เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 406
< < อัฟเตอสตอรี่ 4 > >
หนึ่งวันก่อนจบการศึกษาจากเรดฮอตของ เรเซอร์ ดราแคล์ และพวกพ้องคนอื่นๆที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดสามปี เป็นช่วงเวลาแสนสั้นที่แสนยาวนาน เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆมากมาย โดยเฉพาะกับปีกว่าๆแรกที่หลายคนต้องพัวพันกับ ‘มหาสงคราม’ วันสิ้นโลก ที่แม้ว่าโลกจะไม่จบสิ้น แต่ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายประการ
ไม่ว่าจะการหายตัวไปของ ‘เอเธอร์’ หรือการสูญสิ้นของอาชญากรแห่งโลก ‘เรน’ หรือว่าจะจุดสิ้นสุดของวัฐจักรจอมมาร และปีศาจมหาบาป ต่างๆมากมาย ที่ยืดยาวมากว่าพันๆปี หมื่นๆปีก็ได้มาถึงจุดสิ้นสุด ณ ยุคสมัยนี้
แน่นอนว่าคนทั่วไปคงจะไม่ทราบว่านักเรียนจากวิทยาลัยเรดฮอต เกือบสิบคนมีส่วนร่วมอย่างมหาศาลกับจุดพลิกผันของโลกใบนี้—จะอย่างไรก็แล้วแต่
ไม่ช้าก็เร็ว โลกจะได้รับรู้ชื่อของเด็กเหล่านั้นอย่างแน่นอน
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วทั้งปฏพี ถัดจากนั้นไม่กี่วิก็มีดินน้ำลมไฟ สารพัดเวทมนตร์ตามมา ประหนึ่งว่าเกิดสงครามยักษ์ระหว่างอาณาจักรขึ้นก็ไม่ปาน แต่ว่าไม่ใช่ นี่เป็นเพียงการ ‘ประลอง’ ระหว่าง ‘คนสองคน’ เท่านั้น
“เห้ยๆ เคียวยะ ไม่จัดเต็มไปหน่อยรึวันนี้ เห็นว่าเป็นวันสุดท้ายก่อนจบการศึกษาเลยคึกขึ้นมาหรือไงกัน รู้รึเปล่าว่าไอการดวลกับแกเดือนละหนึ่งครั้งเป็นกิจวรรตน่ะ มันสร้างความเดือดร้อนให้ทางวิทยาลัยกับอาณาจักรฟัฟนิร์มากแค่ไหน ถึงขนาดต้องยื่นคำร้องล่วงหน้าอย่างต่ำหนึ่งสัปดาห์เพื่อจำกัดพื้นที่เลยนะเห้ย”
“หนวกหูน่า! มาถึงตรงนี้แล้วจะมาบ่นอะไรอีก”
“เรื่องของเรื่องคือวันนี้อลังการณ์ไปหน่อยเปล่า!? ระวังมันจะผิดข้อตกลงกับอาณาจักรฟัฟนิร์เอานะ ไอเบื้อก!”
