ข้ารู้สึกถึง ‘ความไม่เข้ากัน’ บางอย่างกับโลกใบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว
โลกที่ข้าควรจะอยู่ มันไม่ใช่ที่น่าเบื่อแบบนี้ แต่ควรจะเป็นที่อื่นที่แตกต่างออกไปสิ ข้าคิดเช่นนั้น
แต่ว่า มันอยู่ที่ไหนกันแน่ก็ไม่รู้ และการจะออกตามหาทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรเลยมันก็ทั้งน่ารำคาญและดูโง่เง่า ข้าเกลียดเรื่องไร้สาระจะตายไป
เพราะฉะนั้น ข้า เนโร ยูลิอุส เอลโรด ถึงได้มาโดดเรียนคาบที่น่าเบื่อไร้ความหมายแบบนี้ แล้วมานอนกลางวันอยู่บนดาดฟ้าโรงเรียนนี่ไงล่ะ
“ฮ่า……”
ข้ามองท้องฟ้าสีครามที่สดใสไร้ที่สิ้นสุด พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ น่าเบื่อชะมัด
แต่ว่า ที่นี่มันก็ยังดีกว่าอยู่ในพระราชวังอวาลอนที่น่าเบื่อหน่ายนั่นตั้งเยอะ
ทั้งๆ ที่ไม่ได้ต้องการเลยแท้ๆ แต่ดูเหมือนว่าข้าจะโชคร้าย เกิดมาในตระกูลที่ยุ่งยากอย่างเหลือเชื่อ ราชวงศ์อวาลอนอันเก่าแก่ ผู้สืบทอดโดยชอบธรรมของจักรวรรดิเอลโรด
แถมยังเป็นลูกชายคนโต ผู้มีสิทธิ์สืบทอดบัลลังก์เป็นอันดับหนึ่งอีกต่างหาก แย่ที่สุด
การที่ข้าจะต้องมาเป็นกษัตริย์อะไรนั่นน่ะ ข้าขอบายเลยนะ เพราะมันเห็นๆ กันอยู่แล้วว่าปัญหาใหญ่ระดับประเทศจะต้องถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อนแน่ๆ
ขนาดตอนนี้ที่ควรจะได้ใช้ชีวิตนักเรียนอย่างสงบสุขแท้ๆ ก็ยังมีแต่เรื่องยุ่งยากอุบัติเหตุอะไรต่างๆ ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ถ้าข้าได้เป็นกษัตริย์ขึ้นมาจริงๆ สงครามโลกคงจะปะทุขึ้นมาแน่ๆ ล่ะมั้ง เอาจริงๆ นะ
ข้าก็แค่อยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่านั้นเอง เรื่องยุ่งยากน่ะหลีกเลี่ยงได้เป็นดีที่สุด การเป็นที่สังเกตก็ขอบายเหมือนกัน แต่กับเหล่าทวยเทพแห่งแพนโดร่าที่ไม่ยอมปล่อยให้เป็นแบบนั้น ข้าก็อยากจะบ่นให้สักคำสองคำอยู่เหมือนกันนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีไอ้พวกที่ควบคุมโชคชะตาอะไรนั่นอยู่ล่ะก็ ถ้าไม่ได้ซัดหน้ามันสักหมัดคงจะไม่สบายใจแน่ๆ
แต่ว่า อืม ความสงบสุขที่มากเกินไปมันก็น่าเบื่อจนแทบจะตายได้เหมือนกัน เพราะงั้น จะว่ายังไงดีล่ะ ชีวิตคนเรามันก็ไม่ได้ดั่งใจไปซะทุกอย่างสินะ
“……หืม?”
