บทที่ 11 ลูกกระเดือกเกร็งขึ้นเล็กน้อย
ดวงตาของสืออวี่ไป๋จับจ้องที่ฉือฮวน มุมปากคล้ายจะโค้งอย่างเย้ยหยัน “สองเรื่องนี้มันเป็นคนละประเด็นกัน”
ฉือฮวนเงยหน้าขึ้นอย่างหงุดหงิด แต่ก็กู้คืนความมั่นใจกลับมาอย่างรวดเร็ว “ได้ ในเมื่อคุณไม่ต้องการพูดถึง ก็ไม่ต้องพูด คุณไปกินข้าวก่อนเถอะ”
“ฉันอุ่นโจ๊กไว้นานแล้ว ลองชิมดูว่าชอบไหม”
“พวกเรากินกันมาจากบ้านแล้ว เหลือแต่คุณ ต้องรีบกินตอนที่ยังร้อน อย่าปล่อยให้เย็น”
สืออวี่ไป๋เลิกคิ้ว มองไปที่ฉือฮวนอย่างเย็นชา “คุณไม่จำเป็นต้องรักษาการแต่งงานครั้งนี้โดยบังคับตัวเองให้ทำเรื่องที่คุณไม่ชอบหรอกนะ”
ฉือฮวนแก้มพองขึ้นด้วยความโกรธอีกครั้ง “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ชอบ”
เสียงเล็กเบาลง พึมพำอย่างไม่มั่นใจ “คุณพูดอย่างกับว่าคุณรู้จักฉันดี”
แต่สืออวี่ไป๋ไม่อยู่แล้ว ชายหนุ่มเดินกลับห้องด้วยขายาว ๆ เปิดกระติกเก็บความร้อน หยิบช้อนแล้วกินโจ๊กเต็มคำ
โจ๊กต้มจนเนื้อสัมผัสข้นมาก คงใช้เวลานานไม่น้อย ทั้งยังมีน้ำมันข้าวหนา ๆ ลอยอยู่ด้านบน มันชุ่มฉ่ำ มีกลิ่นหอมกลมกล่อมและอร่อย ไม่เหมือนฝีมือของฉือฮวนสักนิด จนเขาอดไม่ได้ที่จะมองเธอ
ฉือฮวนกำลังพันเชือกกับลูกชาย เมื่อสังเกตเห็นการจ้องมองของสืออวี่ไป๋ จึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง
ดวงตาของพวกเขาสบกัน สืออวี่ไป๋พลันเสมองไปทางอื่น
เขาดูเย็นชา แต่ความแดงของติ่งหูเผยให้เห็นอารมณ์ที่แท้จริงของเจ้าตัว
เธอรู้สึกเขินอายและเปลี่ยนเรื่องโดยไม่รู้ตัว “อวี่ไป๋ คุณจะไปตั้งแผงขายของตอนกลางคืนที่ตัวเมืองหรือเปล่า?”
คำว่า ‘อวี่ไป๋’ สองพยางค์นำมาซึ่งการจ้องมองที่เร่าร้อน ลูกกระเดือกของชายหนุ่มขยับเล็กน้อย
ความสับสนระคนประหลาดใจในดวงตาของเขาขณะมองฉือฮวน ทำให้นึกถึงความโหดร้ายของตนก่อนหน้านี้ จนอดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปาก
“แค่นั้นแหละ ฉันอยากให้สือเยี่ยนไปกับคุณ โอเคไหม?”
จากนั้นเธอก็เห็นสืออวี่ไป๋มองไปทางอื่น และกำช้อนแน่นด้วยข้อต่อนิ้วที่เรียวงามของเขา
“คุณอยากจะซื้ออะไร?”
เสียงของเขายังคงเย็นชา ราวกับถูกคำว่า ‘โดนหย่า’ ตามติดเป็นเงา
“ฉันไม่ได้อยากซื้ออะไร แค่อยากใช้เวลากับสือเยี่ยนและไปเป็นเพื่อนคุณ”
ฉือฮวนพยายามอย่างหนักที่จะแสดงความจริงใจ
แต่สืออวี่ไป๋กลับแค่นเสียงเย็น
บรรยากาศเย็นเยียบลงทันที เวลาต่อมา สืออวี่ไป๋ก็ก้มกินโจ๊กเงียบ ๆ ส่วนฉือฮวนยังคงเล่นพันเชือกกับสือเยี่ยน แต่หางตากลับเหลือบมองไปทางสืออวี่ไป๋เป็นครั้งคราว
หลังจากที่สืออวี่ไป๋กินเสร็จ เขาก็ก้าวมาหา โน้มตัวไปข้างหน้าและลูบใบหน้าของสือเยี่ยนน้อย
ลมหายใจที่เป็นเอกลักษณ์และชัดเจนของเขาลอยมาเตะจมูกของฉือฮวนโดยไม่มีสิ่งใดกั้นขวาง
“สือเยี่ยน พ่อไปทำงานนะ แล้วจะรีบกลับมา เป็นเด็กดีรออยู่ที่นี่ คอยจับตาดูแม่ไว้ อย่าทำให้เธอเดือดร้อน เข้าใจไหม?”