เด็กหนุ่มสองคน—เรเซอร์ ดราแคล์ และ เคียวยะ กำลังเข้าต่อสู้กัน ณ นอกตัวเมืองของอาณาจักรฟัฟนิร์ โดยที่มีคนมากมายมามุงดูกัน
เหตุการณ์นี้เป็นที่รู้จักกันดีตลอดเกือบสองปีที่ผ่านมาว่า ในทุกๆหนึ่งเดือน ตัวท็อปของวิทยาลัยเรดฮอตสองคนจะเข้าปะทะกัน เพื่อตัดสินผลแพ้ชนะ
ในทีแรกทั้งสองไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันบานปลายถึงขนาดต้องยื่นคำร้องขอประลอง หรือทำให้การประลองของพวกเขาเป็นดั่งโชว์วิชาต่อสู้ประจำเดือน แต่เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้ไม่สามารถสู้กันแบบส่วนตัวได้
ใช่ ทั้งเรเซอร์ ทั้งเคียวยะ ต่างอยู่ในขอบเขตุที่เหนือกว่ามนุษย์ หรือที่เรียกกันว่า ‘ท็อปโลก’ ตัวตนที่แข็งแกร่งราวกับสัตว์ประหลาด
ผู้คนต่างส่งเสียงเชียร์ บ้างก็มีพ่อค้าแม่ค้ามาเปิดร้านขายอาหาร และตั้งโต๊ะเก้าอี้ให้คนรับชมเสมือนชมวิวทิวทัศน์–แน่นอนว่ารวมถึงตัวแทนของคนใหญ่คนโตที่มาเก็บข้อมูลของสองผู้แข็งแกร่ง
ท่ามกลางบรรยากาศสุดชลมุม เสียงเดียวที่สองคนนี้เงี่ยหูฟังก็คือเสียงจากเด็กสาวนามว่า ‘เบลลามี’ คนเดียวเท่านั้น
“เรเซอร์ เคียวยะ อีกยี่สิบนาทีจะหมดเวลาแล้วนะ”
แม้จะพยายามตะโกนแล้ว แต่ก็ยังเบาเมื่อเทียบกับเสียงจากฝูงชน แต่ทั้งสองสามารถจำกัดโฟกัสการฟังของตัวเองได้ ทำให้รับทราบข้อมูลดังกล่าว
อีกยี่สิบนาทีจะหมดเวลาต่อสู้ตามที่สองคนนี้ตกลงกับอาณาจักรฟัฟนิร์เอาไว้ เนื่องจากว่าถ้ายืดยาวการต่อสู้มันจะไม่รู้จบ เหมือนกับการต่อสู้ของสองคนนี้ครั้งแรกที่ไม่ได้ขอใคร ซึ่งกินเวลาไปกว่าสิบชั่วโมงจึงจะจบ ด้วยเหตุนั้นทางการณ์เลยกำหนดเวลาให้แค่ ‘ชั่วโมงเดียว’ เท่านั้น
เรเซอร์ ดราแคล์ ควงคทาเวทย์ที่ทรงพลังที่สุด ‘เรลันดาฟ’ พลางฟื้นฟูมานาและพลังกายตัวเองด้วย ‘วิหคอมตะ’ เพลิงสีทองที่ลุกโฉนไปทั่วทั้งร่างกาย พลังการฟื้นฟูที่ทรงอำนาจที่สุดบนโลก ยิ่งกว่าฟีนิกซ์จริงๆ ซึ่งมีเพียงเรเซอร์คนเดียวที่ใช้ได้
“มารีบจบกันดีกว่าเนอะ เคียวยะ”
“ครั้งนี้ฉันจะชนะ”
เคียวยะกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น ก่อนจะตะโกนออกมา
“โคริน!!”
นามของภูตระดับสูงดังขึ้น พร้อมกับโดรน KY HOPE การพัฒนาที่ไร้จุดสิ้นสุดของมนุษย์ที่ลอยอยู่บนฟ้า แสงสีม่วงส่องสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้า พร้อมกับ KY HOPE ที่พุ่งลงมาปกคลุมร่างของเคียวยะ และเปลี่ยนให้เขากลายเป็นมนุษย์ในชุดเกราะสีดำที่ส่องประกายด้วยแสงสีม่วง
“กัดฟันกรามไว้ให้แน่นๆซะ เรเซอร์!!!”
“ก็ลองดู–!”
…………………………..
………………..
