โดดเด่น...ที่จอมปลอม - ตอนที่ 4.1 ก้าวไปข้างหน้า
ตั้งแต่วันที่เรียนจบม.ปลาย แล้วตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตคนเดียว ผมก็ไม่อยากให้ใครเข้ามาในโลกของผม
พอผมเรียนจบม.ปลาย พ่อกับแม่ก็หย่ากัน แม่ได้สิทธิ์เลี้ยงดูผม ชื่อของผมในทะเบียนบ้านก็เลยเปลี่ยนไป ตอนแรกก็ยังไม่ชิน แต่ตอนนี้ก็เริ่มชินแล้ว
ก่อนจะหย่ากัน ครอบครัวของผมก็มีปัญหา ตั้งแต่ผมจำความได้ พ่อแม่ก็เย็นชาต่อกัน คุยกันเฉพาะเรื่องที่จำเป็น พ่อแทบไม่กลับบ้าน แม่ก็อดทน แล้วก็ยิ้มให้ผม
พอผมขึ้นม.ปลายปี 1 ก็รู้ว่าพ่อนอกใจไปมีผู้หญิงคนอื่น ที่เป็นลูกน้อง พ่อกับแม่ทะเลาะกันทุกวัน ต่างฝ่ายต่างโทษกัน โดยเฉพาะตอนผมอยู่ ม.ปลายปี 3 เป็นช่วงที่แย่ที่สุด
ถ้าไม่มีแก ฉันหย่ากับเขาไปนานแล้ว
แม่พูดแบบนั้นซ้ำๆ ถ้าหย่ากันเร็วกว่านี้ แม่ก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้
ที่แม่ไม่มีความสุข ก็เป็นเพราะผม
สุดท้ายพอผมเรียนจบ ทั้งสองคนก็หย่ากัน แม่มีคนรักใหม่ ตอนนี้ก็อยู่ด้วยกัน ดูมีความสุขกว่าตอนนั้น ไม่มีที่สำหรับผม
พอออกจากบ้าน ผมก็ตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตคนเดียว โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่จำเป็นต้องมีเพื่อน ไม่ต้องพูดถึงแฟน เพราะความรัก สักวันก็ต้องจืดจาง อย่างน้อย พ่อแม่ผมก็เป็นแบบนั้น
ผมไม่อยากเจ็บปวด และไม่อยากทำให้ใครเจ็บปวด ผมไม่อยากเป็นภาระของใคร ถ้าอย่างนั้น ก็อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับใครเลยดีกว่า
…ผมเคยคิดแบบนั้น
เช้าวันจันทร์ ถัดจากวันที่นานาเสะสารภาพรัก คาบแรกวิชาบังคับของคณะเศรษฐศาสตร์ ผมตื่นเร็วกว่าปกติ 30 นาที เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจอเธอ แล้วก็รีบเตรียมตัว
เมื่อคืน ผมนอนไม่ค่อยหลับ พอหลับตา ก็นึกถึงหน้านานาเสะตอนที่ร้องไห้
คิดๆ ดูแล้ว ตั้งแต่แรก ผมก็ทำร้ายนานาเสะมาตลอด ทำไมเธอถึงชอบคนอย่างผม ทั้งๆ ที่มีผู้ชายที่ดีกว่านี้ตั้งเยอะแยะ
ผมใส่รองเท้าผ้าใบ แล้วเปิดประตูห้อง จังหวะนั้นเอง ประตูห้องข้างๆ ก็เปิดออก
「อ๊ะ…」
ผมบังเอิญเจอกับนานาเสะที่เพิ่งออกมาจากห้อง หน้าเธอแดงนิดๆ คงจะร้องไห้มา พอเห็นแบบนั้น ผมก็รู้สึกเจ็บที่อก
พอเห็นหน้าผม เธอก็รีบหลบตา แล้ววิ่งลงบันไดไป พร้อมกับเสียงดัง “ตึงๆ” แล้วก็ขี่จักรยานสีแดงออกไป
ปกติแล้วเธอมักจะยิ้มแล้วทักทาย 「อรุณสวัสดิ์」 แต่ตอนนี้กลับไม่มี ผมรู้สึกเหงา แล้วก็เกลียดตัวเอง ที่คิดอะไรแบบนี้
เธอคงไม่มีวันยิ้มให้ผมอีกแล้ว คนที่ปฏิเสธเธอ ก็คือผมเอง
หลังจากที่ร่างของนานาเสะลับสายตาไปแล้ว ผมก็ขึ้นจักรยานแล้วเริ่มปั่นออกไป 「มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย สะดวกไหม」 หลังจบคลาสเรียนที่สอง ผมกำลังเดินไปโรงอาหารตรงลานน้ำพุ ก็โดนสุโด้จับตัวไว้
ภาพที่แวบเข้ามาในหัวผมคือความทรงจำตอน ป.5 ด้วยเหตุบังเอิญบางอย่าง ผมดันไปทำให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งในห้องร้องไห้ แล้วก็โดนกลุ่มเพื่อนๆ ของเธอรุมล้อมต่อว่ายกใหญ่ ตอนนั้นผมยังเด็ก และได้เรียนรู้ว่าการรวมตัวของพวกผู้หญิงนี่มันน่ากลัวจริงๆ
สุโด้รู้เรื่องที่ผมทำให้นานาเสะร้องไห้ และมาที่นี่เพื่อต่อว่าผมงั้นเหรอ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมารับผิดชอบอะไรกับซุโด้ แต่ถ้านั่นจะทำให้นานาเสะรู้สึกดีขึ้นสักนิดก็คงจะดี
ผมหยุดเดินแต่โดยดี ซุโด้ลากผมไปที่ด้านหลังตึกเรียน แล้วเธอก็เปิดประเด็นขึ้นมาทันที 「ซางาระ… คิดยังไงกับฮารุโกะกันแน่」
น้ำเสียงของเธอนั้นต่ำและแฝงไปด้วยความโกรธ ผมไม่รู้จะตอบยังไงดี เลยได้แต่อ้ำอึ้ง 「…… รู้อยู่หรอกนะว่ามาถามเรื่องนี้ลับหลังฮารุโกะมันผิด แต่ว่านะ ฮารุโกะน่ะทั้งน่ารัก ทั้งเป็นคนดีมากๆ เลยนะ」
สุโด้พูดแบบนั้นแล้วกำหมัดแน่น คงไม่ได้มาถามเพราะความอยากรู้อยากเห็นเฉยๆ สินะ
「นานาเสะเล่าอะไรให้ฟังเหรอ?」
「…บอกว่า โดนซางาระปฏิเสธ」
คำตอบของสุโด้ทำให้ผมสับสน อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ถ้าอธิบายตามหลักความเป็นจริง ก็คือผมเป็นคนปฏิเสธนานาเสะสินะ คนอย่างผมนี่มันช่างไม่เจียมตัวเอาซะเลย สุโด้เสริมขึ้นมาว่า 「เผื่อไว้ ฉันจะบอกไว้ก่อนนะ」
「ไม่ใช่ว่าฮารุโกะเอาเรื่องของซางาระไปโพนทะนาหรอกนะ ตั้งแต่เช้าแล้วที่เธอดูแปลกๆ ฉันก็เลยเค้นถามออกมาเอง」
「อืม เข้าใจแล้วล่ะ」
นานาเสะไม่ใช่คนที่จะเอาเรื่องของคนอื่นไปพูดอยู่แล้ว ต่อให้เป็นเรื่องของผม เธอก็คงไม่เอาไปพูดเสียๆ หายๆ หรอก
「ไม่ชอบฮารุโกะเหรอ?」
「…ไม่ ไม่ได้ไม่ชอบ」
「แล้วฮารุโกะไม่ดียังไง? ฉันนึกว่าซางาระก็ชอบฮารุโกะเหมือนกันซะอีก」
「…นานาเสะน่ะ ดีเกินไป คนอย่างฉันไม่คู่ควรกับเธอหรอก」
ซุโด้ตะโกนขึ้นมาว่า 「เเล้วทำไม!」
「ก่อนหน้านี้ก็ช่วยพูดปกป้องฮารุโกะจากพวกนั้นแท้ๆ …อุตส่าห์มองนายดีขึ้นมาหน่อยนึงแล้วเชียว! พูดเอาไว้ซะขนาดนั้น แล้วจะมาปฏิเสธฮารุโกะทำไม!」
เหตุผลที่ผมไม่อาจรับความรู้สึกของนานาเสะได้นั้น มันเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับจิตใจของผมเอง ดังนั้นผมจึงไม่คิดจะเปิดเผยเหตุผลนั้น เมื่อผมเอาแต่เงียบ เสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นจากข้างหลัง
「ซัจจัง พอแค่นี้เถอะ」
โฮวโจวยืนอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เขายิ้มอย่างสดใส และเข้ามาแทรกกลางระหว่างผมกับสุโด้
「ฉันเข้าใจที่เธออยากจะพูดนะ แต่ช่วยคิดถึงความรู้สึกของซางาระด้วยสิ มันเสียมารยาทนะ」
โฮวโจวพูดเกลี้ยกล่อม แต่สุโด้ก็ยังไม่ยอมแพ้และเถียงกลับไป
「แต่ว่า ซางาระน่ะ…」
「เธอเองก็รู้ความรู้สึกของฉันดีนี่ แต่ก็ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มาตลอดเลยไม่ใช่เหรอ」
「พะ พะ พูดเรื่องอะไรน่ะ ตอนนี้ไม่ได้พูดเรื่องนั้นสักหน่อย!」
สุโด้หน้าแดงก่ำ ถ้าจะทะเลาะกันเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ก็ไปทำที่อื่นที่ไม่ใช่ตรงหน้าผมทีเถอะ
บอกตามตรง ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะไปต่อกรกับเรื่องพวกนั้น เมื่อหันหลังเตรียมจะเดินจากไป สุโด้ก็ตะโกนขึ้นมาว่า 「เดี๋ยว!」 พอหันกลับไป สุโด้ก็จ้องมาที่ผมด้วยแววตาจริงจัง 「ที่ฮิโรกิพูดมันก็ถูก …โทษทีที่พูดอะไรไม่คิด ที่ฉันพูดอะไรเอาแต่ใจแบบนี้ มันก็เสียมารยาทกับฮารุโกะด้วย」
「…ไม่เป็นไรหรอก」
ที่สุโด้โมโหผมขนาดนี้ ก็เพราะเป็นห่วงนานาเสะจากใจจริง ไม่ใช่เหตุผลอื่นใด เธอคงให้อภัยผมที่ทำให้นานาเสะเจ็บปวดไม่ได้ แม้จะรู้สึกว่าเธอไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเธอเลย
ผมหวนนึกถึงภาพของนานาเสะสมัยม.ปลาย เด็กผู้หญิงที่เอาแต่เรียนอยู่คนเดียวในห้องสมุดโดยไม่พูดจากับใคร ผมรู้สึกดีใจจากก้นบึ้งหัวใจ ที่ในที่สุดเธอก็ได้มีเพื่อนที่ดีกับเขาสักที
ผมเลิกงานและกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์ตอนหกโมงเช้า วันนี้อากาศหนาวเป็นพิเศษ ลมหายใจอุ่นๆ กลายเป็นไอสีขาวลอยจางหายไปในอากาศ
ตอนนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดัง กึก กึก มาจากบันได เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นนานาเสะในชุดวอร์มทับด้วยเสื้อแขนสั้น ใบหน้าไร้เครื่องสำอาง เธอกำลังถือถุงขยะสีเหลือง คงจะเอาขยะไปทิ้งหน้าอพาร์ตเมนต์ วันนี้เป็นวันทิ้งขยะเผาได้สินะ
นานาเสะดูเหมือนจะสังเกตเห็นผม เธอชะงักไปครู่หนึ่ง กำลังลังเลว่าจะทำยังไงดี นานาเสะก็หันมายิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ฝืนๆ ดูเศร้าสร้อย 「ขยันจัง ไปทำงานมาเหรอ ซางาระคุง」