ขณะที่กำลังครุ่นคิดเรื่องไร้สาระเหล่านั้นอยู่ในหัวที่ยังคงงัวเงียอยู่ ข้าก็สัมผัสได้ถึงตัวตนของใครบางคน
ไม่ได้ฝึกฝนอะไรเป็นพิเศษหรอกนะ แต่ต้องขอบคุณประสาทสัมผัสทั้งห้าที่เฉียบคมกว่าคนทั่วไป ทำให้ข้าสามารถรับรู้ถึงตัวตนรอบข้างได้อย่างเฉียบคม ต้องขอบคุณเรื่องนี้เหมือนกันนะ ที่ตอนเด็กๆ เคยจัดการนักฆ่าไปได้ตั้งสองครั้งแน่ะ ถือเป็นพรสวรรค์ที่มีประโยชน์อย่างหนึ่งเลยล่ะ
ตัวตนที่กำลังใกล้เข้ามามีสองคน ไม่ได้รู้สึกถึงพลังเวทหรือจิตสังหารอะไรเป็นพิเศษ แถมยังไม่มีท่าทีระแวดระวังอะไร เดินตรงขึ้นบันไดมายังดาดฟ้านี่เลย
ให้ตายสิ นึกว่าตอนเรียนแบบนี้จะไม่มีใครอื่นนอกจากพวกนั้นมาแล้วแท้ๆ แขกที่ไม่รู้จักกาละเทศะจริงๆ เลยนะ
ถึงจะเป็นข้าก็เถอะ ก็ไม่ได้คิดจะมานอนแผ่หลาอย่างไม่ระวังตัวต่อหน้าคนที่ไม่รู้จักหรอกนะ ถ้าโดนลอบโจมตีขึ้นมามันจะยุ่งยากเอาได้ ในสองความหมายเลยล่ะ
แขกที่ไม่ได้รับเชิญปรากฏตัวขึ้น พร้อมๆ กับที่ข้าลุกขึ้นจากม้านั่งพอดี
เหลือบมองไปแวบหนึ่ง ก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยคนหนึ่ง กับใบหน้าที่ไม่รู้จักอีกคนหนึ่ง เป็นคู่หูต่างไซส์ที่ดูไม่เข้ากันอย่างแรง
เจ้าตัวเล็กนั่นคือคนที่ชื่อไซม่อน มาจากตระกูลบัลเดียลนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นนักเรียนที่มีชื่อเสียงในหลายๆ เรื่อง จนแม้แต่ข้าที่ไม่ค่อยจะจำชื่อคนได้ก็ยังจำชื่อหมอนั่นได้
ในการสอบเข้าหลักสูตรผู้บริหาร นอกจากจะทำคะแนนสอบข้อเขียนได้เต็มแล้ว ยังทำคะแนนสอบปฏิบัติได้ศูนย์คะแนนอีกต่างหาก เป็นชายผู้สร้างตำนานในสองความหมายเลยทีเดียว แถมยังทำแบบนั้นติดต่อกันถึงสามปีอีกต่างหาก จนกลายเป็นเรื่องตลกไปแล้ว
พอปีที่สี่ถึงได้ไปเข้าเรียนหลักสูตรวิศวกรรมเวทมนตร์ ในที่สุดตำนานนั้นก็ปิดฉากลงเสียที
แต่ว่านะ ถ้าทำคะแนนสอบข้อเขียนได้สูงกว่าข้าขนาดนั้นล่ะก็ ไปเข้าหลักสูตรข้าราชการก็น่าจะได้รับอนาคตที่สดใสบนเส้นทางชนชั้นสูงอย่างแน่นอนแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้ไปเลือกวิศวกรรมเวทมนตร์ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนแคระก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เป็นคนที่เข้าใจยากจนถึงที่สุดจริงๆ
แล้ว เจ้าไซม่อนนั่น ได้ยินว่าพักการเรียนไปชั่วคราวเพื่อหาเงินค่าเล่าเรียน แต่เมื่อดูจากชุดนักเรียนนั่นแล้ว ดูเหมือนจะกลับมาเรียนแล้วสินะ
อืม สำหรับข้าแล้วก็เป็นแค่นักเรียนที่รู้จักชื่อกับตำนานเท่านั้นแหละ เรื่องส่วนตัวของหมอนั่นข้าไม่สนหรอก
ที่น่าสนใจคือ ชายร่างสูงที่เป็นเพื่อนร่วมทางของไซม่อนต่างหาก
เสื้อคลุมสำหรับเด็กฝึกหัดจอมเวทนั่นน่ะ สมัยนี้ขนาดเด็กปีหนึ่งยังลังเลที่จะใส่เลยด้วยซ้ำ เป็นของที่โคตรจะเชย
แต่ว่า ชายผู้นี้กลับไม่มีช่องว่างเลยแม้แต่น้อย
ขนาดอาจารย์ในโรงเรียนนี้จะสามารถมีท่วงท่าการยืนที่ไร้ช่องว่างได้ถึงขนาดนั้นรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย แสดงว่าต้องซ่อนเร้นฝีมือที่ร้ายกาจเอาไว้แน่ๆ