…………
ในยี่สิบนาทีถัดจากนั้น การต่อสู้จบลงด้วยการพ่ายแพ้ของเคียวยะ เขาไม่สามารถจบเกมเรเซอร์ได้ เพราะ วิหคอมตะ และเพราะทุ่มสุดตัวจนเกินไป เลยเกิดข้อผิดพลาดทางการหมุนเวียนมานากลับมาใช้ใหม่ของ KY HOPE ขึ้น ทำให้ช่องว่างเล่นๆนั่นโดนเรเซอร์สวนเข้าทีเดียวจังๆจนล่วง
อมตะ มานาและพลังกายไร้ขีดจำกัด แถมยังมีการโจมตีที่ทวีคูณหลายสิบเท่าจากเรลันดาฟ นิยามความแข็งแกร่งของเรเซอร์คือแมลงสาปที่ถือ RPG เอาไว้ก็ไม่เกินจริง
****
อีเว้นท์โชว์ของสองตัวท็อปได้จบลง ผู้คนพากันทยอยกลับเข้าเมือง จนเหลือเพียงแค่ เคียวยะที่นอนอ้าแขนอ้าขาอยู่บนผืนหญ้า เรเซอร์ ดราแคล์ที่นั่งข้างๆ และเบลลามีที่นั่งอยู่ถัดจากเรเซอร์อีกที
“วันสุดท้ายแล้วสินะ ที่ทั้งสองคนจะได้สู้กันนอกอาณาจักรฟัฟนิร์” เบลลามีพูดขึ้น “หรือว่ามีนัดสู้กันที่อื่นอีกรึเปล่า? เราว่าทำเป็นโชว์ตามเมืองต่างๆก็น่าสนใจดีนะ”
“ไม่เอาหรอกแบบนั้น น่าอายจะตายไป”
“เหรอ? ทั้งเรเซอร์ ทั้งเคียวยะ สุดยอดจะตายไป ไม่เห็นมีอะไรน่าอายเลย”
เรเซอร์หัวเราะพึมพำ
“แต่แรกเดิมทีที่เรื่องมันบานปลาย เพราะว่าไอหมอนี่มันไม่รู้จักออมแรงต่างหาก บอกให้เอาแค่พอเหมาะพอดี แต่จู่ๆมันกลับใส่ KY HOPE แล้วซัดสุดแรงเกิดจนทางนี้ก็ต้องใส่สุดเหมือนกัน”
“……”
เคียวยะไม่ตอบกลับ เอาแต่นอนแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามเย็ม
“เพราะแบบนั้นนี่แหละนะ เวลามีทัวร์นาเม้นท์ฉันเลยโดนกลัวจากเด็กคนอื่นจนเกินจำเป็น ทำให้หาเพื่อนต่างวิทยาลัยไม่ได้เลย ทั้งๆที่คอนเนคชั่นเป็นสิ่งสำคัญแท้ๆ”
ในทุกๆปีจะมีการประลองเวทมนตร์จากต่างโรงเรียนเสมอ แต่ภายหลังการรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของ เรเซอร์ และเคียวยะ ทำให้มีกฏพิเศษถูกตั้งขึ้นมาในหมู่นักเรียน นั่นคือกฏที่ว่าจะยอมแพ้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดสองตัวนี้
ทำให้สองปีที่ผ่านมา รอบชิงจะเหลือแค่คู่เรเซอร์กับเคียวยะ โชว์ซัดกันสะเทือนงานประลอง ทำเอาหมดสีสันต์งานประลองเวทมนตร์ไปถึงสองปีเต็มๆเลย
“……..”
“นี่เคียวยะ ได้ฟังที่บ่นบ้างปะเนี่ย?”
“…..”
เคียวยะเบือนหน้าหนี ..กำลังงอนอยู่ เรเซอร์กับเบลลามีหันไปสบตากัน ก่อนยิ้มให้กัน
ทุกครั้งที่สู้แพ้ เคียวยะจะอยู่ในโหมดเด็กขี้แงที่เรียกก็ไม่ตอบ บ่นอะไรก็ไม่ฟัง ทำเอานึกถึงเหตุการณ์ขโมยกางเกงในของเคียวยะขึ้นมาได้ ..พอมานึกๆดูแล้ว เจ้าหมอนี่ก็มาไกลเหลือเกิน จากโจรขโมย กกน. สู่คนที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งบนโลกใบนี้
เรเซอร์หรี่ตามองดูใบหน้าของเคียวยะ ถึงจะไม่พอใจกับผลการต่อสู้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ร้องไห้งอแง ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาอย่างหนึ่งได้?