เธอพูดกับผมเหมือนอย่างปกติ ทำเอาผมอึ้งไปเลย นานาเสะก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด และพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
「ซางาระคุง… คือว่า…วันก่อน ขอโทษนะ」
…ทำไม เธอถึงต้องขอโทษด้วยล่ะ คนที่ผิดคือผมต่างหาก นานาเสะไม่จำเป็นต้องขอโทษเลยสักนิด แต่ผมกลับพูดอะไรไม่ออก เธอจึงพูดต่อ
「ถ้าไม่รังเกียจ …หลังจากนี้ …เอ่อ… มาสนิทกันเหมือนเดิมนะ」
แม้จะยิ้มอยู่ แต่มือที่กำแน่นของเธอกลับสั่นระริก ผมพยายามไม่มองหน้านานาเสะ และตอบกลับไปว่า 「อืม」
「…ค่อยยังชั่ว งั้น… เจอกันใหม่นะ ซางาระคุง」
นานาเสะพูดแค่นั้น แล้วเอาขยะไปวางไว้ที่ทิ้งขยะ จากนั้นก็รีบเดินกลับห้องไป เสียงประตูปิดดัง ปัง
ผมเดินขึ้นบันได และหยุดยืนอยู่หน้าห้องของนานาเสะ ตอนนี้เธอจะมีสีหน้ายังไงอยู่หลังบานประตูนั้น ผมเองก็ไม่รู้ แค่หวังว่าเธอจะไม่ร้องไห้ก็พอแล้ว แต่ความคิดเห็นแก่ตัวแบบนั้น มันก็ทำให้ผมรู้สึกแย่กับตัวเองเหลือเกิน
******
นักเขียนชื่อดัง อากุตะงาวะ ริวโนะสุเกะ เคยกล่าวไว้ว่า “การจะหลุดพ้นจากห้วงแห่งความรักได้นั้น สิ่งที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้เหตุผลก็คือการมีธุระยุ่งรัดตัว” ตามคำกล่าวนี้ หลังจากที่ฉันโดนซางาระคุงปฏิเสธมา ฉันก็ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างยุ่งวุ่นวายหัวหมุน
ฉันใส่กะทำงานพิเศษเข้าไปแทบทุกวัน เริ่มอ่านหนังสือเตรียมสอบวัดระดับความรู้ และยังไปเข้าคอร์สเรียนทำอาหารกับซัจจังด้วย ฉันไปเข้าร่วมกิจกรรมอาสาสมัครนอกรั้วมหาวิทยาลัย และออกงานพบปะผู้คนอย่างกระตือรือร้น การได้เคลื่อนไหวร่างกายไปที่ต่างๆ ช่วยให้ฉันไม่ต้องคิดอะไรฟุ้งซ่าน นับว่าเป็นเรื่องดี
แต่ว่า… บางทีระหว่างที่พักจากการเรียน ฉันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจากห้องข้างๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่า ตอนนี้ซางาระคุงกำลังทำอะไรอยู่นะ แม้แต่ตอนทำงานพิเศษ ถ้าฉันเห็นคนที่มีรูปร่างคล้ายกับซางาระคุง ก็อดไม่ได้ที่จะเผลอไล่ตามด้วยสายตา เมื่อฉันได้เรียนรู้การทำอาหารเมนูใหม่ๆ ก็อยากจะให้ซางาระคุงได้ลองชิมดู ไม่ว่าจะไปที่ไหน เจอใคร ก็ไม่มีใครดีไปกว่าซางาระคุงอีกแล้ว… ฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
สรุปง่ายๆ เลยก็คือ ฉันยังตัดใจจากความรักที่มีต่อเขาไม่ได้เลยสักนิด
ฉันเริ่มทำงานพิเศษที่คาเฟ่ใกล้ๆ อพาร์ตเมนต์มาได้ห้าเดือนแล้ว
แม้ว่าตอนแรกจะไม่ค่อยคุ้นชินกับงานจนต้องพบเจอกับอุปสรรคมากมาย แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าตัวเองก็เริ่มทำได้คล่องขึ้นเยอะแล้ว การได้ทำงานบริการทำให้ฉันเลิกกลัวการเข้าสังคม และยังได้รู้จักคนใหม่ๆ ที่ทำงานพิเศษอีกด้วย …ทั้งหมดนี้ ต้องขอบคุณซางาระคุงที่คอยผลักดันฉัน
「คุณนานาเสะ วันที่ 25 ตอนกลางคืน เข้ากะได้ไหม?」
ตอนที่ฉันกำลังเปลี่ยนจากชุดยูนิฟอร์มของร้านเป็นชุดไปรเวท ผู้จัดการร้านก็เข้ามาถามด้วยน้ำเสียงที่ดูเกรงใจ
「เหมือนคนจะไม่พอ เลยอยากเพิ่มคนอีกสักหน่อย แต่น้องๆ คนอื่นดูเหมือนจะมีธุระกันหมดเลย ลำบากใจจัง」 ผู้จัดการร้านเป็นผู้หญิงวัยสามสิบกลางๆ ที่ดูใจดี สำเนียงคันไซแบบสบายๆ ต่างจากของซัจจัง ฟังดูน่ารักไปอีกแบบ
ฉันที่กำลังปล่อยผมที่มัดไว้อยู่ตอบกลับไปว่า 「ไม่มีปัญหาค่ะ」 ผู้จัดการถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
「ขอบใจมากนะ! แต่เกรงใจจัง นานาเสะจังก็เข้ากะวันที่ 24 ให้แล้ว ถ้าวันที่ 25 จะเข้าให้อีก ไม่ลองสลับมาพักวันที่ 24 แทนล่ะ?」
「เอ๊ะ? เข้าทั้งสองวันเลยค่ะ」
ฉันตอบกลับไปแบบนั้น ผู้จัดการก็ทำตาโต
「ขอบคุณมากเลยนะ แต่ว่า…ไม่เป็นไรแน่นะ? ไม่ไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ บ้างเหรอ?」
พอได้ยินแบบนั้น ฉันก็นึกขึ้นได้ วันที่ 25 ธันวาคม คือวันคริสต์มาสนี่นา ฉันมีนัดปาร์ตี้คริสต์มาสกับเพื่อนๆ อยู่เหมือนกัน แต่มันคือวันศุกร์ที่ 22 สึคุมิจังกับนามิจังบอกว่าจะไปเดตค้างคืนกับแฟนในวันคริสต์มาสอีฟ ส่วนซัจจัง เห็นว่าโฮวโจวคุงชวนไปไหนสักที่ แต่ฉันก็ไม่ได้ถามหรอกนะว่าเธอตอบไปยังไง
ส่วนฉันที่เพิ่งอกหักมาหมาดๆ นั้น… วันคริสต์มาสปีนี้ว่างเปล่าสุดๆ
「ไม่มีปัญหาค่ะ ให้ฉันทำงานเถอะนะคะ!」
「จริงเหรอ? งั้นก็ดีเลย ขอบคุณมากนะ」
「อ๊ะ นานาเสะจัง เข้ากะคืนวันคริสต์มาสด้วยเหรอ? ดีจัง อยู่กะเดียวกันเลย」
คุณชิบาตะ อัตสึชิ ที่กำลังเติมช้อนส้อมอยู่ที่หลังร้าน จู่ๆ ก็แทรกเข้ามาในบทสนทนา
คุณชิบาตะเป็นนักศึกษาปี 2 ที่เรียนมหาวิทยาลัยใกล้ๆ แถวนี้ เห็นว่าทำงานที่นี่มาปีกว่าแล้ว เป็นรุ่นพี่ที่ทั้งเฟรนด์ลี่และมนุษยสัมพันธ์ดี แต่บางครั้งก็ชอบทำตัวใกล้ชิดเกินงามไปหน่อย ฉันค่อนข้างระวังตัวอยู่เหมือนกัน เพราะได้รับคำเตือนจากเพื่อนผู้หญิงที่ทำงานพิเศษว่า 「ระวังอัตสึชิไว้หน่อยก็ดีนะ หมอนั่นน่ะเจ้าชู้」
「คุณชิบาตะก็ขอบคุณมากนะคะ ที่มาเข้ากะให้ทั้งๆ ที่เป็นวันคริสต์มาส」
「ไม่เป็นไรครับ! ปีนี้ผมไม่มีแฟน เพราะงั้นคริสต์มาสปีนี้ก็จะทำงานครับ! ถ้าได้ใช้เวลาช่วงคริสต์มาสกับนานาเสะจังล่ะก็ ยินดีสุดๆ เลย!」
ฉันยิ้มแห้งๆ กลับไปให้กับคำพูดของคุณชิบาตะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาแบบนี้ควรจะทำหน้ายังไงถึงจะถูก
…ซางาระคุงจะทำอะไรในวันคริสต์มาสนะ คงไปทำงานพิเศษเหมือนเคยนั่นแหละ หลังจากที่ฉันโดนซางาระคุงปฏิเสธ ฉันกับเขาก็ไม่ได้คุยอะไรกันเป็นชิ้นเป็นอันอีกเลย
ทั้งที่อพาร์ตเมนต์และที่มหาวิทยาลัย ฉันพยายามหลีกเลี่ยงการเจอหน้ากับซางาระคุง แม้แต่ตอนที่บังเอิญเจอกัน ก็ทำได้แค่ทักทายสั้นๆ เท่านั้น ก็ฉันยังตัดใจจากเขาไม่ได้เลยสักนิด อยู่ในสภาพแบบนี้จะให้คุยกันแบบปกติได้ยังไงล่ะ มีหวังความชอบที่มีต่อเขาได้เอ่อล้นออกมาจนทำให้เขาลำบากใจอีกแน่ๆ
…เฮ้อ ไม่ได้การละ ต้องรีบตัดใจจากความรู้สึกนี้ให้เร็วที่สุดภายในหนึ่งวัน แล้วกลับไปเป็นแค่เพื่อนข้างห้องเหมือนเดิมให้ได้
「ผู้จัดการคะ ฉันจะตั้งใจทำงานพิเศษค่ะ!」ฉันพูดพลางกำหมัดแน่น ผู้จัดการก็หัวเราะแล้วตอบว่า 「พึ่งพาได้เลยนะเนี่ย」
******
นับตั้งแต่วันที่ผมปฏิเสธนานาเสะไป ผมก็ได้กลับคืนสู่ชีวิตในมหาวิทยาลัยที่โดดเดี่ยว อิสระ และสะดวกสบาย
จนถึงตอนนั้น แทบจะเจอกันทุกวัน แต่พอนานาเสะไม่มาปรากฏตัวให้เห็น ความถี่ที่ได้ยินเรื่องราวของเธอก็ลดลงอย่างน่าประหลาด อันที่จริงถ้าอีกฝ่ายไม่พูดขึ้นมาก่อน ก็ไม่มีโอกาสได้ยุ่งเกี่ยวกันอยู่แล้ว ทุกครั้งที่ผมเห็นเธอในมหาวิทยาลัย เธอจะแต่งหน้ามาอย่างเป๊ะ เปล่งประกายออร่าความงามระยิบระยับ จนผมคิดไปว่า เด็กสาวที่ใส่แว่นหนาเตอะกับชุดวอร์ม ที่มักจะมาส่งยิ้มให้ผมตรงหน้า เป็นแค่ภาพลวงตา
เมื่อมองดูเธอจากที่ไกลๆ ช่างรู้สึกเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์ ทำให้ผมได้ตระหนักอีกครั้งว่า เธอเป็นคนละโลกกับผมจริงๆ
ช่วงกลางเดือนธันวาคม ใกล้กับวันหยุดฤดูหนาว
หลังจากจบคลาสเรียนที่สอง ผมนานๆ ทีจะมุ่งหน้าไปยังโรงอาหาร ช่วงพักเที่ยงโรงอาหารหมายเลข 2 ค่อนข้างคึกคัก ผมเดินผ่านกลุ่มนักศึกษาสาวสี่คนที่กำลังมองหาที่นั่งว่าง แล้วนั่งลงที่ที่นั่งเคาน์เตอร์ริมหน้าต่าง นี่ก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งของการเป็นคนไร้เพื่อน
ผมหักตะเกียบแยกออกจากกัน และได้ยินบทสนทนาของคู่รักที่นั่งอยู่ด้านหลัง ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังวางแผนเดท และได้ยินเสียงร่าเริงว่าอยากไปดูต้นคริสต์มาสที่สถานีเกียวโต
…จริงสิ อีกหนึ่งอาทิตย์ก็จะคริสต์มาสแล้วสินะ