มองเผินๆ อาจจะดูเหมือนจอมเวทเพราะเสื้อคลุมนั่น แต่ร่างกายนั้นกลับกระชับแข็งแกร่งและอ่อนช้อยราวกับนักรบผู้ผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชน
หากบอกว่าเป็นผู้คุ้มกันฝีมือฉกาจที่ตระกูลบัลเดียลจ้างมาคอยติดตามไซม่อน ยังจะดูน่าเชื่อถือกว่าเสียอีก
แต่ทว่า สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ สีผมและสีตาของเขานั่นเอง
ผมดำตาสีแดง คือสีสันที่ปรากฏเฉพาะในสายเลือดของจอมมาร มิอา เอลโรด จักรพรรดิองค์แรกแห่งจักรวรรดิเอลโรดเท่านั้น
ผู้ที่มีผมดำตาสีแดงเหมือนกับข้านั้น แม้แต่ในหมู่ราชวงศ์อวาลอนเองก็ถือเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ส่วนใหญ่จะปรากฏเพียงแค่ผมดำหรือตาสีแดงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
แต่ชายผู้นั้น แม้จะมีเพียงข้างเดียวที่เป็นสีแดง แต่ก็มีลักษณะของผมดำตาสีแดงอย่างชัดเจน
หากจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่ได้สีสันนั้นมาล่ะก็ ช่างเป็นปาฏิหาริย์ที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
เมื่อคิดถึงดวงตาข้างซ้ายที่เป็นสีดำแล้ว บางทีพ่อแม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะมีรูปลักษณ์เหมือนคนต่างชาติที่ได้ยินมาว่ามีผมดำตาดำกระมัง
และหากอีกฝ่ายหนึ่งมีดวงตาสีแดงล่ะก็ อืม ถ้าการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของพลังเวทเป็นไปได้ด้วยดี ก็อาจจะทำให้มีดวงตาข้างหนึ่งเป็นสีแดงได้กระมัง
อืม ไม่ว่าจะยังไง ก็แค่เรื่องแปลกเท่านั้นแหละน่า คิดไปคิดมาก็ไม่ได้มีอะไรให้น่าใส่ใจขนาดนั้น
เรื่องสายเลือดจอมมารอะไรนั่นก็เป็นแค่ข่าวลือครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้มีความน่าเชื่อถืออะไรเลยสักนิด คนผมดำตาสีแดงน่ะถ้าลองตามหาดูจริงๆ ก็คงจะเจอสักคนสองคนอยู่ที่ไหนสักแห่งนั่นแหละ ถึงข้าจะไม่เคยเห็นมาก่อนจนถึงวันนี้ก็เถอะ
ข้าสรุปเช่นนั้น แล้วก็ตัดสินใจรีบออกจากดาดฟ้าที่โดนผู้บุกรุกเข้ามาขัดจังหวะ ทั้งที่ยังคงงัวเงียอยู่
ฝ่ายนั้นเองก็คงจะคิดว่าข้าเป็นตัวเกะกะเหมือนกันนั่นแหละน่า ว่าแต่ ไซม่อนกับชายปริศนานั่นจะมาทำอะไรกันบนดาดฟ้าที่ไม่มีคนอยู่กันแน่นะ จะว่าไม่สนใจเลยมันก็ไม่ใช่แฮะ
เผลอๆ อาจจะได้เห็นภาพหลุดฉาวโฉ่ของไซม่อนชายในตำนานก็ได้ใครจะไปรู้
ถ้าใช้อสูรรับใช้บันทึกภาพนี้ไว้ แล้วเอาไปปล่อยให้แหล่งข่าวบางแห่งล่ะก็ คงจะขายได้ราคาสูงลิ่วแน่ๆ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ทั้งไซม่อนและชายคนนั้น ต่างก็มีหน้าตาที่จัดว่าหล่อเหลาสวยงามกันทั้งคู่ ถึงแม้จะคนละแบบก็เถอะ
อืม แต่แววตาที่เฉียบคมเกินไปของชายคนนั้น อาจจะทำให้บางคนหักคะแนนเยอะอยู่เหมือนกันนะ
พลาดโอกาสดีๆ ไปรึเปล่านะเรา ขณะที่กำลังคิดเช่นนั้นพลางเดินลงบันไดไป—
“อ๊ะ! นี่นายแอบมาอู้ที่ดาดฟ้าอีกแล้วสินะ!”