“คือว่านะ เคียวยะ มีเรื่องสำคัญต้องบอก”
“…..”
“หลังจบการศึกษาจากที่นี่ไป ฉันจะให้โอกาสนายอีกแค่— ‘หนึ่งครั้ง’ เท่านั้น”
“…หา?”
“ไม่ใช่เดือนละครั้ง หรือปีละครั้ง หรือว่าสิบปีครั้ง แต่จะให้แค่หนึ่งครั้งเท่านั้นที่ฉันจะรับคำท้านาย และเข้าต่อสู้กัน”
สิ่งที่เรเซอร์พูดทำให้เคียวยะคิ้วกระตุก
“ทำไม …”
“หลังจากนี้ฉันจะริเริ่มหลายต่อหลายอย่างน่ะนะ ไม่มีเวลาว่างมาดวลกับนายให้ปวดสมองเดือนละครั้งหรอก ถึงทางนี้จะถือสถิติไร้พ่ายเอาไว้ แต่ทุกครั้งที่ต้องสู้กับนาย มันไม่เคยง่ายเลยนะจะบอกให้” เรเวอร์แสยะยิ้ม “ทางนี้เองก็ทำการบ้านมา เพื่อไม่ให้โดนลูบคมเข้าเหมือนกัน”
“..ชิ ก็ว่าถึงเอาไม่ลงสักที”
“แต่ว่าการต่อสู้กับนายมันไม่ใช่เป้าหมายของฉัน ไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้น เพราะอย่างนั้นเลยคิดว่าจะพอแล้วละ แต่ให้คนที่ไม่เคยแพ้มาพูด มันก็ดูเหมือนหนีไม่กล้ารับคำท้าใช่มั้ยล่ะ? เพราะอย่างนั้นนี่แหละ เลยจะให้โอกาสอีกหนึ่งครั้ง จะตอนไหนก็ได้ จะวันพรุ่งนี้ หรือสิบปีข้างหน้า หรือตอนฉันใกล้แก่จะลงโรงก็ได้หมดไม่มีปัญหา ฉันจะไม่หยุดเขาเกลาตัวเอง จนกว่านายจะตัดสินใจเอ่ยท้าคำท้าครั้งสุดท้ายออกมา”
เรเซอร์ลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจนิดหน่อย ก่อนหันไปยิ้มให้เคียวยะ
“เพราะอย่างนั้น การดวลกันครั้งต่อไป จะเป็นครั้งสุดท้าย และจะเป็นผลลัพธ์ที่แท้จริง”
“…”
“แต่ว่าก็ว่าเถอะ การที่นายจะพิสูจน์ตัวเองว่า ‘แข็งแกร่งที่สุด’ เนี่ย มีฉันเป็นโกลไม่น่าพอหรอกนะ ก็มั่นใจว่าตัวเองเก่งสุดๆอยู่หรอก แต่ว่ายังมีคนที่เก่งกว่าฉันอยู่ คนที่อาจจะเอาชนะฉันได้ … ‘เทพดาบ’ เอย ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’ เอย หรือกระทั่ง ‘ยูจิ’ เองก็ด้วย สามคนที่ว่าแม้แต่ตอนนี้ ฉันก็ไม่ได้มั่นใจว่าตัวเองจะชนะได้ แต่ก็อาจจะไม่แพ้เพราะวิหคอมตะน่ะแหละ ถึงอย่างนั้น ฉันก็กล้าพูดว่าตัวเองอ่อนแอกว่าได้อยู่ หากไม่มีวิหคอมตะ”
เรเซอร์ยื่นมือไปให้เบลลามี เพื่อช่วยดึงมือเธอขึ้นมาจากผืนหญ้าตามฉบับที่คู่รักทำกัน พลางพูดไปด้วย
“บางทีการที่นายยึดติดกับฉันมากเกินไป มันก็ดูจะออกทะเลไปหน่อยนะเคียวยะ—-ที่อยากจะบอกก็คือ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องชนะฉันให้ได้ ในเส้นทางผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดหรอกนะ”
“…..ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” เคียวยะพึมพำเบาหวิว “..ถึงมันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆก็เถอะ”
แต่ว่า …
“มีอะไรเหรอ?”