ผมพึมพำในใจว่า “ทานอาหารล่ะนะครับ” แล้วพนมมือเข้าด้วยกัน จังหวะนั้นเองเก้าอี้ข้างๆ ก็ถูกเลื่อนออก ผมเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่ใส่ใจ และคนที่อยู่ตรงนั้นก็คือโฮวโจว
「ไง ซางาระ」
ถ้าทำเป็นเมินเฉยก็คงจะเสียมารยาท ผมเลยตอบกลับไปส่งๆ ว่า “ไง”
「ตรงนี้ นั่งได้ใช่มั้ย? แต่นั่งไปแล้วล่ะนะ」
「…ตามใจ」
หลังจากที่ผมเลิกคุยกับนานาเสะ ผมก็แทบไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับโฮวโจวอีกเลย นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่เขาเข้ามาทักทาย
บนถาดของโฮวโจวมีเซตอาหารประจำวันวางอยู่ อาหารจานหลักของวันนี้คือไก่ทอดนัมบัง น่าอิจฉาชะมัด ผมมองดูอุด้งเปล่าของตัวเองแล้วก็รู้สึกห่อเหี่ยว กว่าเงินเดือนจะออกก็อีกตั้งหนึ่งอาทิตย์
「จริงสิ ใกล้จะคริสต์มาสแล้วนี่นา ซางาระ มีแผนจะทำอะไรเหรอ?」
「ทำงานพิเศษ」
「นายเนี่ย ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ หัดวางแผนอะไรที่มันน่าสนุกหน่อยสิ อุตส่าห์เป็นวันคริสต์มาสทั้งที」
「วันคริสต์มาสเนี่ยนะ ไปที่ไหนก็มีแต่คน แย่จะตาย ทำไมทุกคนถึงได้ตื่นเต้นกันนักก็ไม่รู้ ไม่มีเหตุผลเลย」
การที่ผู้คนพากันคลั่งไคล้เทศกาลต่างๆ อย่างไม่มีเหตุผลเป็นนิสัยเสียของคนญี่ปุ่น เหมือนกับที่ปกติไม่เคยสนใจใยดี แต่พอถึงวันโดโยโนะอุชิโนะฮิ (วันแห่งการกินปลาไหล) กลับแห่กันไปกินปลาไหล ผมจะไม่ถูกกระแสสังคมพัดพาไปแบบนั้น และจะทำงานพิเศษอย่างขยันขันแข็งเหมือนทุกวัน
「เหรอ นานาเสะดูตื่นเต้นที่จะได้ไปปาร์ตี้คริสต์มาสกับซัจจังแล้วก็คนอื่นๆ ด้วยนะ นายจะพูดแบบนี้ต่อหน้านานาเสะได้เหรอ?」
ภาพของนานาเสะที่ตื่นเต้นดีใจที่จะได้ไปปาร์ตี้คริสต์มาสกับซัจจังและคนอื่นๆ ผุดขึ้นมาในหัว ราวกับว่าผมได้เห็นเหตุการณ์นั้นจริงๆ
…เรื่องพรรค์นั้น จะไปพูดทำลายบรรยากาศได้ยังไงเล่า
ถึงอย่างนั้น ชีวิตในมหาวิทยาลัยของนานาเสะก็ดูจะราบรื่นดี อันที่จริงตั้งแต่แรก เธอก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผมอยู่แล้ว ถ้าเธอมีความสุขก็ดีแล้วล่ะ
อุด้งพิเศษราคา 300 เยน ที่มีท็อปปิ้งเป็นแผ่นเต้าหู้ทอดมันเยิ้ม น้ำซุปนั้นค่อนข้างจืด ผมหยิบขวดพริกชิจิมิที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา แล้วโรยลงไปในอุด้ง
「จริงสิ ซางาระรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?」
「เรื่องอะไร」
「เห็นว่านานาเสะเพิ่งโดนสารภาพรักมาน่ะ」
ผมรู้สึกชาวาบไปทั้งหัวใจ ราวกับถูกมือเย็นเฉียบสัมผัส ตามมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดที่เอ่อล้นขึ้นมาจากก้นบึ้งของกระเพาะ
「…อ๋อ เหรอ ไม่เห็นเกี่ยวกับฉันเลยนี่…」
「ซางาระ นี่นายโรยพริกเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ? น้ำซุปแดงเถือกหมดแล้ว」
เมื่อได้ยินคำพูดของโฮวโจว ผมก็รู้สึกตัว รีบวางขวดพริกลงที่เดิม อุด้งตรงหน้าผมตอนนี้เปลี่ยนสีไปอยู่ในระดับเดียวกับเกมลงทัณฑ์แล้ว ทว่า มันก็คงไม่ถึงกับกินไม่ได้หรอกมั้ง ไม่สิ คงจะเผ็ดน่าดูเลย?
โฮวโจวหัวเราะขำเมื่อเห็นผมลังเลอยู่หน้าชามอุด้ง
「ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้」
「…เปล่า ไม่ได้ตกใจสักหน่อย」
อันที่จริง ไม่ว่านานาเสะจะถูกใครสารภาพรัก หรือจะคบกับใคร มันก็ไม่เกี่ยวกับผมอยู่แล้ว ผมไม่มีสิทธิ์ไปพูดอะไรทั้งนั้น
ผมรวบรวมความกล้า แล้วตักอุด้งเข้าปาก และก็สำลักในวินาทีต่อมา อ่า ไม่ไหวจริงๆ ด้วย
「ได้ยินมาว่าปฏิเสธไปตามปกติน่ะ บอกว่าตอนนี้ยังไม่คิดเรื่องพวกนั้น」
เมื่อได้ยินคำพูดของโฮวโจว ผมก็แอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็อยากจะด่าตัวเองที่รู้สึกวางใจขึ้นมา นี่ผมคิดว่าตัวเองเป็นใคร
「แต่ก็นะ ใกล้จะคริสต์มาสแล้วนี่นา ช่วงนี้รอบตัวก็มีแต่คู่รักเพิ่มขึ้นเยอะแยะเลย ฉันคิดว่ายังมีคนอื่นๆ ที่เล็งนานาเสะอยู่อีกเพียบเลยล่ะ」
「…นายจะพูดอะไรกันแน่」
「ฉันก็แค่จะบอกว่า ถ้านายมัวแต่ทำตัวซึนอยู่แบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะ」
ผมแกล้งทำเป็นไม่สนใจ แล้วก็ซู้ดเส้นอุด้งเข้าปาก เผ็ดชะมัดจนน้ำตาไหลออกมานิดๆ เลย
「สายไปแล้วก็อย่ามาโทษกันนะ」
「…แล้วนายล่ะเป็นไงบ้าง」
ผมตั้งใจพูดประชดออกไป แต่โฮวโจวกลับยิ้มอย่างมีเลศนัย
「ฉันน่ะเหรอ จะไปเดทกับซัจจังในวันคริสต์มาสล่ะ คิดว่าจะสารภาพรักกับเธอสักที」
ผมตอบกลับโฮวโจวที่พูดออกมาแบบนั้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า 「เหรอ」 จังหวะที่ซู้ดเส้นอุด้ง พริกก็ดันเข้าหลอดลม ทำให้ผมสำลักอีกครั้งอย่างแรง
******
วันที่ 25 ธันวาคม คืนวันคริสต์มาส
「ขอบคุณมากค่า!」
ฉันถอนหายใจ หลังจากส่งลูกค้ารายสุดท้ายเสร็จ เปลี่ยนป้ายที่แขวนอยู่ตรงประตูเป็น 「ปิด」 แล้วเก็บป้ายตั้งพื้นหน้าร้านเข้ามาด้านใน
ในวันคริสต์มาส ฉันมีกะทำงานพิเศษตั้งแต่หนึ่งทุ่มถึงห้าทุ่ม ร้านปิดตอนสี่ทุ่ม ดังนั้นเวลาที่เหลืออีกหนึ่งชั่วโมงคือการทำความสะอาดร้าน ล้างอุปกรณ์ต่างๆ และเก็บกวาด
「คู่สุดท้ายนั่น อยู่จนร้านปิดเลยเนอะ คงไม่อยากแยกกันล่ะสิ」
คุณชิโนซากิ เอมิ ที่เป็นรุ่นพี่เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ ตอนที่ฉันกลับไปที่เคาน์เตอร์ของร้าน เธอเป็นรุ่นพี่ที่ฉันแอบปลื้มมาตั้งแต่ก่อนเริ่มทำงานพิเศษ เป็นผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งสง่า พอได้รู้จักกันจริงๆ คุณเอมิก็เป็นคนที่ทั้งทำงานเก่งและใจดี ฉันจึงชอบเธอขึ้นมาในทันที
「จริงด้วยค่ะ แล้ววันนี้ก็ยุ่งสุดๆ ไปเลย」
「นั่นสินะ ก็วันคริสต์มาสนี้ ให้อภัยพวกเขาเถอะ」
ใกล้ๆ กับคาเฟ่เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และที่นั่นก็มีการประดับไฟขนาดใหญ่ ช่วงประมาณสามทุ่ม คู่รักหลายคู่จะแวะมาที่ร้าน คงจะเป็นแพลนเดทตามสูตรสำเร็จ คือไปดูไฟประดับ ทานข้าวเย็น แล้วก็มาต่อที่คาเฟ่สินะ สักวันฉันเองก็อยากจะมีเดทที่แสนวิเศษกับคนที่ชอบบ้างจัง
…ตอนนั้น ถ้าคนที่อยู่ข้างๆ เป็นซางาระคุงก็คงจะดี
แต่ถ้าเป็นซางาระคุงล่ะก็ คงจะพูดประมาณว่า 「ทำไมต้องถ่อไปในที่ที่คนเยอะๆ ด้วย」
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่สุดท้ายก็ยอมมากับฉันอยู่ดี พอจินตนาการไปแบบนั้น ฉันก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา นี่ฉันยังตัดใจจากเขาไม่ได้เลยสินะ
ตอนที่ฉันกำลังแอบเศร้าอยู่ คุณเอมิก็เรียกฉันว่า 「ฮารุโกะจัง」
「หลังจากนี้ว่างไหม ดึกแล้วแต่ว่า… ไปกินข้าวกันไหม?」
「เอ๊ะ ดะ ได้เหรอคะ?」
「กลับบ้านไป ก็นั่งดื่มคนเดียวมันเหงาหน่ะ ดึกหน่อยไม่เป็นไรใช่ไหม?」
「ไม่เป็นไรค่ะ ไปแน่นอนค่ะ! เอาล่ะ รีบเก็บกวาดร้านกันเถอะ!」
ถึงแม้ว่าฉันกับคุณเอมิจะมีกะทำงานตรงกันบ่อยๆ แต่ก็ยังไม่เคยไปกินข้าวด้วยกัน หรือไปเที่ยวด้วยกันเลย ฉันรีบจัดการล้างจานอย่างกระตือรือร้น เพราะไม่อยากพลาดโอกาสนี้
「คุณเอมิกับนานาเสะจังจะไปดื่มกันเหรอครับ? ขอผมไปด้วยได้มั้ย?」
คุณชิบาตะที่ได้ยินบทสนทนาของเราจากที่ไหนสักแห่ง ก็แทรกตัวเข้ามาระหว่างเราสองคน
คุณเอมิเหลือบมองมาที่ฉัน แล้วถามว่า 「เอายังไง?」 ความจริงฉันอยากไปกับคุณเอมิแค่สองคน แต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะปฏิเสธไปตรงๆ
「…ค่ะ」
「เย้! ผมรู้จักร้านยากิโทริอร่อยๆ ด้วยนะ เดี๋ยวโทรไปถามให้ว่าร้านเปิดอยู่มั้ย」
คุณชิบาตะพูดจบก็เดินกลับไปหลังร้าน คุณเอมิหันมาทางฉัน แล้วส่งสายตาวิบวับ ดูเจ้าเล่ห์นิดๆ
「ฮารุโกะจัง เดทสองต่อสอง ไว้วันหลังนะ」
หัวใจของฉันเต้นรัวเมื่อโดนคุณเอมิวิงค์ใส่ คุณเอมินี่สุดยอดจริงๆ