คำพูดเหล่านี้ทำให้หูของฉือฮวนรู้สึกร้อนผ่าว
‘ดูแลแม่และอย่าทำให้เธอเดือดร้อน’ หมายความว่ายังไง เธอเป็นคนไม่น่าไว้ใจขนาดนี้เลยเหรอ?
แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่ตนทำในอดีต หญิงสาวก็ไม่สามารถพูดเพื่อปกป้องตัวเองได้จริง ๆ เธอบีบมือเล็ก ๆ ของสือเยี่ยนและให้คำมั่นต่อชายหนุ่ม
“ฉันจะไม่สร้างความลำบาก ฉันจะเป็นเด็กดีเหมือนสือเยี่ยน”
สืออวี่ไป๋เลิกคิ้วมองเธออย่างเฉยชา แล้วหันหลังออกจากหอพัก
ระหว่างรอสืออวี่ไป๋เลิกงาน ฉือฮวนก็ไม่ได้เกียจคร้าน เธอหยิบปากกาและกระดาษออกมา สอนเสี่ยวเยี่ยนให้เขียนตัวเลขทีละตัว
คราวนี้ฉือฮวนตกใจกับความฉลาดของสือเยี่ยน
ในช่วงเวลาอันสั้น สือเยี่ยนก็สามารถเขียนเลขได้ตั้งแต่ ‘1’ ถึง ‘100’ เมื่อฉือฮวนขอให้เขาเขียนใหม่ เขาก็ไม่ได้เขียนเรียงลำดับผิดแม้แต่ครั้งเดียว
“สือเยี่ยน หนูเก่งมาก!”
“ทำไมหนูถึงฉลาดขนาดนี้!”
สือเยี่ยนน้อยกะพริบตาคู่โต แล้วพูดอย่างไร้เดียงสา “เรื่องพวกนี้พ่อเคยสอนแล้ว”
ฉือฮวนถึงกับเงียบกริบ “…”
ก่อนจะเกิดใหม่ เธอไม่เคยมีส่วนร่วมในการเติบโตของสือเยี่ยนเลย เมื่อได้มีปฏิสัมพันธ์กับเขา ฉือฮวนจึงตระหนักได้ว่าในอดีตเธอเหลวแหลกเพียงใด
เมื่อนึกถึงความลำบากของสือเยี่ยนที่ทุกข์ทรมานจากภาวะซึมเศร้าและในที่สุดก็กรีดข้อมือฆ่าตัวตาย เธอก็อดรู้สึกขมขื่นไม่ได้
“สือเยี่ยนเก่งมาก”
เธอจับใบหน้าเล็ก ๆ ของสือเยี่ยนแล้วพูดด้วยความเศร้าใจว่า “บอกแม่ซิ นอกจากเรื่องพวกนี้ พ่อยังสอนอะไรหนูอีกบ้าง”
เสี่ยวสือเยี่ยนเริ่มเขียนตัวอักษรลงกระดาษขาวอย่างบรรจง
ลายมือของเขาคล้ายกับอวี่ไป๋ แต่ลายมือของอวี่ไป๋นั้นอิสระมากกว่า ในขณะที่ของเสี่ยวเยี่ยนจะโย้เย้เล็กน้อย แต่ก็แฝงสไตล์การเขียนของพ่ออยู่บ้าง
“สือเยี่ยนคนเก่ง แม่สอนจะอักษรพวกนี้ หนูรู้เรื่องนี้ไหม”
…
เมื่อสืออวี่ไป๋เปิดประตูห้องเข้าไปหลังเลิกงาน นี่คือภาพที่เขาเห็น
ชายหนุ่มงุนงงมาก
แม่และลูกเข้ากันได้ดี สือเยี่ยนกำลังเขียนอักษรบนกระดาษ ดวงตาโตที่ฉ่ำน้ำของเด็กน้อยเต็มไปด้วยประกายสดใส เพราะคำชม เด็กชายมองใบหน้าของฉือฮวนด้วยรอยยิ้มแสนหวาน
ฉือฮวนไม่ใจร้อน จับมือสือเยี่ยนและสอนให้เขาคัดลอกลายมืออย่างจริงจัง
สืออวี่ไป๋เหม่อลอย แต่งงานกันมาหลายปี ฉากนี้เป็นภาพฝันอยู่ในใจของเขามานานแล้ว และมันก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง แต่ดันเกิดขึ้นตอนที่เขาตัดสินใจจะหย่าร้างเหรอนี่…
ช่างตลกร้ายจริง ๆ
เขากระแอม
ฉือฮวนและสือเยี่ยนต่างก็เงยหน้าขึ้น
สือเยี่ยนวางปากกา ก้าวขาสั้น ๆ พุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของสืออวี่ไป๋
“พ่อ พ่อเลิกงานแล้ว!”