“..ไม่มีอะไร”
เคียวยะลุกขึ้นยืนตามทั้งสองคน และหรี่ตามองเพื่อนสนิทของตัวเองทั้งสองคนด้วยแววตาที่ส่องประกายแสงสวยงามคู่นี้
“….”
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ—คนที่ฉันเชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดก็คือนายต่างหาก เรเซอร์ แม้จะคิดอย่างนั้นอยู่ในใจ แต่เคียวยะก็ไม่ได้พูดมันออกมา
****
สิบปีถัดจากนั้น—เมื่อเคียวยะอายุได้ 26 ปี เขาได้ส่งจดหมายไปให้เรเซอร์ และเบลลามี เพื่อขอใช้สิทธิ์ท้าประลองครั้งสุดท้าย โดยที่สถานที่ก็คือสถานที่เดิมเหมือนเมื่อวันวาน แต่ว่าคราวนี้ไม่ได้มีผู้ชมมารอชมมากเท่าแต่ก่อน
เคียวยะในชุดเก่าๆ และเสื้อคลุมสีน้ำตาลโทรมๆ นั่งกอดอกอยู่บนพื้นหญ้าอยู่อย่างนั้นหลายสิบนาที ก่อนที่คนที่เขาเรียกหาจะปรากฏตัว
เรเซอร์ ดราแคล์ ในวัย 27 ปี ภายใต้ชุดสูทสีเลือดหมู และส่วนสูงที่เพิ่มเข้ามากกว่าสิบเซนติเมตร และ เบลลามีชุดนักวิจัย ในวัย 26 ปี ที่เดิมมาพร้อมกับข้าวกล่องที่หิ้วคล้องกับแขนมา
“ไม่เจอกันนาน”
“สองปีได้มั้ง? ว่าแต่สภาพโทรมขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย ได้อาบน้ำบ้างเปล่าเนี่ย ระวังตัวเหม็นจนลูกสาวเหม็นขี้หน้าเอานะ”
“ไม่ต้องห่วง ถึงสภาพจะดูเหมือนคนจรจัด แต่ตัวฉันจะไม่ส่งกลิ่นเหม็น”
“ฟุดฟิด จริงด้วย ไม่เหม็นเลย ทั้งที่เนื้อตัวดูสกปรกแท้ๆ” เบลลามีพิสูจน์ด้วยตัวเอง “น่าอัศจรรย์จริงๆ”
เรเซอร์เห็นรีบเดินไปดึงเบลลามีออกห่างจากเคียวยะแบบหึงๆ
“จู่ๆมาดมกลิ่นผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันได้ยังไงกัน เบลลามี”
“..อือ จะว่าไปก็นั่นสินะ ขอโทษนะ”
“ทีหลังอย่าทำอีกนา”
พอเรเซอร์ทำท่าหงอยๆ เบลลามีก็ยื่นมือมาลูบแก้มไปมาจนเกิดบรรยากกาศฟูฟ่องขึ้น
“ไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลยนะ พวกแกเนี่ย” เคียวยะหรี่ตามอง
“แหงอยู่แล้วสิ”
“เรากับเรเซอร์ยังรักกันดี เป็นเรื่องที่น่ายินดีนะ”
“หึ ..นั่นสินะ”
เคียวยะยิ้มออกมา
“วันนี้ฉันตั้งใจจะตัดสินทุกอย่างน่ะ เลยเรียกเธอมาด้วย เบลลามี”
“เราเกี่ยวด้วยเหรอ?”