สุดท้าย พวกเราก็กินข้าวอยู่ที่ร้านยากิโทริจนถึงประมาณตีสอง ร้านที่คุณชิบาตะแนะนำ บรรยากาศดีและอาหารก็อร่อย
「งั้น ฉันแยกตรงนี้นะ อัตสึชิคุง ช่วยไปส่งฮารุโกะจังดีๆ ด้วยล่ะ」
คุณเอมิพูดขึ้นที่หน้าแมนชั่นตรงนิชิโอจิโกะโจ
ทั้งๆ ที่คุณเอมิดื่มไปเยอะมาก แต่สีหน้าก็ยังดูปกติ ส่วนคุณชิบาตะที่ตอบกลับมาว่า 「คร้าบ」 ก็ดูเหมือนทุกที
「แล้วก็อย่าทำอะไรแปลกๆ กับฮารุโกะจังที่น่ารักของฉันด้วยล่ะ เข้าใจไหม」
「ไม่ทำหรอกครับ ไม่เชื่อใจกันเลยน้า」
คุณชิบาตะพูดพลางหัวเราะแห้งๆ คุณเอมิจับเข้าที่แขนของเขา แล้วขู่ด้วยน้ำเสียงที่ต่ำกว่าปกติหนึ่งอ็อกเทฟ
「ขอเตือนไว้ก่อนนะ …ถ้าแกแตะต้องฮารุโกะจัง ฉันฆ่าแกแน่」
「คะ ครับ รับทราบครับ」
หน้าของคุณชิบาตะซีดเผือด และน้ำเสียงก็สั่นเล็กน้อยตอนที่ตอบกลับไป
ฉันยืนส่งจนคุณเอมิหายลับตาไป จากนั้นฉันกับคุณชิบาตะก็เริ่มเดินเคียงข้างกัน อาจเป็นเพราะกิตติศัพท์เรื่องความเจ้าชู้ของเขา การอยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้เลยทำให้ฉันรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ลมหนาวที่พัดผ่า ช่างเย็นยะเยือก ฉันซุกหน้าลงกับผ้าพันคอ พร้อมกับตัวสั่นเทา
「นานาเสะจัง หนาวเหรอ จับมือกันไหม?」
ฉันตอบปฏิเสธคุณชิบาตะที่ยื่นมือซ้ายออกมาอย่างหนักแน่นว่า 「ไม่เป็นไรค่ะ」 แล้วเอามือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ท กำหมัดแน่น ตั้งใจว่าจะไม่เปิดช่องว่างให้เด็ดขาด
หลังจากนั้นประมาณห้านาที พวกเราก็เดินมาถึงหน้าอพาร์ตเมนต์ของฉัน คุณชิบาตะทำหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นสภาพภายนอกของอพาร์ตเมนต์เก่าๆ โทรมๆ
「เฮ~ อยู่หอพักแบบนี้เหรอเนี่ย ดูไม่ค่อยเหมือนนานาเสะจังเลยนะ」
「ขอบคุณที่มาส่งนะคะ เดินทางกลับดีๆ นะคะ」
ฉันก้มหัวลงเล็กน้อย คุณชิบาตะจ้องมองมาที่ฉันด้วยสายตาร้อนแรง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็จับเข้าที่แขนของฉันอย่างแรง
ฉันตกใจ พยายามสะบัดออก แต่แรงเยอะมากจนฉันขยับตัวไม่ได้เลย
******
ผมกำลังให้บริการลูกค้าด้วยแววตาที่ว่างเปล่า ในขณะที่บนหัวสวมหมวกซานตาคลอส
ตั้งใจทำงาน กดเครื่องคิดเงิน และก้มหัวพูดว่า 「ขอบคุณครับ」 โดยไร้ความรู้สึก
「ขอบคุณค่า! เมอร์รี่คริสต์มาส!」
คุณอิโตคาวะที่กำลังคิดเงินอยู่ข้างๆ ดูกระตือรือร้น หมวกซานตาคลอสสีแดงสด ช่างเหมาะกับผู้หญิงที่มีอัธยาศัยดีและสดใส
คืนวันที่ 25 ธันวาคม ผมมีกะทำงานพิเศษตามที่คาดไว้
ดูเหมือนว่าจะมีคนไม่กี่คนที่เต็มใจมาทำงานพิเศษในวันคริสต์มาส ผู้จัดการร้านจึงรู้สึกขอบคุณผมมาก ผมเองก็อยากได้เงิน แถมยังไม่มีแผนจะไปไหน เลยไม่ได้ติดใจอะไรกับการต้องมาทำงานในวันคริสต์มาส
แต่การที่ต้องมาสวมหมวกซานตาคลอสนี่ มันเหนือความคาดหมายไปหน่อย ถ้าเป็นคุณอิโตคาวะก็ว่าไปอย่าง แต่ลูกค้าคงไม่ได้รู้สึกสนุกสนานอะไรกับการที่เห็นผู้ชายท่าทางเฉยชามาสวมหมวกซานต้าหรอก
…อย่างน้อย ก็ยังดีกว่าการถูกบังคับให้ใส่ชุดแพนด้าขึ้นเวทีประกวดล่ะนะ
ตั้งแต่ช่วงเย็น ลูกค้าก็ยังคงทยอยเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ยุ่งมากเมื่อเทียบกับช่วงดึก อาจเป็นเพราะมีการจัดปาร์ตี้คริสต์มาสกันอยู่หลายที่ ทั้งไก่ทอด ขนม เหล้า และกับแกล้มขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ส่วนเค้กก็ขายได้เรื่อยๆ
ผมยืนมองคู่รักที่จับมือกันเดินออกจากร้านไป หลังจากซื้อไก่ทอดสองชิ้น แล้วก็คิดถึงนานาเสะขึ้นมา ไม่แน่ว่าตอนนี้เธออาจจะกำลังฉลองคริสต์มาสกับผู้ชายคนอื่นที่ผมไม่รู้จักอยู่ก็ได้ แค่จินตนาการไปแบบนั้น ผมก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา
「โอ๊ย เหนื่อยจัง วันนี้ยุ่งมากเลยเนอะ」
คุณอิโตคาวะพูดขึ้นพร้อมกับบิดขี้เกียจ เมื่อไม่มีลูกค้าเข้ามาในร้านแล้ว
「เค้กเหลือเยอะเหมือนกันนะ ลดราคาอีกหน่อยดีกว่า」
เค้กคริสต์มาสเป็นของสด พอถึงวันที่ 26 ก็แทบจะขายไม่ออก สุดท้ายแล้วก็เลยต้องขายในราคาที่แทบจะเหมือนขายทิ้ง ดูเหมือนว่าผู้จัดการจะสั่งไว้ว่าให้ลดราคาลง เพื่อให้ขายหมด
「ซางาระคุง หมดกะแล้วใช่ไหม? เดี๋ยวฉันซื้อเค้กให้」
「ขอบคุณครับ」
คิดดูแล้ว อิโตคาวะซังเป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่ผมดีมาก แม้ว่าผมจะดูเป็นคนไม่มีมนุษยสัมพันธ์ ตอนที่เข้าเดือนธันวาคม เธอก็เห็นว่าผมยังใส่แค่เสื้อพาร์ก้าตัวเดียวอยู่เลย เธอก็เลยให้เสื้อแจ็คเก็ตดาวน์สีดำกับผม โดยบอกว่า 「แฟนฉันอ้วนขึ้นจนใส่ไม่ได้แล้ว ฉันให้เธอละกัน」 ช่างเป็นคนดีเกินไปหรือเปล่านะ ผมรู้สึกว่าถ้าไม่มีคุณอิโตคาวะกับนานาเสะ ป่านนี้ผมคงอดตายไปนานแล้ว
「กินหมดเหรอ เค้กทั้งก้อนเนี่ย? อืม แต่ยังวัยรุ่นอยู่ คงกินได้แหละเนอะ กำลังอยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน」
ผมยิ้มแห้งๆ ให้กับคำพูดของอิโตคาวะซัง ทำไมพวกนักศึกษามหาวิทยาลัยถึงชอบมองว่ารุ่นน้องที่อายุต่างกันแค่ 2-3 ปี เป็นเด็กอายุน้อยกว่ามากนักนะ
「ผมกินของหวานไม่ค่อยเก่งน่ะครับ ขอเป็นชิ้นเล็กๆ ดีกว่า」
「เอ๋ จริงเหรอ? ถ้างั้นก็แบ่งกับเพื่อนข้างห้องเธอกินสิ」
ผมก้มหน้าลง ไม่พูดอะไร เรื่องแบบนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว
ผมรับเค้กจากอิโตคาวะซัง และพูดว่า「เหนื่อยหน่อยนะครับ」แล้วเดินออกจากร้าน
วันที่เปลี่ยนไปแล้ว คริสต์มาสก็จบลงไปนานแล้ว แม้จะยังเห็นคู่รักอยู่บ้าง แต่บรรยากาศที่คึกคักในเมืองก็ดูเหมือนจะสงบลงแล้ว ถึงจะเป็นวันคริสต์มาส แต่ก็เป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่ง
เมื่อเดินมาถึงใกล้ๆ อพาร์ตเมนต์ ผมก็ได้ยินเสียงผู้ชายกับผู้หญิงกำลังทะเลาะกัน นี่คงทะเลาะกันเรื่องรักๆ ใคร่ๆ สินะ รู้สึกเอือมระอาชะมัด กะว่าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วเดินผ่านไป
「ไม่ค่ะ ได้โปรด กลับไปเถอะค่ะ」
แต่เสียงผู้หญิงที่ฟังดูจนตรอกนั้น กลับเป็นเสียงที่ผมคุ้นหู
ทันใดนั้น หัวใจของผมก็เต้นรัว รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี จึงรีบวิ่งไปยังอพาร์ตเมนต์ และภายใต้แสงไฟริมทาง ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังโอบไหล่ผู้หญิง
ลางสังหรณ์ของผมเป็นจริง คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือนานาเสะ เธอกำลังพยายามหันหน้าหนี และพยายามดิ้นให้หลุดจากผู้ชายคนนั้น เมื่อเห็นภาพนั้น ความรู้สึกโกรธจนแทบคลั่งก็แล่นพล่านเข้ามาในตัวผม
「นานาเสะ!」
ผมตะโกนเรียกชื่อเธอด้วยเสียงที่ดังกว่าทุกครั้ง
นานาเสะเบิกตากว้างเมื่อเห็นผม และแสดงสีหน้าโล่งอกออกมา ริมฝีปากของเธอขยับ เหมือนจะพูดว่า ซางาระคุง
「ทำอะไรน่ะ」
เมื่อมีบุคคลที่สามปรากฏตัวขึ้น ผู้ชายคนนั้นก็ดูจะชะงักไปเล็กน้อย นานาเสะสะบัดมือออกจากผู้ชายคนนั้น วิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังผม ผู้ชายคนนั้นสบถอย่างหัวเสีย 「…เพื่อนเหรอ? หรือว่าแฟนของนานาเสะจัง?」
ผมลังเล ไม่รู้ว่าควรตอบยังไง ผมไม่ใช่เพื่อนของนานาเสะ และไม่ใช่แฟนของเธอด้วย เป็นแค่เพื่อนข้างห้องที่บังเอิญเดินผ่านมาเท่านั้น
นานาเสะกำชายเสื้อของผมแน่น ราวกับต้องการที่พึ่งพิง เมื่อเห็นนิ้วมือของเธอที่ขาวซีด ผมก็ตัดสินใจ
「…แฟนครับ」
ผู้ชายคนนั้นดูจะชะงักไป ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ผมไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอย รีบเดินผ่านผู้ชายคนนั้นไปอย่างรวดเร็ว แล้วจูงมือนานาเสะขึ้นบันไดอพาร์ตเมนต์
ผมคิดว่าคงไม่ดีแน่ถ้านานาเสะถูกรู้ว่าห้องไหน เลยดันเธอเข้าไปในห้องของผมก่อน ใช้มือปิดประตูและล็อก จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ภายในห้องที่สลัว นานาเสะตัวสั่นเทา คงไม่ใช่เพราะความหนาวอย่างเดียวแน่ๆ
