บทที่ 206 สำรวจอีกครั้ง
โอวเทียนเหิงหัวเราะเบา ๆ กับเหอเจ๋อ พลางพูดติดตลกว่า “เจ้าพวกนี้ ปกติเวลาออกเวรดึก ๆ ต่างก็อารมณ์ไม่ดีกันทั้งนั้น ไม่ก็ปวดท้องไม่ก็ปวดแขน แต่วันนี้พอได้ยินว่าเป็นเรื่องของคุณ แต่ละคนกลับกระตือรือร้น วิ่งมาเร็วกว่าใครเพื่อน”
เหล่าตำรวจต่างหัวเราะครื้นเครง หลังจากเหตุการณ์ครั้งก่อน เหอเจ๋อก็มีชื่อเสียงพอสมควรในสถานีตำรวจ ทุกคนรู้ดีว่าคดีของเขาทั้งง่ายและได้ผลงานด้วย ผู้ต้องสงสัยถูกจับกุมไว้แล้ว แค่มารับตัวไปก็พอ ไม่มีอันตรายแถมยังได้ผลงานไม่น้อย จึงเต็มใจมากัน
เหอเจ๋อส่ายหน้าพลางยิ้ม ไม่ได้ถือสาอะไร แล้วเล่าสถานการณ์ที่นี่คร่าว ๆ ให้ฟัง
โอวเทียนเหิงฟังจบก็ครุ่นคิด ก่อนพูดว่า “สถานการณ์นี้ค่อนข้างซับซ้อน การลักพาตัวของคนแซ่เฝิงนั่นชัดเจนอยู่แล้ว แต่ยาหวงฉีนี่ฉันก็เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก ต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบก่อนว่าเป็นอันตรายหรือไม่ ถึงจะสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายได้”
เขาหยุดชั่วครู่แล้วพูดต่อ “งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน พาตัวไอ้หมอนี่ไปด้วยข้อหาลักพาตัวและครอบครองอาวุธปืนอย่างผิดกฎหมายก่อน รอผลตรวจสอบออกมาแล้วค่อยตัดสินอีกที”
เหอเจ๋อได้ยินก็เห็นว่าทำได้แค่นี้ จึงพยักหน้ารับ
โอวเทียนเหิงสั่งการให้ตำรวจนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดกลับไป ตอนที่หยางเฟิงเดินผ่านเหอเจ๋อ แทนที่จะหงอยเหงาเหมือนคนอื่น กลับยิ้มอย่างมั่นใจพลางพูดว่า “คราวนี้แกแหย่รังแตนเข้าให้แล้ว เราจะได้เห็นดีกันว่าเรื่องจะจบยังไง”
เหอเจ๋อตบไหล่เขาเบา ๆ พลางยิ้มพูดว่า “แกควรจะไปทบทวนความผิดของตัวเองก่อนนะ”
แขนของหยางเฟิงหักไปครึ่งท่อนแล้ว พอโดนตบแบบนั้นก็เจ็บจนร้องไม่ออก
หลังจากนำตัวผู้ต้องหาหลักไปแล้ว โอวเทียนเหิงมองดูคนงานนับร้อยคนที่เหลืออยู่ก็ปวดหัว พวกนี้จะจับกลับไปทั้งหมดก็ไม่ได้ จึงต้องสุ่มสอบสวนไม่กี่คนในที่เกิดเหตุ
สิ่งที่ทำให้เขาโล่งใจคือ คนส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านแถวเมืองกว่างหนาน ไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อเหตุ แม้แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำยาอะไร รู้แค่ว่าทำตามที่สั่งและรับเงิน
โอวเทียนเหิงเข้าใจสถานการณ์แล้วจึงบอกพวกเขาว่าโรงงานถูกปิด ห้ามกลับมาอีก แล้วก็ให้พวกเขากลับบ้านไป
พวกคนงานรู้ว่าสิ่งที่ทำเป็นของผิดกฎหมาย ยังกลัวว่าจะถูกลากเข้าไปเกี่ยว พอรู้ว่าไม่ถูกดำเนินคดีก็ดีใจแล้วจากไป
โอวเทียนเหิงปิดล้อมสถานที่เกิดเหตุ ทิ้งตำรวจไว้เฝ้าไม่กี่นาย แล้วพาผู้ต้องหาหลักกลับสถานีตำรวจ เตรียมสอบสวนทั้งคืนเพื่อขุดคุ้ยข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากปากพวกเขา
เรื่องวุ่นวายมากมายเหล่านี้ดูเหมือนไม่นาน แต่จริง ๆ แล้วใช้เวลามาก พอจัดการเสร็จก็ผ่านไปสองชั่วโมงแล้ว เหอเจ๋อกลัวว่าจะพลาดรายละเอียด จึงไม่ได้ห่างไปไหนเลยตั้งแต่ต้นจนจบ หลังส่งโอวเทียนเหิงกลับไปแล้วถึงได้กลับมาที่ห้องเดิม
หานสาวผ่านเหตุการณ์ที่หนักหน่วงมาทั้งคืน จิตใจเหนื่อยล้าอย่างมาก จึงหลับไป
ส่วนหวังเหมยสภาพจิตใจดีกว่าหน่อย เพราะเคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อน จึงไม่มีอาการง่วงซึม นั่งอยู่บนโซฟาคอยปกป้องหานสาว ไม่ให้คนนอกมารบกวน
ยามวิกฤตจึงรู้จักมิตรแท้ ยามยากลำบากจึงเห็นน้ำใจ
การที่หานสาวยอมเสียสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือในยามคับขัน ทำให้หวังเหมยนอกจากจะซาบซึ้งใจแล้ว ยังให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่มากขึ้นด้วย
“กลับมาแล้วเหรอ สืบสวนเรื่องราวได้กระจ่างหรือยัง?”