“เพราะเธอเป็นหนึ่งในคนที่ฉันรักที่สุดนั่นแหละนะ”
—เอ๊ะ?
“ดะ เดี่ยวๆๆๆ!! ไอเวรนี่พล่ามอะไรใส่เมียชาวบ้านฟร้ะ!!”
“แกก็เหมือนกัน เรเซอร์ ฉันเองก็รักแกมากที่สุดเหมือนกัน” เคียวยะกล่าวอย่างเรียบเฉย
“ทะ…โทษที ฉันไม่ได้มีรสนิยมอย่างนั้นน่ะ ตอนนี้บ้านก็ใหญ่จนถ้ามีเพิ่มอีกคน อาจโดนลูกๆ มองต่ำใส่เอาก็ได้”
“ฉันเองก็ไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางทีถ้าฉันเป็นผู้หญิง ฉันอาจจะหาทางเข้าฮาเร็มแก หรือบางทีถ้าคนที่ฉันรักอีกคน ไม่ได้รักเบลลามี ฉันก็อาจจะเข้าหาเบลลามีไปแล้ว ..แต่จะทางไหนก็แล้วแต่ มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นเลย เพราะอย่างนั้น ทุกอย่างเลยเป็นเพียงแค่การสมมุติเท่านั้น มันไม่ได้สำคัญขนาดให้ฉันลงมือทำมันจริงๆ และความรู้สึกก็ไม่ได้รุนแรงอะไรเลย อย่าเก็บไปใส่ใจเลย”
เรเซอร์กับเบลลามีกลืนน้ำลายดัง อึก พร้อมกัน ก่อนโพล่งออกมา
“ “ไม่ทันแล้วละ” ”
“คงจะอย่างนั้นแหละ แต่ว่าพวกแกจะเก็บไปคิดก็เรื่องของพวกแก ไม่ใช่ปัญหาของฉัน”
“พูดเรื่องชวนให้เก็บไปคิดออกมาเองแท้ๆ …แกเนี่ยนะ”
“แย่สุดๆ เคียวยะ”
เคียวยะหัวเราะพึมพำ ดูจะพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
“เข้าเรื่องวันนี้ดีกว่า— เรเซอร์ ดราแคล์ ฉันขอใช้สิทธิ์ท้าประลองแกครั้งสุดท้าย”
“เหรอ เร็วกว่าที่คิดนะ”
ไม่พูดพร่ำไปมากกว่านี้ เคียวยะถอดผ้าคลุมออก และเดินถอยหลังเป็นการให้สัญญาณ เบลลามีเห็นก็รีบผละตัวออก เรเซอร์เองก็คว้าเอาเรลันดาฟออกมาตั้งท่า
“..แกนน่อน ..เท็งงุ เบ็นจิโร่ ..ยูจิ คนที่แกเคยบอกว่าแข็งแกร่งกว่าแก ฉันเอาชนะได้หมดแล้ว และไม่ใช่แค่คนเหล่านั้น คนที่มีแนวโน้มจะเหนือกว่าแกเหมือนกันเองก็ด้วย ไม่ว่าจะมอนสเตอร์อย่าง ‘อีสเตอร์’ หรือพวกวิญญาณระดับเทพตัวอื่นๆที่หลุดรอดจากมหาสงครามไปได้ ฉันก็มีโอกาสได้เข้าปะทะหลายต่อหลายคน และเอาชนะมาได้เสมอมา”
ตลอดสิบปีมานี้ เคียวยะได้พิสูจน์ตัวเองในเส้นทางแข็งแกร่งที่สุด โดยตามโค่นคนที่มีโอกาสจะชนะเรเซอร์ และใกล้เคียงจนหมดทุกคนแล้ว
“ตั้งใจจะข่มกันรึไง?”