「เมื่อกี้ ใครเหรอ?」
「รุ่นพี่ ที่ทำงานพิเศษ…」
「ถูกตามตื๊อเหรอ?」
「มะ ไม่ใช่อย่างนั้น คือ…」
ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น แล้วมันคืออะไรกันล่ะ แบบนั้นมันลวนลามชัดๆ เมื่อนึกถึงภาพเมื่อครู่ ผมก็รู้สึกโกรธขึ้นมาอีก
「นานาเสะ เพราะเธอเอาแต่ยิ้มแย้มตลอดเวลา ก็เลยโดนคนพวกนั้นเอาเปรียบไม่ใช่หรือไง หัดรู้จักปฏิเสธบ้างสิ」
เมื่อได้ยินคำพูดของผม นานาเสะก็ทำท่าจะร้องไห้ เธอก้มหน้า และเม้มริมฝีปากแน่น
แย่แล้ว พูดแรงเกินไป แบบนี้มันก็เหมือนกับว่านานาเสะเป็นคนผิด ทั้งๆ ที่คนที่ผิดคือผู้ชายคนนั้นต่างหาก
「…เอ่อ ไม่ โทษที คือไม่ใช่ว่านานาเสะผิดนะ」
เมื่อผมพูดออกไปแบบนั้น นานาเสะก็เช็ดน้ำตาป้อยๆ แล้วค่อยๆ เริ่มเล่า
「ฉันไปกินข้าวกับรุ่นพี่ที่ทำงานพิเศษมาสามคนน่ะ ไม่ได้ไปกับเขาแค่สองคนนะ …พอกลับมาส่ง จู่ๆ เขาก็ขอขึ้นมาบนห้อง」
「หา?」
「พะ พยายามปฏิเสธแล้ว แต่เขาจับแขนฉันไว้ มะ มันแรงมาก สะบัดยังไงก็ไม่หลุด…」
…ไอ้ สาระเลวเอ๊ย
แค่ได้ฟังเรื่องราว ผมก็รู้สึกโกรธจนควันออกหู ควรจะแจ้งตำรวจจริงๆ สินะ
นานาเสะเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาคลอเบ้า
「ขอบคุณนะ …ที่มาช่วย…」
นานแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าเธอตรงๆ แบบนี้ แต่ก็ไม่ได้อยากเห็นตอนที่เธอกำลังร้องไห้สักหน่อย คิดดูแล้ว ช่วงนี้ผมก็เห็นแต่นานาเสะในตอนที่ร้องไห้ตลอดเลยนี่นา ไม่สิ คนที่ทำเธอร้องไห้เมื่อคราวก่อนก็คือผมเอง พอนึกขึ้นได้แบบนั้น ก็รู้สึกผิดจนเจ็บแปลบที่หน้าอก
ครั้งนี้ผมจะมีสิทธิ์ปลอบเธอหรือเปล่านะ
ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะหลังของนานาเสะเบาๆ สองสามที ร่างบอบบางนั้นยังคงสั่นเทาเล็กน้อย สักพักนานาเสะก็เงยหน้าขึ้นมามองผมทั้งน้ำตา 「…ซางาระคุง ฉะ ฉันมีเรื่องอยากจะขอ」
「อะไรล่ะ」
「…ขอกอด ได้มั้ย?」
「…ห๊ะ…หาาาาา?」
ผมถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว จนหัวกระแทกเข้ากับผนังอย่างจัง เกิดเสียงดัง กึก! รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที
…เดี๋ยวนะ นี่ผู้หญิงคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย!
ตอนนี้เป็นเวลากลางดึก ที่นี่คือห้องของผม และเราอยู่กันสองต่อสอง ทั้งๆ ที่เพิ่งจะโดนผู้ชายลวนลามมาแท้ๆ แต่กลับไม่มีความระแวดระวังภัยเลยสักนิด
「พะ พูดบ้าอะไรของเธอน่ะ!」
「ตะ แต่ว่า ถ้าฉันกลับไปที่ห้องตอนนี้ คงนอนไม่หลับแน่ๆ มันรู้สึกขยะแขยง อยากจะให้ความรู้สึกหลายๆ อย่าง ถูกซางาระคุงเขียนทับ หรืออะไรทำนองนั้น…」
เดี๋ยวก่อน นี่เธอกำลังพูดอะไรออกมาเนี่ย เข้าใจความหมายของคำพูดตัวเองหรือเปล่า ไม่คิดบ้างเหรอว่าผมได้ยินแล้วจะคิดยังไง รู้สึกปวดหัวตึบๆ ขึ้นมา เมื่อเห็นผมสับสน นานาเสะก็ก้มหน้าลงอย่างหงอยๆ
「…ขอโทษนะ พูดอะไรแบบนี้ออกไป คงลำบากใจสินะ…」
ผมครุ่นคิด แม้ว่ามันจะเป็นคำขอที่ไร้สามัญสำนึก แต่การปล่อยให้เธอกลับไปทั้งๆ ที่ยังตัวสั่นอยู่แบบนี้ก็คงจะน่าสงสาร ไอ้บ้าเอ๊ย แล้วจะทำตัวให้ความหวังเธอไปทำไมอีกวะ เอาเลยสิ คิดซะว่าโชคดีก็แล้วกัน ทั้งเหตุผลและสัญชาตญาณในหัวของผมกำลังต่อสู้กันเอง เอะอะโวยวาย หนวกหู เงียบไปเลย
「…งั้น แค่สิบวิ」
สุดท้าย ผมก็พ่ายแพ้ให้กับความต้องการของตัวเอง แต่ว่าแค่สิบวินาทีเท่านั้นนะ นานกว่านั้น ผมคงควบคุมสติไม่อยู่
นานาเสะแสดงสีหน้าดีใจ เมื่อผมกางแขนออก
「อะ เอ๊ะ? ดะ ได้เหรอ?」
「อืม ได้ รีบๆ เข้า มันน่าอาย」
「ขะ ขออนุญาติค่ะ!」
นานาเสะพูดอย่างสุภาพ แล้วก็โผเข้ากอดผมอย่างแรง
แขนเรียวเล็กโอบรอบแผ่นหลังของผม แม้จะผ่านเสื้อหนาๆ แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความนุ่มนิ่มของร่างกาย กลิ่นหอมหวานอบอวลอยู่ในจมูก อุณหภูมิร่างกายของผมพุ่งสูงขึ้น และหัวใจก็เต้นแรงขึ้น ผมรู้สึกได้ว่าเลือดสูบฉีดไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่หัวจรดเท้า นานาเสะหลับตา และซบศีรษะลงบนอกของผม แขนของผมกระตุกโดยไม่รู้ตัว
อยากกอดเธอ
ผมพยายามขับไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัว จับไหล่ทั้งสองข้างของนานาเสะ แล้วดึงเธอออกมา
「อ่ะ ครบสิบวิแล้ว พอ」
ผมพูดออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นานาเสะยังคงดูอาลัยอาวรณ์ และค่อยๆ ขยับตัวออกห่าง แก้มของเธอแดงระเรื่อ และมองมาที่ผมอย่างเขินอาย
「ซางาระคุง ขอบคุณนะ เขียนทับความรู้สึกได้แล้วล่ะ」
…ไม่รู้เลยสินะว่าผู้ชายที่เธอกอดเมื่อกี้ กำลังคิดอะไรอยู่ ยังจะมาขอบคุณอีก
ความร้อนบนใบหน้าของผมไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย หัวใจก็เต้นแรงจนน่ารำคาญ
พอคิดว่าจะมีคนอื่นได้กอด ได้สัมผัส ได้กลิ่นหอมๆ ของเธอล่ะก็ มันช่างทรมานจนแทบทนไม่ไหว
ตอนนั้นเอง ผมก็ตระหนักได้ถึงความคิดที่เห็นแก่ตัวภายในใจ แต่ผมก็กลืนมันลงไป แล้วหยิบถุงของร้านสะดวกซื้อขึ้นมา
「…นานาเสะ มากินเค้กคริสต์มาสด้วยกันเถอะ เค้กที่ขายไม่หมดจากที่ทำงานพิเศษน่ะ」
「อื้ม กิน!」
นานาเสะพูดพร้อมกับรอยยิ้มไร้เดียงสา
ผมเปิดไฟในห้อง แล้วกดสวิตช์เปิดฮีตเตอร์ไฟฟ้าเก่าๆ ที่วางอยู่ตรงมุมห้อง ถึงข้างนอกจะยังหนาวอยู่ แต่ถ้าอยู่ด้วยกันสองคน ก็คงจะอุ่นขึ้นบ้าง นานาเสะหั่นเค้กอย่างสวยงาม แล้ววางลงบนจาน บนโต๊ะมีเค้กจากร้านสะดวกซื้อ และชาใส่แก้วสองใบ ช่างเป็นบรรยากาศที่จืดชืดเกินกว่าจะเรียกว่าปาร์ตี้คริสต์มาส อย่างน้อยผมน่าจะซื้อเครื่องดื่มมาด้วย
นานาเสะตักเค้กเข้าปากคำหนึ่ง แล้วก็แสดงสีหน้าดีใจ
「อร่อยจัง!」
「…ขอโทษทีนะ มันก็แค่เค้กจากร้านสะดวกซื้อ」
「ไม่เลย ดีใจจัง เดี๋ยวนี้ขนมหวานในร้านสะดวกซื้อนี่สุดยอดเลยเนอะ!」 นานาเสะใช้ส้อมตักเค้กเข้าปาก ริมฝีปากที่โค้งมนอย่างมีความสุขนั้น แดงระเรื่อเหมือนกับสตรอว์เบอร์รี่บนเค้ก ผมเผลอมองเธอโดยไม่รู้ตัว ดวงตาคู่โตหันมาสบตากับผม ทำให้หัวใจที่เริ่มสงบลง เต้นแรงขึ้นมาอีก
「ซางาระคุง …ขอบคุณนะสำหรับวันนี้ ขอโทษที่พูดอะไรแปลกๆ ออกไป ฉันจะพยายาม รีบจัดการกับความรู้สึกตัวเองให้เร็วที่สุด」
นานาเสะพูดแบบนั้น แล้วฝืนยิ้มออกมา รอยยิ้มที่ดูเจ็บปวด ทำให้ผมรู้สึกผิดจนแทบจะทนไม่ไหว พูดกันตามตรง นานาเสะไม่ได้ผิดอะไรเลยสักนิด เหตุผลที่ผมไม่สามารถรับความรู้สึกของเธอได้นั้น มันเป็นที่นิสัยอันแสนจะยุ่งยากของผมเอง
「…ไม่ใช่ความผิดของนานาเสะหรอก นี่มัน…เป็นปัญหาของฉันเอง」
「ปัญหาเหรอ?」
ผมพูดอะไรไม่ออก ผมไม่เคยเปิดเผยเรื่องราวภายในใจที่ทั้งน่าสมเพชและน่าอับอายให้ใครฟังมาก่อน เลยไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงคำพูดยังไง
นานาเสะดูเหมือนจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะรอฟังคำตอบ เธอกลับไปกินเค้กต่อ 「อร่อยจัง」 เธอยิ้มให้ ผมก็เลยตอบกลับไปตรงๆ ว่า 「อืม」
ทำไมเค้กที่ขายไม่หมดจากร้านสะดวกซื้อ ที่กินกันในอพาร์ตเมนต์เก่าๆ โทรมๆ ตอนกลางดึก ถึงได้อร่อยขนาดนี้กันนะ ผมรู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว
「อ๊ะ หิมะตกเหรอเนี่ย? ว่าแล้วทำไมถึงได้หนาว」
นานาเสะลุกขึ้นยืนและมองออกไปนอกหน้าต่าง ภายใต้ความมืดมิดยามค่ำคืน เกล็ดหิมะสีขาวโปรยปรายลงมาอย่างแผ่วเบา
「ตั้งแต่มาเกียวโต เพิ่งเคยเห็นหิมะตกเป็นครั้งแรกเลย ปีนี้หิมะแรกเลยนะเนี่ย」
นานาเสะหันมายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ทันทีที่เห็นรอยยิ้มนั้น ความคิดที่เพิ่งจะสำนึกได้เมื่อครู่ ก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