“ไปที่อำเภอกันเถอะ แม่บอกว่าไปที่อำเภอแล้วจะซื้อลูกโป่งให้ผม ใช่ไหมครับ?”
เขาจ้องสืออวี่ไป๋อย่างระมัดระวัง
“คุณอยากไปที่อำเภอจริง ๆ เหรอ?”
สืออวี่ไป๋ถาม
ในอดีต ฉือฮวนทั้งขี้เกียจและกลัวความยุ่งยากมาก เธอยอมตายดีกว่าจะขี่จักรยานไปยังอำเภอ
ชายหนุ่มเกรงว่าการตัดสินใจไปอำเภอของเธอจะเป็นเพียงข้ออ้างพาเขากลับมา
สืออวี่ไป๋เยาะเย้ยในใจ
“ได้ ไปกันเถอะ”
เพื่อหารายได้พิเศษ หลังจากเลิกงานทุกวัน เขาจะขี่จักรยานไปตั้งแผงขายเสื้อผ้าที่เมืองในอำเภอ แต่เงินทั้งหมดที่ได้มาอย่างยากลำบากล้วนถูกฉือฮวนใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย
ในเมื่อเธอตกลงจะไป ให้เธอลงแรงหน่อยดีกว่า
สืออวี่ไป๋ละสายตาจากฉือฮวน อุ้มสือเยี่ยนแล้วเดินออกไป เมื่อมาถึงที่จอดจักรยาน เขาก็บังเอิญชนหม่าฮว๋ายเหริน
หม่าฮว๋ายเหรินบีบแก้มสือเยี่ยนสองทีแล้วถาม “พวกนายสามคนจะกลับบ้านเหรอ? แบบนี้ฉันจะไม่กลายเป็นหลอดไฟ*[1] หรือไง?”
สืออวี่ไป๋กล่าวว่า “ไม่ใช่ พวกเราจะไปอำเภอ”
“พวกนายทั้งสามคน?”
หม่าฮว๋ายเหรินเหลือบมองฉือฮวนอย่างสงสัย จากนั้นก็เข้าหาสืออวี่ไป๋และกระซิบว่า “เธอก็อยู่กับนายด้วยเหรอ”
“นายไม่ได้จะไปหย่า…โอ๊ย!”
ก่อนที่คำว่า ‘ร้าง’ จะหลุดออกมาจากปากของเขา หม่าฮว๋ายเหรินก็รู้สึกเจ็บที่แขนขึ้นมา
สืออวี่ไป๋หยิกเขาอย่างเบามือ จับแขนของอีกฝ่ายแล้วกระซิบ “ต้องสอนบทเรียนให้เธอหน่อย”
หม่าฮว๋ายเหรินเข้าใจทันที
“อ้อ…”
เขามองไปที่ฉือฮวนด้วยสีหน้าซับซ้อนและล้อเลียนว่า “พี่สะใภ้ คุณควรจับตาดูสืออวี่ไป๋ตอนที่คุณไปอำเภอนะ หนุ่มคนนี้ฮอตมากในสำนักงานอำเภอ”
“คุณไม่รู้หรอกตอนที่เขาขายเสื้อผ้า มีหญิงสาวและภรรยาสาวหลายคนขอที่อยู่ของเขา อยากจะเขียนจดหมายถึงเขาด้วยนะ”
ฉือฮวนมองไปที่สืออวี่ไป๋ทันที ดวงตาชุ่มชื้นเต็มไปด้วยความร้อนรนใจ
หัวใจของเธอเต้นจนแทบจะหลุดออกทางลำคอแล้ว
ในชีวิตก่อน ฉือฮวนไม่เคยมีปัญหากับความรู้สึกนี้เลย เพราะเธอไม่ได้สนใจสืออวี่ไป๋ ด้วยคิดว่าเขาไม่มีเสน่ห์แบบผู้ชาย จึงไม่มีใครที่บ้านชอบเขา และเธอก็ต้องการหย่ากับเขาโดยเร็วที่สุด
โดยไม่คาดคิด สืออวี่ไป๋กลับได้รับความนิยมมากจนแผงขายเสื้อผ้าของชายหนุ่มเรียกความสนใจของฝูงชนได้
“จริงเหรอ?”
“งั้นฉันต้องจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิดและไม่ให้ใครฉวยโอกาส”
ฉือฮวนรู้สึกได้ถึงวิกฤตหนักในใจ จึงอดไม่ได้ที่จะเริ่มแสดงความเป็นเจ้าของ
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ไม่เพียงแค่หม่าฮว๋ายเหรินเท่านั้นที่ตกตะลึง แม้แต่สืออวี่ไป๋ก็หรี่ตาลงและจ้องมองเธอด้วยความคลุมเครือ
[1] หลอดไฟ เป็นคำสแลง แสดงถึงบุคคลที่ไม่เข้าใจโลกหรือก้าวก่ายสถานการณ์บางอย่างที่ไม่เหมาะสม
MANGA DISCUSSION