาาาาาาา!?”
—มันได้ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ พวกตนเอง พร้อมกับความรู้สึกสมจริงอย่างที่สุด
ณ จุดนี้ พวกเขาจึงเพิ่งจะเข้าใจสถานการณ์
สหายคนหนึ่ง ถูกมอนสเตอร์ที่เคลื่อนย้ายมาอย่างกะทันหันนี้ ใช้แขนยักษ์ทุบหัวจนแหลกละเอียด กลายเป็นก้อนเนื้อและเลือดอัดแน่น ตายในทันที
“อ๊ากกกกกกกกก!”
พลางกรีดร้อง ทั้งสามคนก็กระโดดถอยหลังตามสัญชาตญาณเพื่อหนีจากมอนสเตอร์ที่น่าสะพรึงกลัวราวกับฝันร้ายนี้
คนหนึ่งถอยหลังอย่างไม่คิดชีวิตจนขาพันกันล้มลง
อีกคนหนึ่งกระโดดถอยหลังไปได้ไกลพอสมควร
และอีกคนหนึ่ง ในกลุ่มนี้เป็นคนเดียวที่สามารถเปิดใช้งาน (ทะยานเวหา) ได้อย่างน่าอัศจรรย์ พลิกตัวกลางอากาศด้วยความเร็วสูง เตะพื้นดินเพื่อหนีห่างจากมอนสเตอร์ในคราวเดียว
แต่ทว่า ร่างของเขาผู้ซึ่งควรจะหลบหนีไปได้อย่างรวดเร็วที่สุด กลับหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ
“อึ้ก อื้อออ~~!?”
สาเหตุก็ง่ายๆ ร่างของเขาที่กระโดดลอยอยู่กลางอากาศด้วยความเร็วสูงนั้น ถูกมอนสเตอร์คว้าจับไว้ได้ก่อนที่จะหนีไปไกลนั่นเอง
มอนสเตอร์คว้าจับครึ่งบนของร่างนักเรียนชายไว้แน่น ที่หลังมือขวาของมันนั้น มีผลึกสีแดงเพลิงฝังอยู่ ส่องประกายงดงาม สองคนที่ไม่ได้ถูกเล็งเป้าหมายมองดูภาพนั้นด้วยสีหน้ากึ่งตะลึงงัน
โดยไม่สนใจสายตาของคนทั้งสอง มอนสเตอร์จดจ่ออยู่กับคนเดียวที่จับมาได้ใหม่
มันค่อยๆ ยกมือขวาที่จับร่างนั้นขึ้นไปเหนือหัวของตนเอง
จะถูกกินแน่ๆ สองคนที่เหลือคิดเช่นนั้นตามสัญชาตญาณ แต่ความเป็นจริงกลับแตกต่างออกไป
ถูกบดขยี้
มอนสเตอร์ใช้ฝ่ามือ บดขยี้ร่างของนักเรียนชาย
ราวกับกำลังบีบส้มคั้นน้ำ เลือดสดๆ หยดติ๋งๆ ลงมาจากกำปั้นที่ใหญ่ราวกับก้อนหิน
หยาดโลหิตสีแดงนั้น หายลับเข้าไปในปากของมอนสเตอร์ที่อ้าปากรออยู่เบื้องล่าง
“อึ่ก อ้วกกกกกกกกก!”
แม้จะอยู่ในความมืดมิดยามค่ำคืน แต่ภาพนั้นกลับมองเห็นได้อย่างชัดเจนอย่างน่าประหลาด ทั้งสองคนอาเจียนออกมาพร้อมกันแทบจะในทันที
สหายที่เพิ่งจะพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเมื่อครู่ บัดนี้กลับถูกบดขยี้กลายเป็นผลไม้สีแดงที่ดับกระหายให้มอนสเตอร์อยู่ตรงหน้า ภาพที่ราวกับฝันร้ายเช่นนี้ พวกเขาผู้ซึ่งเติบโตมาในเรือนกระจกที่เรียกว่าขุนนาง ย่อมไม่มีทางทนรับไหวทางจิตใจได้แน่
“อึ อึ๋ยยยยยยยย”
ถึงกระนั้น คนหนึ่งที่สามารถตั้งสติแล้ววิ่งหนีต่อไปได้โดยไม่เสียขวัญ ก็ถือว่าทำได้ดีมากแล้ว
ส่วนคนที่ล้มลงเพราะขาพันกันตอนกระโดดถอยหลังนั้น ในที่สุดก็ไม่อาจลุกขึ้นยืนได้อีก ทำได้เพียงร้องไห้คร่ำครวญพลางปล่อยของเหลวในร่างกายออกมาทั้งหมด ณ ตรงนั้นเท่านั้น
มอนสเตอร์ ไม่ได้ไล่ตามคนที่หันหลังวิ่งหนีไป แต่หันมาให้ความสนใจกับคนที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่แทบเท้า
ราวกับทิ้งขยะที่ไร้รสชาติหลังจากดูดเลือดจนหมดสิ้นแล้ว มันก็โยนซากที่เหลือเพียงกระดูกและหนังซึ่งกำอยู่ในมือขวาทิ้งไป