…ฉันไม่อยากให้นานาเสะคบกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน
ถ้าพูดอะไรแบบนั้นออกไป มีหวังโดนสุโด้ต่อยแน่ๆ ผมกลืนสตรอว์เบอร์รี่รสหวานอมเปรี้ยวลงไป พร้อมกับความสับสนในใจ
******
หลังจากวันคริสต์มาสผ่านพ้นไป มหาวิทยาลัยก็เข้าสู่ช่วงปิดเทอมฤดูหนาว ฉันนั่งเขียนรายงานอยู่ที่โต๊ะในห้อง หน้าสด สวมแว่นตา ใส่ชุดวอร์มทับด้วยเสื้อฮันเทน ถึงแม้ว่าสภาพนี้จะให้ใครเห็นไม่ได้ แต่ฉันคิดว่าการแต่งตัวแบบนี้แหละสบายที่สุดเวลาเรียนหนังสือ
ขณะที่ฉันกำลังตั้งอกตั้งใจพิมพ์งานอยู่ เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น ฉันหยุดพิมพ์งาน หยิบหน้ากากอนามัยมาใส่อย่างน้อยก็เพื่อป้องกันตัว แล้วเดินไปเปิดประตูอย่างเกียจคร้าน “พัสดุครับ รบกวนเซ็นรับด้วยครับ”
ฉันเซ็นชื่อด้วยปากกาลูกลื่น แล้วรับพัสดุกล่องใหญ่มา จากผู้ส่งคือแม่ของฉันที่อยู่ต่างจังหวัด บนกล่องกระดาษแข็งเขียนด้วยปากกามาร์คเกอร์สีดำว่า [ของฝากจากที่บ้าน]
ตั้งแต่ฉันย้ายมาเกียวโต ที่บ้านก็จะส่งพัสดุมาให้ฉันเป็นครั้งคราว ในกล่องก็จะมี ข้าวสาร ผัก ซุปมิโซะสำเร็จรูป บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมที่ฉันชอบ และอื่นๆ
แต่ครั้งนี้ นอกจากของพวกนั้นแล้ว ยังมี holiday collection ของแบรนด์ที่ฉันใฝ่ฝันอยากได้ มีการ์ดที่เขียนว่า [ของขวัญคริสต์มาสให้ฮารุโกะ] ลายมือแบบนี้เป็นของพี่สาวฉันแน่ๆ อายแชโดว์และบลัชออนสีสันสดใส ทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้น
หลังจากส่ง LINE ไปขอบคุณครอบครัวและญาติๆ แล้ว ฉันก็เดินไปที่ริมหน้าต่าง เปิดผ้าม่าน แล้วมองออกไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย ดูเหมือนว่าวันนี้ซางาระคุงก็ไปทำงานพิเศษอีกแล้ว เขาใกล้จะกลับหรือยังนะ ฉันเผลอคิดไปแบบนั้น และมองหาร่างของเขาโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ถ้าเป็นเวลานี้ ก็คงเอาข้าวเย็นไปให้ไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปเจอเขา ถ้ามีเหตุผล ฉันก็อยากจะไปเจอเขาได้ทุกเมื่อตามที่ใจต้องการ ฉันคิดอะไรที่มันไร้ยางอาย ทั้งๆ ที่เพิ่งโดนปฏิเสธมาแท้ๆ
…อะไรคือสิ่งที่ฝังรากลึกในตัวตนของซางาระคุง ที่ทำให้เขาเป็นคนรักสันโดษแบบนี้กันนะ
ว่าไปแล้ว ครั้งแรกที่ซางาระคุงปฏิเสธฉัน ก็คือตอนที่ฉันเล่าเรื่องครอบครัว ปัญหาที่เขาเผชิญอยู่ คงจะอยู่ที่ตรงนั้นแน่ๆ ตอนนี้ซางาระคุงก็ยังคงปิดใจตัวเอง ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว โดยไม่ข้องเกี่ยวกับใคร
ถ้าหากซางาระคุงปรารถนาโลกแห่งการอยู่คนเดียวจริงๆ ล่ะก็ ฉันเองก็คิดว่ามันก็ไม่ได้แย่อะไรหรอกนะ ถ้าเขาอยากอยู่คนเดียวจากก้นบึ้งของหัวใจ (ถึงแม้ว่ามันจะเหงาก็ตาม) ฉันก็จะไม่ไปขัดขวางเขา
…แต่ การที่ซางาระคุงต้องทนทุกข์ทรมาน… ฉันไม่ชอบเลย
ทั้งตอนที่ปฏิเสธ ผลักไสฉัน และตอนที่บอกว่า “นี่เป็นปัญหาของฉันเอง” ซางาระคุงก็ดูเจ็บปวดมาโดยตลอด
ต่อให้ฉันกลายเป็นสาวสวย มีเพื่อนมากมาย และได้ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีความสุข แต่ถ้าซางาระคุงไม่มีรอยยิ้ม ชีวิตในมหาวิทยาลัยของฉันก็คงจะไม่สดใส
ซางาระคุงบอกว่าที่ให้ความร่วมมือกับฉัน ก็เพื่อปกป้องชีวิตในมหาวิทยาลัยอันแสนสันโดษของเขา ถ้างั้น ฉันก็จะช่วยซางาระคุง เพื่อให้ฉันได้มีชีวิตในมหาวิทยาลัยอันแสนสดใส
ตอนนั้นเอง ฉันก็มองเห็นร่างของซางาระคุงที่อยู่นอกหน้าต่าง เขากำลังถูกแสงไฟจากเสาไฟส่อง เขาใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีดำ กลมกลืนไปกับความมืดยามค่ำคืน แต่ดวงตาของฉันกลับมองเห็นเขาได้อย่างน่าประหลาด
ฉันทนรอไม่ไหว รีบวิ่งออกจากห้อง และตะโกนทักทายซางาระคุงที่กำลังเดินขึ้นบันไดมาว่า 「ยินดีต้อนรับกลับ!」
******
ระหว่างทางกลับจากที่ทำงานพิเศษ ผมเปิดดูข้อความที่ค้างอยู่ในสมาร์ทโฟน แล้วก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ผมหยุดเดิน และพิงเสาไฟฟ้า ใช้นิ้วที่เย็นเฉียบจับสมาร์ทโฟน แล้วตรวจสอบประวัติการโทร
เจ้าของเบอร์โทรคือแม่ของผมเอง มีสายที่ไม่ได้รับทั้งหมดสามครั้ง แต่ละครั้งห่างกันประมาณหนึ่งชั่วโมง นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมออกจากบ้านมา ที่แม่โทรมาถี่ขนาดนี้ จินตนาการแย่ๆ เริ่มผุดขึ้นมาในหัว หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุ หรือมีใครป่วยหรือเปล่านะ ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่ม แม่คงยังไม่นอน
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็กดปุ่มโทรออกจากเบอร์นั้น
「โซวเฮย์ สบายดีไหม?」
แม่รับสายทันทีหลังจากที่โทรศัพท์ดังไปหนึ่งครั้ง น้ำเสียงของเธอดูเกร็งๆ และแข็งทื่อ
ถึงแม้ผมจะออกจากบ้านมาแล้ว แต่แม่ก็ยังโทรมาหาบ้างเป็นครั้งคราว แต่บทสนทนาระหว่างเรานั้นช่างห่างเหิน ไม่เหมือนกับบทสนทนาของแม่กับลูก ความเงียบที่อึดอัด และวางสายไปพร้อมกับบรรยากาศที่กระอักกระอ่วน ผมลืมวิธีการรักษาระยะห่างอย่างไร้เดียงสาแบบคนในครอบครัวไปแล้ว
「มีธุระอะไรเหรอครับ?」
「คือว่า โซวเฮย์…ปิดเทอมฤดูหนาวนี้ จะกลับมาที่นี่ไหม」
「…อืม คงยากหน่อย มีงานพิเศษน่ะ」
เรื่องงานพิเศษน่ะ ไม่ได้โกหก แต่เดิมที ผมก็ไม่ได้คิดจะกลับบ้านอยู่แล้ว
ตอนนี้ แม่กำลังอยู่กับคนรักใหม่ ถ้าผมกลับไป ก็คงจะเกะกะเปล่าๆ ความจริงแล้ว ตั้งแต่ผมออกจากบ้านมา ก็ยังไม่เคยเจอหน้าแม่เลยสักครั้ง ช่วงวันหยุดยาว หรือช่วงปิดเทอมฤดูร้อน แม่ก็ไม่เคยพูดว่าให้กลับมา
แต่ครั้งนี้ แม่กลับไม่ยอมวางสาย
「…กลับมาสักหน่อยก็ไม่ได้เหรอ? เดี๋ยวแม่ออกค่าเดินทางให้」
「…แต่ว่า…」
「คือว่านะ โซวเฮย์ ความจริงแล้ว คุณพ่อ(คนใหม่) มีเรื่องสำคัญจะคุยกับลูกน่ะ」
น้ำเสียงที่หนักแน่น แม้จะผ่านโทรศัพท์มาก็ยังสัมผัสได้ ในที่สุดผมก็เข้าใจความตั้งใจของแม่
อ๋อ อย่างนี้นี่เอง แม่คงไม่ได้อยากเจอผมหรอก
「แม่ หรือว่าจะแต่งงานใหม่เหรอ?」
เมื่อผมถามออกไป แม่ที่อยู่อีกฝั่งของสายก็เงียบไป ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจ 「…ไม่ใช่เรื่องที่จะมาคุยกันทางโทรศัพท์นะ」
「…ขอโทษครับ」
「เดี๋ยวเช็คตารางวันว่างแล้วติดต่อมานะ งั้น ราตรีสวัสดิ์นะโซวเฮย์ อย่าให้เป็นหวัดล่ะ」
แม่พูดแค่นั้น และบทสนทนาก็จบลงพร้อมกับบรรยากาศอึดอัดเหมือนเคย
ผมยัดสมาร์ทโฟนลงไปในกระเป๋าเสื้อ แล้วก็เริ่มออกเดินอีกครั้ง สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่าน ใบหูเจ็บจนแทบจะขาด
เมื่อขึ้นบันไดอพาร์ตเมนต์มา นานาเสะก็พุ่งออกมาจากห้อง หน้าสด สวมแว่นตา และอยู่ในชุดฮันเทน พอเห็นหน้าผม เธอก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
「ซางาระคุง! ยินดีต้อนรับกลับ!」
ผมรู้สึกโล่งใจเมื่อได้เห็นหน้าเธอ แต่ผมก็เก็บความรู้สึกนั้นไว้ แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
「นี่เธอ ออกมาข้างนอกทำไมเวลานี้」
「ก็เห็นซางาระคุงกลับมา จากหน้าต่างน่ะ」
ไม่คิดเลยว่าจะถูกเห็น ไม่แน่ว่า เธอกำลังรอผมอยู่หรือเปล่านะ
…ตอนกำลังหดหู่ ดีใจที่ได้เห็นหน้าเธอ แต่ไม่มีทางพูดออกไปได้หรอก ถ้าพูดอะไรที่ชวนให้คิดแบบนั้น มีหวังเธอได้สับสนแน่ๆ
ผมขยี้หัว เมื่อเห็นนานาเสะที่กำลังยิ้มแย้มอย่างร่าเริง
「…? ซางาระคุง เป็นอะไรหรือเปล่า?」
นานาเสะถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นสีหน้าหม่นหมองของผม ผมอึกอัก และเปิดปากพูด
「…นานาเสะ ช่วงปิดเทอมฤดูหนาวนี้ จะกลับบ้านเกิดเหรอ」
「เอ๋? อืม คิดว่าจะกลับอยู่นะ」
「…ไม่ใช่ว่าไม่อยากกลับบ้านเกิดเหรอ」
「อื้ม ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ」