เคียวยะส่ายหัวตอบกลับ
“ที่อยากจะบอกก็คือ ต่อให้ชนะพวกที่ถูกกล่าวขานว่าแข็งแกร่งที่สุดไปกว่าครึ่งแล้ว หรือชื่อที่นายเคยกล่าวอ้างเมื่อสิบปีก่อน แต่ก็ยังไม่เคยมีวันไหนที่รู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งที่สุดเลย ..มันทำไมกันนะ” เคียวยะยิ้ม “แต่พอได้เห็นหน้าแก พร้อมกับเบลลามี ก็ทำให้หวนนึกถึงความทรงจำของตัวเองเมื่อสิบปีก่อนได้”
เคียวยะนำมือมาทาบที่หน้าอกของตัวเอง เขากล่าวทั้งหมดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสนอ่อนโยน
“และเป็นเรื่องที่แสนน่าตลก”
“…เคียวยะ”
“ตลอดสิบปี ช่างเป็นเวลาที่สูญเปล่า การเอาชนะใครต่อใครมาได้ มันล้วนแต่เป็นเรื่องที่สูญเปล่า ..แต่ว่า อย่างน้อยๆมันก็ทำให้ฉันมั่นใจได้อย่างหนึ่งน่ะนะ”
………
“ในสายตาฉัน มีแค่แกเท่านั้นที่แข็งแกร่งที่สุด”
กล่าวจบ KY HOPE ก็ส่องประกายอยู่บนท้องฟ้า พร้อมกับคลื่นมานาอันมหาศาลที่สั่นสะเทือน เป็นคลื่นที่รุนแรงกว่าเมื่อสิบปีก่อน สนิทไม่อาจเทียบได้ติด เพียงพริบตาเดียว เรเซอร์เห็นภาพซ้อนทับของ ‘เอเธอร์’ จากตัวของเคียวยะ จากดวงตามหาปราชญ์ที่ส่องประกาย
KY HOPE ที่ไร้จุดสิ้นสุด
ภูตสวรรค์ โคริน
ดวงตามหาปราชญ์ และทักษะอื่นๆอีกมากมาย ที่เก็บเกี่ยว หรือพัฒนามาเป็นสิบปีจากเมื่ออดีต กำลังส่องประกายงดงามอยู่เบื้องหน้าของเรเซอร์ เป็นประกายแสงอันงดงาม ที่ชวนให้ตั้งขอสงสัยว่าหากแสงๆ นี้ ปรากฏอยู่ในสงครามเมื่อสิบกว่าปีก่อน การต่อสู้คงจะไม่ได้อยากลำบาก อาจจะไม่มีการสูญเสียเลยด้วยซ้ำ
“..ให้ได้แบบนี้สิ” เรเซอร์หัวเราะแห้งๆ “คงต้องระวังไม่ให้การต่อสู้จบในไม่กี่นาทีแล้วละมั้ง?”
“หนึ่งชั่วโมงเหมือนกับเมื่อก่อนก็พอแล้วละ”
…………………………………..