เสียงทื่อๆ ที่ซากนั้นตกลงบนพื้น กับเสียงที่นิ้วของมอนสเตอร์กดลงบนขาขวาของเขา ดังขึ้นพร้อมกันแทบจะในทันที
แต่ สิ่งที่เขาได้ยินคงมีเพียงเสียง กร๊อบ ของกระดูกขาตนเองที่แหลกละเอียดเท่านั้นกระมัง
หรืออาจจะเป็นเสียงกรีดร้องสุดเสียงของตนเองที่ดังจนแทบจะฉีกขาดลำคอ
“อ๊ากกกก! ยะ อยะ อย่า—”
เว้นช่วงไปครู่หนึ่ง ปลายนิ้วของมอนสเตอร์ก็เข้าจู่โจมร่างของเขาอีกครั้ง
คราวนี้เป็นไหล่ซ้าย
ไม่ใช่กรงเล็บแหลมคมที่ดูเหมือนจะสามารถฉีกร่างมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย แต่จงใจใช้ท้องนิ้วกดลงไปบนไหล่
เมื่อถูกกดทับระหว่างก้อนหินริมแม่น้ำกับนิ้วที่แข็งกระด้าง ร่างกายมนุษย์ที่ฝึกฝนมาเพียงเล็กน้อยก็แหลกสลายได้อย่างง่ายดาย
เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นอีกครั้ง หรืออาจจะเห็นว่าปฏิกิริยานั้นน่าสนุก มุมปากของมอนสเตอร์ก็บิดเบี้ยวราวกับกำลังยิ้ม
ทุกครั้งที่กดนิ้วลงไป เสียงกรีดร้องก็จะดังขึ้น มอนสเตอร์กดทับร่างกายของเขาเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ ราวกับกำลังกดคีย์เปียโน
แต่ เสียงนั้นก็เงียบหายไปในไม่ช้า
แน่นอนอยู่แล้ว ไม่เพียงแค่กระดูกทั่วร่างจะแหลกละเอียด อวัยวะภายในที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตก็ถูกบดขยี้ไปด้วย เขาไม่มีทางรอดชีวิตได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นเขาพังทลายลงอย่างง่ายดาย มอนสเตอร์ก็ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจเล็กน้อย ไม่ได้กินซากศพนั้น แต่มุ่งสายตาไปยังเหยื่อรายต่อไป
“เฮือก……เฮือก……ช-ช่วยด้วย……ช่วยด้วย!”
ผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายกำลังวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตด้วยฝีเท้าที่โซซัดโซเซ
แต่ การจะวิ่งหนีบนริมแม่น้ำที่เดินลำบากเช่นนี้ด้วยฝีเท้าของมนุษย์ธรรมดา โดยไม่ได้เปิดใช้งาน (ทะยานเวหา) นั้น ความเร็วมันไม่เพียงพออย่างยิ่งยวด
มอนสเตอร์เตะพื้นเบาๆ ไม่สิ คำว่าเบาๆ นั่นคงเป็นมาตรฐานของมอนสเตอร์กระมัง ในชั่ววินาทีถัดจากที่ก้อนหินริมแม่น้ำกระเด็นกระจายราวกับถูกดีดออกจากเท้าของมัน ร่างยักษ์สีแดงดำนั้นก็ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างคล่องแคล่ว
ไม่ใช่การบิน แต่เป็นการกระโดดเท่านั้น
แต่การกระโดดนั้นก็ไกลเสียจนดูเหมือนการบิน ทำให้ระยะทางที่นักเรียนชายวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตนั้นกลายเป็นศูนย์ในพริบตา
กล่าวคือ มอนสเตอร์ลงมายืนขวางหน้าของนักเรียนที่กำลังวิ่งหนีอยู่นั่นเอง
“ฮิ ฮิอิอิอิอิอิ!?”
ร่างอวตารแห่งความสิ้นหวังปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง
ไม่มีทางสู้ได้แน่ แม้จะคิดเช่นนั้น แต่เขาก็เผลอชักดาบเงินศักดิ์สิทธิ์มิธริลออกมาจากเอวตามสัญชาตญาณ
คมดาบนั้น ส่องประกายเจิดจ้าราวกับจะขับไล่ความมืดมิดยามค่ำคืนและฝันร้ายนี้ให้หมดสิ้น
“ขะ ขะ ฆ่าแก ฆ่าแกให้ได้! ข้าคนนี้ จะมาโดนมอนสเตอร์ฆ่าตายได้ยังไงกันเล่าาาาาาาาา!!”