นานาเสะพูดอย่างหนักแน่น โดยไม่ได้ฝืนเลย ผมตอบกลับสั้นๆ ว่า 「งั้นเหรอ」 แล้วก็เงียบไป
นานาเสะเลิกใส่ใจเรื่องอดีต และกำลังจะก้าวไปข้างหน้า มีเพียงผมเท่านั้นที่ยังคงหยุดอยู่กับที่
「…ซางาระคุงจะกลับบ้านหรือเปล่า?」
นานาเสะถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ผมก้มหน้า และจ้องมองไปที่ปลายเท้าของรองเท้าผ้าใบ
ผมรู้ว่าจริงๆ แล้วผมควรกลับบ้าน ผมยังไม่บรรลุนิติภาวะ ตามกฎหมายแล้วยังอยู่ภายใต้การคุ้มครองของผู้ปกครอง ถึงตอนนี้จะยังไม่ได้รับความช่วยเหลือด้านการเงิน แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็อาจจะทำให้แม่เดือดร้อนก็ได้ ผมอาจจะไม่สามารถปฏิเสธที่จะกลับบ้านได้ตลอดไป
…แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็…
「ไม่อยากกลับ」
「ทำไมล่ะ?」
「แม่ของฉันบอกว่าจะแต่งงานใหม่น่ะ」
นานาเสะสูดหายใจเบาๆ
「ถ้าฉันกลับไป ก็คงจะเกะกะเปล่าๆ」
นานาเสะกะพริบตา แล้วก้มหน้าลง หลังจากนั้น ความเงียบก็เข้าปกคลุม 「…ซางาระคุง」
สักพัก นานาเสะก็จับมือทั้งสองข้างของผม แล้วบีบเบาๆ มือของผมที่เย็นเฉียบจากอากาศภายนอก ค่อยๆ อุ่นขึ้นจากอุณหภูมิร่างกายของเธอ นานาเสะจ้องมองตาของผม แล้วพูดว่า 「กลับไปบ้าน แล้วคุยกับคุณแม่ดีๆ ดีกว่าไหม?」
「…เอ๊ะ?」
「ถึงจะไม่รู้เรื่องอะไรมากก็เถอะ …แต่การที่ซางาระคุงพยายามจะอยู่คนเดียวให้ได้ มันเกี่ยวกับเรื่องของที่บ้านใช่ไหม?」
นานาเสะพูดช้าๆ เหมือนกำลังพูดกับเด็กเล็กๆ
「…การจะแก้ปัญหาได้ อันดับแรก ต้องเผชิญหน้ากับปัญหานั้นตรงๆ นะ ถ้าไม่ทำแบบนั้น ซางาระคุง…จะไม่มีวันก้าวไปข้างหน้าได้นะ」
「…พูดง่ายนี่ ก็เธอไม่รู้อะไรนี่」
ผมเผลอพูดออกไป และรู้สึกเสียใจในทันที นี่มันก็เป็นแค่การพาลชัดๆ แต่นานาเสะก็ยังคงจ้องมองมาที่ผม โดยไม่หวั่นไหว
「อืม ไม่รู้สิ ก็ซางาระคุงไม่เคยบอกอะไรฉันเลยนี่」
ผมถึงกับพูดไม่ออก …ก็จริงอย่างที่เธอพูด
「ถ้าซางาระคุงยังไม่สบายใจ ฉันจะกลับไปด้วย」
「…ห๊ะ?」
ผมเบิกตากว้างกับข้อเสนอที่คาดไม่ถึง นานาเสะจ้องมองมาที่ผม แววตาของเธอเป็นประกาย สุกใส เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น ทำเอาผมรู้สึกหวั่นใจขึ้นมานิดๆ
「จะ จะกลับไปด้วยกันเนี่ยนะ เธอ…」
「ไม่ต้องห่วง ฉันไม่รบกวนหรอก แค่ไปด้วยกันจนถึงกลางทางเท่านั้นเอง」
「…แต่ว่า…」
「ได้ใช่ไหม? ซางาระคุง」
เธอดึงดันอย่างไม่น่าเชื่อ อดีตของเธอนั้นขี้กลัว ขี้กังวล ไม่กล้าแม้แต่จะชวนเพื่อน หายไปไหนแล้วนะ
「…เข้าใจ แล้ว」
เมื่อผมพยักหน้ารับอย่างจำยอม นานาเสะก็ยิ้มกว้าง และยื่นนิ้วก้อยออกมา
「งั้น สัญญานะ」
ผมนิ้วก้อยของผมไปเกี่ยวกับเธออย่างกล้าๆ กลัวๆ เธอกระชับนิ้วแน่น เสียง 「สัญญาแล้วนะ」 ฟังดูร่าเริงผิดกับสถานการณ์ ทั้งที่คิดว่า นี่ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ แต่ความรู้สึกของผมก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
วันต่อมา นานาเสะลากผมไปที่สถานีรถไฟ ราวกับจะบอกว่า เรื่องดีๆ ต้องรีบทำ จากสถานีเกียวโต เราขึ้นรถบัสด่วน มุ่งหน้าไปยังนาโกย่า ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผม ระหว่างที่อยู่บนรถบัส พวกเราแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย ต่างคนต่างก็เอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง
เมื่อรถบัสมาถึงสถานีนาโกย่า เกล็ดหิมะสีขาวก็โปรยปรายลงมาบางๆ เหมือนจะเคยเห็นหัวข้อข่าวในอินเทอร์เน็ตว่า ช่วงสุดสัปดาห์นี้จะโดนคลื่นความหนาวระลอกใหญ่
「ซางาระคุง นั่งรถบัสต่อไปที่บ้านเหรอ?」
นานาเสะถามขึ้น เมื่อบอกป้ายรถเมล์ที่ใกล้ที่สุดไป เธอก็ตอบกลับมาว่า 「ขึ้นสายเดียวกับฉันเลย」 พร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาเป็นไอสีขาว
จากท่ารถ ไปถึงบ้านของผม ใช้เวลานั่งรถเมล์ประมาณสามสิบนาที
ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะเผชิญหน้ากับแม่อย่างแน่วแน่ แต่เมื่อทิวทัศน์นอกหน้าต่างค่อยๆ เปลี่ยนไป ความรู้สึกของผมก็ยิ่งจมดิ่งลง เงาสะท้อนของผมบนกระจกรถ กำลังทำสีหน้าเคร่งเครียดกว่าปกติ ขมวดคิ้วแน่น และเมื่อใกล้ถึงที่หมาย หิมะก็เริ่มจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
นานาเสะที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร เธอนั่งหลังตรง และจ้องมองไปข้างหน้าอย่างนิ่งสงบ ตอนนี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ
ตอนนั้นเอง เสียงประกาศบนรถก็ดังขึ้น บอกให้รู้ว่าถึงป้ายถัดไปแล้ว
「…ลงป้ายหน้า」
เมื่อผมลุกขึ้นยืน นานาเสะก็พูดว่า 「งั้น ฉันก็ด้วย」 แล้วเดินตามหลังผมมา ป้ายรถเมล์ที่ใกล้บ้านผมที่สุด อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนประถมที่ผมเคยเรียน ร้านขายขนมตรงข้ามนั้นปิดกิจการไปแล้ว และกลายเป็นที่จอดรถ ถึงแม้ว่าวันที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จะไม่ได้มีแต่ความทรงจำแย่ๆ และก็ไม่ได้รู้สึกโหยหาอดีตอะไร แต่ถึงอย่างนั้น ความหดหู่ในใจของผมก็ไม่สามารถปัดเป่าออกไปได้
บนพื้นถนนแอสฟัลต์ มีหิมะปกคลุมอยู่บางๆ ทุกครั้งที่เหยียบลงไป ก็จะมีเสียงดัง “กึก กึก” เบาๆ ทั้งผมและนานาเสะต่างก็ไม่พูดอะไร สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านอย่างรุนแรง หลังจากเดินมาประมาณห้านาที ก็มาถึงบ้าน บ้านเกิดของผมเป็นบ้านเดี่ยวหลังเล็กๆ พ่อแม่ซื้อบ้านหลังนี้ก่อนที่ผมจะเกิด เห็นว่าตอนนั้นทั้งคู่คงจะมีความสุขมาก แม้ว่าตอนนี้จะไม่สามารถจินตนาการภาพนั้นออกเลยก็ตาม พ่อทิ้งบ้านหลังนี้ไป ส่วนแม่ก็ไปอยู่กับผู้ชายคนอื่น
นิ้วของผมหยุดชะงัก ตอนที่กำลังจะกดกริ่ง
ผมจะพูดอะไรกับแม่ที่ไม่ได้เจอกันนาน บางที ผมไม่ควรจะกลับมาตั้งแต่แรก ผมคิดวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องพวกนี้ จนขยับตัวไม่ได้
「…เอ่อ ขอโทษนะคะ」
ผมสะดุ้งโหยงเมื่อถูกทักจากข้างหลัง พอหันกลับไปก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งในชุดนักเรียน สวมเสื้อโค้ท ผมสีดำรวบเป็นหางม้า
「มาทำอะไรที่บ้านฉันเหรอคะ?」
ผมตกตะลึงที่เด็กสาวแปลกหน้า ใช้คำว่า “บ้านฉัน” กับบ้านเกิดของผม แต่แล้วจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้
…จริงสิ แม่บอกว่าคนรักของแม่ มีลูกสาวเป็นนักเรียนม.ปลาย
「…อ๋อ เปล่าครับ …ไม่มีอะไรครับ」
ผมพูดตะกุกตะกัก แล้วรีบเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาอย่างสงสัยของเด็กสาวคนนั้น แบบนี้ต่อให้ถูกมองว่าเป็นบุคคลอันตรายก็คงไม่แปลก
ผมเดินมาจนถึงสวนสาธารณะใกล้ๆ บ้าน แล้วก็หยุดเดิน ผมได้ยินเสียง 「ซางาระคุง!」 จากข้างหลัง แล้วก็ตกใจ แย่แล้ว ผมนี่ลืมเรื่องนานาเสะไปเลย
「ซะ ซางาระคุง รอด้วย… ว้าย!」
ตอนนั้นเอง นานาเสะที่ก้าวพลาดก็ล้มลงอย่างจัง พร้อมกับเสียงร้อง ผมรีบวิ่งเข้าไปหาเธอ แล้วช่วยพยุงเธอขึ้น
「นานาเสะ เป็นอะไรไหม」
「อือ อื้อ ฉันไม่เป็นไร」
นานาเสะพูดแบบนั้น แต่ชุดเดรสของเธอเปื้อนเพราะพื้นดินที่ผสมกับหิมะและโคลน ถุงน่องสีดำตรงเข่าขาด มีเลือดซึมออกมา ผมรู้สึกผิดจนเจ็บแปลบที่อก
「…นานาเสะ ขอโทษ… ฉัน…」
เมื่อผมพูดออกไป นานาเสะก็ส่ายหน้า ผมรู้สึกแย่กับตัวเอง ที่หนีออกมาทั้งๆ ที่มาถึงขนาดนี้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้ผมก็ไม่มีความกล้าพอที่จะเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้น
ที่นั่น คงจะมีครอบครัวที่มีความสุข ที่ผมไม่รู้จักอยู่
「กลับไม่ได้จริงๆ ฉันทำใจไม่ได้」