เสียงแหลมๆ ที่คุ้นเคยดังกระทบหูเข้ามา
“เปล่าน่า ที่ที่ข้าอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ดาดฟ้าสักหน่อย”
มันคือบันไดต่างหาก
“ก็ลงมาจากบันไดที่เชื่อมกับดาดฟ้าเท่านั้นนี่นา แสดงว่าเมื่อกี้ก็ต้องอยู่บนดาดฟ้าสิยะ”
โดนต้อนจนมุมด้วยการอนุมานอันยอดเยี่ยมเสียแล้ว
“จะว่าไปแล้ว ถ้าจะบอกว่าอู้งานล่ะก็ เธอก็เหมือนกันไม่ใช่เรอะ ชาร์ล ยังอยู่ในเวลาเรียนอยู่เลยไม่ใช่รึไง”
เด็กสาวผู้สะบัดผมทวินเทลสีแดงเพลิงยาวสลวยพร้อมกับผ้าคลุมสีแดงอันเป็นเครื่องหมายของผู้บริหารฝึกหัดเช่นเดียวกับข้าที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ มีชื่อว่าชาร์ล็อต หรือชื่อเต็มๆ ก็คือ ชาร์ล็อต ทริสทัน สปาด้า
พอได้ยินชื่อนี้แล้วคงไม่มีใครไม่รู้หรอกกระมัง เจ้านี่คือองค์หญิงแห่งสปาด้าของแท้แน่นอน หรือจะให้พูดให้ถูกก็คือ องค์หญิงลำดับที่สามนั่นเอง
อืม สำหรับข้าแล้วก็เป็นแค่ ชาร์ล เพื่อนสมัยเด็กที่น่ารำคาญและมีดวงชะตาผูกพันกันอย่างเหนียวแน่น เป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นแหละน่า
“อย่าเอานิสัยแย่ๆ ของนายมาปนกับฉันสิยะ ฉันน่ะทำโควต้าของวิชาประยุกต์วงเวทมนตร์ 2 เสร็จเรียบร้อยแล้วต่างหาก”
ทั้งๆ ที่ยังเหลือเวลาเรียนอีกตั้งเกินครึ่งแท้ๆ เก่งกาจไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ นะ
ผมสีแดงกับดวงตาสีทองนั้นเหมือนกับ [ราชันย์ดาบ] เลออนฮาร์ท ผู้เป็นบิดาบังเกิดเกล้าของเธอไม่มีผิด แต่ต่างจากพ่อที่เป็นอสูรกายคนนั้น ใบหน้าของเธอช่างเหมาะสมกับคำว่าสาวงามอย่างแท้จริง โชคดีจริงๆ นะชาร์ล ที่ได้ความงามผิวขาวผ่องของแม่มาน่ะ
ถ้าจะให้ติหน่อยล่ะก็ อยากจะให้รูปร่างองค์เอวมีความเป็นผู้หญิงเหมือนท่านแม่สักหน่อยก็คงจะดี โดยเฉพาะหน้าอก หน้าอกนั่นแหละ
เอาล่ะ การจะคิดเรื่องที่อาจจะถือเป็นการเสียมารยาทต่อสตรีเพศต่อไปคงจะไม่ดีแน่ เผลอๆ ถ้าเจ้าตัวรู้เข้าล่ะก็ มีหวังโดนลูกเตะลอยมาใส่หน้าแน่ๆ เพราะยัยนี่ไม่รู้จักออมแรงเลยสักนิด
“โควต้าน่ะ เธอทำได้เป็นที่หนึ่งรึเปล่า? น่าจะเร็วพอตัวเลยสินะ”