เมื่อเห็นคมดาบที่ส่องประกายงดงามนั้น หรือว่าไฟในการต่อสู้ที่มอดดับไปแล้วจะลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง หรืออาจจะเป็นเพียงแค่ความบ้าคลั่ง นักเรียนชายก็ตั้งท่าถือดาบ
วินาทีถัดมา มอนสเตอร์ยื่นแขนออกมาอย่างไม่ใส่ใจ แต่เพียงแค่นั้น เขาก็มองไม่เห็นการเคลื่อนไหวนั้นแล้ว
เขายังคงตั้งท่าถือดาบ ไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย ถูกฝ่ามือที่พุ่งเข้ามาห่อหุ้มไว้ทั้งอย่างนั้น
ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที ความตายของเขาก็ควรจะถูกตัดสินแล้ว แต่ในชั่วพริบตา มอนสเตอร์ก็ชักมือกลับ
ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็รู้ได้ว่าปลายดาบเงินศักดิ์สิทธิ์มิธริลได้สัมผัสกับมือของมอนสเตอร์ และทำให้เกิดบาดแผลเล็กน้อย เพียงเล็กน้อยจริงๆ
“ฮะ ฮะฮะฮะ……ด-ได้ผล ได้ผลโว้ย!”
มอนสเตอร์ มองดูฝ่ามือของตนเองอย่างประหลาดใจ แล้วก็พบเห็นบาดแผลเล็กๆ
ในชั่วขณะนั้น—
กรรรรรรรรรรรรร!!
—มันก็คำรามออกมา
นั่นคือเสียงคำรามแห่งความโกรธเกรี้ยว เสียงกรีดร้องแห่งความเดือดดาลอย่างไม่ต้องสงสัย
ทันทีที่มอนสเตอร์คำรามออกมา ขนสีแดงเพลิงทั่วร่างก็พลันตั้งชัน ร่างมหึมาของมันดูเหมือนจะใหญ่ขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว
แต่ รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยความโกรธนั้น เขาไม่มีทางได้เห็น
เพราะว่า ทันทีที่ถูกเสียงคำรามอันดังสนั่นกระแทกใส่ในระยะประชิด เลือดก็ไหลทะลักออกจากจมูกและหู พร้อมกับสติที่ปลิวหายไป
ไม่สิ ในชั่วพริบตาถัดมา กำปั้นแห่งความโกรธที่พุ่งเข้ามาก็บดขยี้ร่างกายจนแหลกละเอียด ทำให้เขาเสียชีวิตในทันทีต่างหาก
เขาได้กลายเป็นคราบสีแดงริมแม่น้ำเช่นเดียวกับเหยื่อรายแรก เป็นที่ชัดเจนแม้ในสายตาของมอนสเตอร์ว่าเขาตายแล้ว
แต่ กำปั้นของมอนสเตอร์ยังไม่หยุด
หมัดที่สอง หมัดที่สาม หมัดที่สลับกันต่อยออกมานั้นรุนแรงเสียจนสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ ทีละน้อย หลุมบ่อก็เริ่มเกิดขึ้นจากแรงกระแทก
จากนั้น มันก็ยังคงทุบกำปั้นลงไปอย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่ง ณ ที่แห่งนั้นไม่เหลือแม้แต่ซากศพ หรือแม้แต่ร่องรอยของเลือด มีเพียงร่องรอยแห่งการทำลายล้างเท่านั้น มอนสเตอร์จึงค่อยหยุดการเคลื่อนไหว
เมื่อรู้สึกตัวอีกที ขนสีแดงที่ตั้งชันก็กลับสู่สภาพเดิม ขนาดตัวก็หดเล็กลงเท่าเดิม ดูเหมือนว่าความโกรธจะสงบลงแล้วกระมัง
เมื่อมอนสเตอร์หยุดเคลื่อนไหว ริมแม่น้ำก็กลับสู่ความเงียบสงัดยามค่ำคืนอีกครั้ง มีเพียงเสียงน้ำในลำธารไหลเอื่อยๆ เท่านั้นที่ได้ยิน
แต่ทว่า มอนสเตอร์ไม่ได้ยินเพียงแค่เสียงน้ำในลำธารเท่านั้น แต่หูทั้งสองข้างที่ยาวและแหลมคมของมันยังจับเสียงอื่นที่อยู่ห่างไกลออกไปได้อีกด้วย
“ข้าทิ้งพวกนั้นไปไม่ได้!”
นั่นคือเสียงของมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย
มอนสเตอร์ยิ้ม
มั่นใจได้ว่า คืนนี้ ยังมีเหยื่อเหลืออยู่อีก
Translater : Eidolonwww.nekopost.net/editor/78229
MANGA DISCUSSION