เหอเจ๋อพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า ยิ้มขมขื่นพลางพูดว่า “ดูผิวเผินเหมือนจะได้ผลลัพธ์ที่ดี จับผู้จัดการที่ครอบครองสูตรยาหวงฉีทั้งหมดได้แล้ว แค่สอบสวนก็จะล่อผู้ที่อยู่เบื้องหลังออกมาได้ แต่ไม่รู้ทำไม ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด”
หวังเหมยยักไหล่พูดว่า “เรื่องแบบนี้ฉันช่วยอะไรไม่ได้มาก กลับไปฉันจะหาสักคนให้คอยจับตาดู กันไม่ให้ใครมาป่วนในนั้น”
เหอเจ๋อพยักหน้า ขอบคุณน้ำใจของเธอ เรื่องจบแล้ว อยู่ที่นี่ต่อก็ไม่มีประโยชน์ หวังเหมยเตรียมปลุกหานสาวเพื่อกลับไปด้วยกัน
“เดี๋ยวก่อน”
เหอเจ๋อขัดจังหวะการกระทำของเธอ ขมวดคิ้วพูดว่า “ฉันรู้สึกว่ามีอะไรตกหล่น งั้นเอาแบบนี้ดีกว่า พวกเธอสองคนรออยู่ที่นี่ก่อน ฉันจะกลับไปดูอีกรอบ ถือว่าทำให้สบายใจ ไม่งั้นกลับไปฉันก็คงนอนไม่หลับ”
หวังเหมยเอามือปิดปากหัวเราะเบา ๆ “ได้ งั้นนายไปเถอะ”
เหอเจ๋อเดินดูรอบ ๆ อีกครั้ง สุดท้ายมาถึงห้องที่มีป้ายเขียนว่าสำนักงาน ข้างในมีโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ ตู้หนังสือ และชุดโซฟากับโต๊ะกาแฟ
เขานั่งลงบนโซฟา ตอนมาครั้งแรกมีคนเยอะ เสียงดังวุ่นวาย รายละเอียดหลายอย่างถูกมองข้าม ตอนนี้เงียบลงแล้ว ก็เลยมีการค้นพบใหม่
“ออกมาเถอะ ไม่ต้องหลบแล้ว”
เขาจ้องมองตู้หนังสือไม่วางตา “รักสวยรักงามเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ฉันแนะนำว่า ครั้งหน้าอย่าใช้น้ำหอมที่มีกลิ่นแรงขนาดนี้ มันไม่สะดวกในการซ่อนตัว”
ในห้องทำงานที่ว่างเปล่า นอกจากเสียงสะท้อนของเขา ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ราวกับว่าเขากำลังพูดคนเดียว
เหอเจ๋อไม่รีบร้อน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกม
ผ่านไปประมาณสิบนาที ตู้หนังสือที่ฝังอยู่ในผนังก็ขยับ มีหัวโผล่ออกมาอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ มองสำรวจเหอเจ๋อที่นั่งอยู่บนโซฟา ถามอย่างสงสัยว่า “คุณได้กลิ่นน้ำหอมของฉันด้วยเหรอ?”
เหอเจ๋อมองเห็นเงาคนหลังตู้ชัดเจน ดวงตาฉายแววประหลาดใจ พูดอย่างงุนงงว่า “น้องสาว ทำไมเด็กอย่างเธอถึงมาซ่อนอยู่ที่นี่ล่ะ ผู้ปกครองของเธออยู่ไหน?”
เมื่อเห๋อเจอพูดจบ เด็กสาวทั้งโกรธทั้งอาย พูดว่า “คุณเรียกใครว่าน้องสาว เรียกใครว่าเด็ก ฉันอายุสิบแปดแล้ว บรรลุนิติภาวะแล้ว ตรงไหนที่เด็ก!”
พูดพลางทำท่าจะพิสูจน์ตัวเอง ยืดอกขึ้นมา แต่น่าเสียดายที่เนินอกเล็ก ๆ ไม่ช่วยอะไรเลย ทำให้เหอเจ๋อต้องกลั้นหัวเราะ
จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่ความผิดของเขา เด็กสาวตรงหน้ามีใบหน้าเหมือนตุ๊กตา ผมยาวประบ่า ตัวเตี้ย ดูแล้วเหมือนเด็กอายุสิบสามสิบสี่
“เธอเป็นใคร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?”
เด็กสาวเห็นว่าเขาไม่ใช่คนไร้เหตุผล ก็เริ่มกล้าขึ้น ทำปากยื่น พูดว่า “คำถามนี้ฉันควรเป็นคนถามมากกว่านะ”
เหอเจ๋อสีหน้าเคร่งขรึมลง แกล้งทำเป็นจริงจังแล้วพูดว่า “ฉันเป็นตำรวจ ถ้าเธอไม่พูด ฉันจะจับเธอ”
ดวงตาของเด็กสาววาบขึ้นด้วยความหวาดกลัว แล้วพูดอย่างไม่มั่นใจว่า “คุณเป็นตำรวจแล้วยังไง ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย คุณจะจับฉันด้วยข้อหาอะไร”
MANGA DISCUSSION