ไม่อยากให้มีรอยเท้าประทับอยู่บนหน้า ข้าจึงรีบเปลี่ยนไปคุยเรื่องที่ไม่มีพิษมีภัยแทน
“น่าเสียดายที่เป็นที่สองน่ะสิ”
ชาร์ลตอบกลับมาด้วยท่าทีที่ไม่ได้ดูเสียใจอะไรเป็นพิเศษ ราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ต่อให้ชาร์ลจะมีความทะนงตนสูงแค่ไหนก็ตามที แต่ถ้าเทียบกับเจ้านั่นแล้วล่ะก็ อืม ก็คงจะพอทำใจยอมรับได้กระมัง
“ถ้าซาฟี่อยู่ด้วยก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ”
“อื้ม เพราะซาฟี่อยู่ด้วยก็เลยช่วยไม่ได้น่ะสิ”
ทั้งๆ ที่ไม่ใช่จอมเวทแต่เป็นเนโครแมนเซอร์แท้ๆ แต่กลับเชี่ยวชาญระบบเวทมนตร์ตามแบบแผนสมัยใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ช่างจัดการยากจริงๆ เลยนะ ยัยแว่นดำมืดคนนั้น
ตอนนี้คงจะกำลังขลุกตัวอยู่ในห้องวิจัยอันมืดมิดใหญ่โตมโหฬารนั่น แล้วก็สร้างข้ารับใช้ (ชิโมเบะ) ตนใหม่อยู่กระมัง
“แล้ว ที่มาตามหาข้านี่ จะชวนไปกินข้าวเที่ยงหรืออะไรทำนองนั้นรึไง?”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องเควสต์ต่อไปต่างหากล่ะ!”
องค์หญิงทำตาเป็นประกายด้วยความคาดหวังอย่างยิ่ง อา แบบนี้ต้องไปเจอเควสต์ยุ่งยากอะไรมาอีกแน่ๆ เลย
“ขอร้องล่ะน่า พวกเราก็แรงค์ 4 แล้วนะ ทั้งอัจฉริยะบ้างอะไรบ้าง เด่นจนไม่รู้จะเด่นยังไงแล้วไม่ใช่รึไง”
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ล่ะก็ ดูท่าทางแล้วพวกเราคงจะได้เลื่อนแรงค์เร็วกว่าไอเซนฮาร์ท พี่ชายของชาร์ลตอนที่เขาได้แรงค์ 5 เสียอีกกระมัง
แค่การที่ราชวงศ์อวาลอนกับสปาด้ามาตั้งปาร์ตี้ด้วยกันมันก็เด่นพออยู่แล้ว เรื่องที่น่าสนใจไปมากกว่านี้ไม่ต้องการแล้วนะเฟ้ย
ข้าใช้กิลด์นักผจญภัยก็แค่แทนการเก็บหน่วยกิตกับแก้เบื่อเท่านั้นเองนะ
“ก็ดีแล้วไม่ใช่รึไง จะอิจฉาหรือจะริษยาก็ปล่อยให้พวกมันทำไปสิ พวกเราก็คือพวกเรา ไม่เกี่ยวกับเรื่องของคนอื่นสักหน่อย”
“อืมม นั่นมันก็ใช่ แต่ว่า……”
แล้วใครกันล่ะที่ต้องมาคอยจัดการเรื่องยุ่งยากที่เกิดขึ้นเพราะเรื่องนั้นอยู่ทุกทีน่ะ เข้าใจบ้างไหมหา องค์หญิง?
ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่ไม่พูดออกไปย่อมเป็นผลดีกว่า ข้าไม่ใช่พวกมาโซคิสม์ที่จะมาดีใจกับการโดนเตะก้นเสียหน่อย
“เอาเถอะน่า แล้วเควสต์นั่นมันเป็นยังไงล่ะ?”
“ฟุฟุฟุ เคยได้ยินเรื่องรังมังกรเพลิงไหมล่ะ?”
แน่นอนอยู่แล้ว ต่อให้จะทำไปส่งๆ ก็ตามที แต่ก็เป็นนักผจญภัยแรงค์ 4 แล้วนะ ข้อมูลเกี่ยวกับดันเจี้ยนหรือสถานที่ที่มีชื่อเสียงน่ะก็พอจะเคยได้ยินมาบ้างอยู่แล้ว
รังมังกรเพลิงที่ว่านั่น คือสถานที่ที่ซาลาแมนเดอร์ซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของเทือกเขากัลลาฮัดจะมาสร้างรังทุกปีสินะ
มันคือถ้ำที่อยู่ใกล้กับยอดเขา ดูเหมือนจะเป็นทำเลที่เหมาะกับการสร้างรังอย่างยิ่ง
ซาลาแมนเดอร์ที่สามารถขับไล่พวกพ้องตัวอื่นแล้วยึดครองสถานที่นั้นได้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าเป็นปัจเจกที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเดียวกันอย่างแน่นอน
จะว่าไปแล้ว มันก็เหมือนกับดันเจี้ยนเวอร์ชันธรรมชาติที่มีบอสโผล่ออกมานั่นแหละ
แล้วก็ ยังเป็นจุดอันตรายยอดนิยมที่มีไอ้พวกโง่ที่ไปท้าทายแล้วโดนเผาเป็นเถ้าถ่านทุกปีอีกด้วย
“ว่าแต่ หรือว่า……”
“ก็อย่างที่คิดนั่นแหละ!”
ฮ่า ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
แต่ว่า ข้าไม่รู้จักวิธีที่จะหยุดยั้งชาร์ลที่กำลังเอาจริงเอาจังขนาดนี้ได้เลย
“เอาเถอะน่า ซาลาแมนเดอร์สักสองตัว ก็คงจะพอรับมือไหวอยู่หรอกมั้ง”
“ปีนี้มันตัวใหญ่กว่าปกติเยอะเลยนะ นายเองก็เอาจริงหน่อยสิยะ!”
การจะเอาจริงมันเหนื่อยนะเฟ้ย ข้าไม่อยากทำหรอกน่า ถึงจะทำไปส่งๆ พวกนี้ก็น่าจะจัดการให้เรียบร้อยได้อยู่แล้วนี่นา เรื่องแบบนี้ก็ช่วยทำให้ข้าสบายหน่อยสิ
“เอ้า งั้นไปโรงอาหารกันเลยนะ ต้องรีบไปจองที่ไว้ก่อน”
พูดพลาง ชาร์ลก็ดึงแขนข้าแล้ววิ่งไปตามทางเดินอย่างแรง
“อะ เฮ้ย! ให้ตายสิ……ช่วยไม่ได้จริงๆ แฮะ”
ข้าที่โดนชาร์ลลากไปมาเหมือนเคย
แต่ว่า เวลาที่อยู่กับยัยนี่ ข้ากลับไม่รู้สึกถึง ‘ความไม่เข้ากัน’ กับโลกใบนี้เลย ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย เพราะฉะนั้น อืม ถึงจะมีเรื่องยุ่งยากกับปัญหาต่างๆ ตามมาเป็นพรวนก็เถอะ แต่การจะคบหากันต่อไป มันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นกระมังนะ
Translater : Eidolonwww.nekopost.net/editor/78229
MANGA DISCUSSION