เมื่อได้ยินคำพูดของผม นานาเสะก็ก้มหน้าลงอย่างเศร้าสร้อย บางที เธออาจจะผิดหวังในตัวผม ที่ยังจะหนีทั้งๆ ที่เป็นแบบนี้ ถ้าเธอจะผิดหวัง เมื่อได้เห็นสภาพที่น่าสมเพชของผม ก็ไม่แปลก 「กลับไม่ได้แล้ว… แล้วจะเอายังไง? รถบัสไปเกียวโตก็ไม่มีแล้วนะ」 นานาเสะพูด พร้อมกับแววตาที่สับสน ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า
「คงจะไปหาที่ไหนสักที่นอน」
「ที่ไหนสักที่? โรงแรมเหรอ?」
พอลองคิดดูดีๆ ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงวันเงินเดือนออกแล้ว ผมไม่มีเงินพอจะไปนอนโรงแรม เมื่อเห็นผมนิ่งเงียบไป นานาเสะก็ลุกขึ้นยืน
「…เอาล่ะ เข้าใจแล้ว」
นานาเสะพูดพร้อมกับสีหน้าที่เหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ เธอจับมือผมแน่น แล้วพูดว่า 「ไปกันเถอะ」
「…ไปไหน?」
「บ้านฉัน ถ้านายไม่อยากกลับ ก็ไปนอนบ้านฉันก่อนคืนนี้」
「…เอ๊ะ…ห๊ะ?」
ผมอุทานออกมาอย่างงุนงง เดี๋ยวนะ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย นานาเสะจับมือผมแน่น แล้วเดินไปอย่างรวดเร็ว ผมเดินตามเธอไปอย่างงงๆ เหมือนถูกลากไป
จากบ้านของผม นั่งรถบัสไปประมาณห้านาที นานาเสะก็พูดว่า 「ลงตรงนี้แหละ」
ระหว่างทางไปบ้านของเธอ เราเดินสวนกับผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นคนรู้จักกัน นานาเสะยิ้มให้ แล้วทักทายว่า 「สวัสดีตอนเย็นค่ะ」 ผมคิดว่าคงจะเสียมารยาทถ้าจะเดินผ่านไปเฉยๆ
ผู้หญิงคนนั้นทักทายกลับมาว่า 「สวัสดีตอนเย็น」 แต่สีหน้าของเธอดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจ บางทีเธออาจจะจำนานาเสะไม่ได้ ก็ไม่แปลก เพราะตั้งแต่สมัยม.ปลาย นานาเสะเปลี่ยนไปมากจริงๆ นานาเสะไม่ได้สนใจอะไร แล้วก็เดินต่อไป
เธอหยุดเดินที่หน้าบ้านเดี่ยวหลังเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านที่พักอาศัย
「…นี่ ฉัน… มาแบบนี้ จะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ」
พอลองคิดดูอย่างใจเย็นแล้ว ถ้าลูกสาวคนเดียวจู่ๆ พาผู้ชายแปลกหน้าเข้าบ้าน ผมเองก็คงจะต่อยผู้ชายคนนั้นสักหมัด
「ฉันจะอธิบายเอง ไม่ต้องห่วง」
นานาเสะยิ้มให้ แต่ความกังวลของผมก็ไม่ได้หายไปเลย จะอธิบายยังไง 「ผู้ชายคนนี้ทำเหมือนจะชอบฉัน แต่สุดท้ายก็ปฏิเสธฉัน แถมยังไม่อยากกลับบ้าน ก็เลยพามาที่นี่」 จะพูดอะไรแบบนี้เหรอ? ถ้าเป็นผม คงไม่จบแค่ต่อยผู้ชายคนนั้นแน่ๆ
นานาเสะเปิดประตูด้วยกุญแจ แล้วพูดว่า 「กลับมาแล้ว」 ภายในบ้านมืดสนิท ไม่มีเสียงตอบรับ 「อ๊ะ แปลกจัง… ไปซื้อของเหรอ?」
「นานาเสะ… ได้บอกพ่อแม่ไว้หรือเปล่าว่าจะกลับวันนี้?」
เมื่อผมถาม นานาเสะก็อุทานว่า 「อ๊ะ」 แล้วเอามือข้างหนึ่งปิดปาก
「จริงด้วย ฉันเลยลืมบอกไปเลย」
「เฮ้อ เธอเนี่ย เรื่องแบบนี้ต้องบอกไว้ก่อนสิ…!」
「เดี๋ยวฉันลองโทรไปนะ! เข้ามาข้างในก่อน!」
นานาเสะพูด แล้วก็ดันหลังผม ผมถูกดันให้เข้าไปในห้องนั่งเล่น ไฟปิดอยู่ อากาศเย็นยะเยือก ชัดเจนว่า ไม่มีคนอยู่
ผมถอดเสื้อขนเป็ดออก แล้วนั่งลงบนโซฟาอย่างกล้าๆ กลัวๆ นานาเสะหยิบสมาร์ทโฟนออกมา แล้วเริ่มโทรหาพ่อแม่
「…อ๊ะ คุณแม่เหรอ? คือว่าตอนนี้ หนูกลับมาถึงแล้ว… เอ๊ะ จริงเหรอ? อืม เข้าใจแล้ว เอ่อ หนูพาเพื่อนมาด้วย ให้เขาค้างที่นี่ด้วยได้ไหม?」
สักพัก นานาเสะก็วางสาย เธอขมวดคิ้ว ดูเหมือนจะลำบากใจนิดหน่อย
「เอ่อ… คุณพ่อกับคุณแม่ ตอนนี้อยู่ที่บ้านคุณยายที่มิคาวะน่ะ」
「เอ๊ะ」
「แล้วก็จะค้างที่นั่น วันนี้ก็เลยไม่กลับมาแล้ว」
…หมายความว่า คืนนี้เราจะอยู่กันที่นี่สองต่อสองอย่างนั้นเหรอ
ผมลุกขึ้นยืน พูดว่า 「ฉันกลับล่ะ」 แล้วก็หยิบเสื้อขนเป็ดที่เพิ่งถอดออก ขึ้นมาใส่อีกครั้ง นานาเสะรีบห้ามผมด้วยท่าทางลนลาน 「ดะ เดี๋ยว!」
「มะ ไม่ได้นะ! อุตส่าห์มาถึงขนาดนี้แล้ว」
นานาเสะจับชายเสื้อขนเป็ดของผมไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย เธอพูดรัวเร็ว ปฏิเสธคำพูดของผมที่ว่า 「แต่ว่า」
「ไม่เป็นไร คุณแม่ก็อนุญาตแล้วด้วย ค้างที่นี่เถอะ มีห้องว่างอยู่ เดี๋ยวปูฟูกนอนให้นะ」
ผมคิดว่า เธอกำลังคิดอะไรอยู่ ที่ยังรั้งผมไว้แบบนี้ แต่ก็จริงที่ว่า ตอนนี้ผมไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
「…ขะ เข้าใจแล้ว」
ผมพูดออกไปอย่างลังเล นานาเสะก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้น เธอก็หน้าแดง แล้วดึงชายกระโปรงเดรสที่เปื้อนโคลน
「…งั้น ฉันขอไปอาบน้ำก่อนได้ไหม? เมื่อกี้ล้มไป ก็เลยเปียกไปหมดเลย…」
…บางที ผมควรจะกลับบ้านไปเดี๋ยวนี้เลย ผมคิดแบบนั้น แต่ก็สายไปแล้ว
******
ถึงจะเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คุ้นเคย แต่ตอนที่ถอดเสื้อผ้า ฉันก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย ฉันรู้สาเหตุดี ก็เพราะว่าใต้ชายคาเดียวกันนี้ มีซางาระคุงอยู่
ฉันดันซางาระคุงเข้าไปในห้องของฉันที่อยู่ชั้นสอง ถ้าคิดถึงแค่ระยะห่าง บางทีอพาร์ตเมนต์ที่อาศัยอยู่ปกติอาจจะใกล้กว่าด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้น ในสถานการณ์แบบนี้ การที่ต้องมาเปลือยกาย ก็ทำให้รู้สึกประหม่าอยู่ดี ไม่ได้กังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ แต่เพื่อความสบายใจ ฉันก็เลยล็อกประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
ฉันถอดเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว แล้วใส่ลงในตะกร้าผ้า เมื่อเข้าไปในห้องอาบน้ำ ก็เปิดก๊อกน้ำ รอจนน้ำอุ่นได้ที่ จากนั้นก็ล้างเครื่องสำอางออกก่อน แล้วสระผม ใช้ตาข่ายตีฟองให้เป็นฟองฟูฟ่อง แล้วก็เริ่มล้างตัว เมื่อน้ำอุ่นโดนเข้าที่แผลถลอกตรงหัวเข่า ฉันก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะรู้สึกเจ็บแปลบ
ฉัน… หรือว่า บางที… กำลังทำเรื่องที่ไม่เข้าท่าอยู่หรือเปล่านะ…
ฉันเพิ่งจะตระหนักได้ถึงการกระทำของตัวเอง แล้วก็นั่งยองๆ ลงตรงนั้นอย่างหมดแรง
การที่จู่ๆ ถูกพามาถึงนาโกย่า แถมยังถูกพามาที่บ้านเกิดอีก บางทีตอนนี้ ซางาระคุงอาจจะเอือมฉันอยู่ก็ได้
แต่ว่า ฉันก็อดเป็นห่วงเขาไม่ได้จริงๆ
ตอนที่ซางาระคุงหน้าซีดเผือด และหนีออกมาจากบ้านเกิด ตอนที่เขาหายใจอย่างยากลำบาก และพูดว่า 「กลับไม่ได้」 ตอนนั้นฉันคิดว่า ฉันจะปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวไม่ได้
สิ่งที่ฉันพอจะทำให้ซางาระคุงได้ในตอนนี้ คงไม่มีอะไรเลย แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็อยากจะอยู่เคียงข้างซางาระคุง
…ฉันนี่ เป็นคนกระตือรือร้น… กว่าที่ตัวเองคิดไว้เยอะเลยแฮะ
จนกระทั่งได้รักกับซางาระคุง ฉันก็ไม่เคยสังเกตเห็นด้านนี้ของตัวเองเลย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อน ฉันค่อนข้างจะเป็นคนเฉื่อยชา เซื่องซึม และไม่กล้าแม้แต่จะชวนเพื่อนไปเที่ยว
เอ๊ะ เดี๋ยวนะ วันนี้ฉันต้องค้างคืนที่นี่กับซางาระคุงสองคนสินะ
ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า “การค้างคืนครั้งแรก” ของฉันจะเกิดขึ้นในรูปแบบนี้ อันที่จริงฉันก็เป็นคนที่เพิ่งโดนเขาปฏิเสธมา ไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรอก แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังอาบน้ำอย่างพิถีพิถันมากกว่าปกติ
ฉันฉีดฝักบัวรดกระจกที่ขุ่นมัวจากไอน้ำ เผยให้เห็นร่างเปลือยเปล่าของฉัน จู่ๆ ฉันก็เริ่มกังวลเกี่ยวกับรูปร่างของตัวเองขึ้นมา หน้าอกของฉันเป็นของธรรมชาติแท้ๆ และฉันก็คิดว่ามันไม่ได้เล็ก แต่ฉันก็ไม่เคยเทียบกับคนอื่นเลย เลยไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง พุงยื่นออกมาหรือเปล่านะ ไม่เป็นไรใช่ไหม หน้าสดที่ไม่ได้แต่งหน้า ก็ดูจืดชืดและไม่น่ามอง
…เฮ้อ อย่างน้อยฉันน่าจะเตรียมชุดนอนที่น่ารักๆ ไว้ก็ดี
ฉันออกจากห้องอาบน้ำ พร้อมกับความเสียดายเล็กๆ น้อยๆ