……………………
การต่อสู้จบลงในหนึ่งชั่วโมงถัดจากนั้น ด้วยความพ่ายแพ้ของ เรเซอร์ ดราแคล์ ที่ต่อให้มีวิหคอมตะ หรือต่อให้เรียกเอาร่าง ‘เรลันดาฟ’ ‘เทพอสูร’ ออกมา ก็ไม่อาจเอาชนะเคียวยะในตอนนี้ได้ไม่พอ ยังจบลงด้วยการพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ ถูกเล่นงานจนมานาหมด และอยู่ในสถานการณ์ที่วิหคอมตะก็เอาไม่อยู่ จึงต้องเรียกเอาร่าง ‘เรลันดาฟ’ ‘เทพอสูร’ ออกมา แต่ก็ไม่สามารถจบเกมเคียวยะได้ จนมานาหมด และแพ้ไปเอง
สุดท้ายนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เรเซอร์ได้พ่ายแพ้ หลังจากผ่านมาสิบปี—-ทุ่งหญ้าที่ทิ้งเอาควนหลงจากการต่อสู้มากมายเอาไว้
เรเซอร์นอนอ้าแขนอ้าขา โดยมีเคียวยะทิ้งตัวนอนอยู่ข้างๆ และเช่นเดียวกัน เบลลามีเองก็นอนอยู่อีกข้างหนึ่ง ทั้งสามนอนอยู่บนผืนหญ้าด้วยใบหน้าที่พึงพอใจอย่างหาที่สุดไม่ได้
“ท้ายที่สุดก็แพ้จนได้สินะ”
“ไม่เป็นไรนะ”
“อือออ โอ๋หน่อยสิๆ”
“เด็กดี เด็กดี เก่งมาก เก่งมาก”
เคียวยะที่เห็นก็ทำเสียง ชิ ไม่พอใจ
“ดีจริงๆนะที่ต่อให้แพ้ก็มีคนโอ๋ สิบปีก่อนตอนฉันแพ้ จะโดนไอเวรเรย์ นังหนิงกับเด็กในเมืองทั้งหลายซ้ำเติมตลอดแท้ๆ”
“อะไรเล่า มาเรียกร้องอะไร อยากได้คนโอ๋ก็ไปขอให้เมียตัวเองโอ๋สิฟร้ะ นี่จะบอกให้นะ มาบอกรักเมียชาวบ้านไม่พอ ยังมาบอกรักผัวชาวบ้านแบบตูอีก ระวังเจอดีเข้าละกัน เคียวยะ ถ้าเอาไปฟ้องพ่อไอริส แกโดนเล่นแน่ ไม่สิ ไว้ค่อยฟ้องลูกแกตอนลูกโตท่าจะเวิร์คกว่า”
“ก็ลองเอาไปบอกดูสิ แกได้เจอฉันดักตีหัวแน่”
“เก่งกว่าหน่อยเอากำลังเข้าว่าเลยงั้น? บอกก่อนว่าโควต้าสู้กับแกหมดแล้วเฟ้ย ไม่มีครั้งต่อไปแล้ว ต่อให้โดนดักตีหัวอย่างที่ว่า ฉันก็ขอผ่าน”
พอเถียงกันอย่างกับเด็กไปอย่างนั้น เบลลามีก็หัวเราะออกมา
“จะว่าไป เราก็เคยโอ๋เคียวยะนี่”
“อ่า ใช่ ตอนที่ยังเป็นโจรขโมย กกน. สินะ ตอนนั้นก็โดนฉันเล่นซะยับเยินจนร้องไห้เป็นเด็ก เฮ้อ ไม่ไหว ไม่ไหว ใครจะคิดละว่าไอ้เด็กกระโปกจอมถ่อยเมื่อวันวาน จะเติบใหญ่มาเป็นไอ้ถ่อยที่ใช้กำลังข่มเหงคนอื่นแบบนี้”
เรเซอร์ต่อว่าเคียวยะ เป็นการงอแงแบบเจ็บใจของคนแพ้รูปแบบหนึ่ง กระนั้น
“……”
ใบหน้าของเคียวยะแดงแจ๋ขึ้นมา ความทรงจำในอดีตย้อนกลับเข้ามาทิ่มแทงจนร่างแทบจะระเหยด้วยไอร้อน
“จะว่าไป พ่อแม่กับน้องสาวแกเป็นไงบ้างเนี่ย ไม่ได้ข่าวคราวเลย”
“ก็ดี ไอริสคอยดูแลให้”
“แกเนี่ยนะ ทำหน้าที่เป็นสามีที่ดีบ้างก็ดีนะ”
“…ฉันไม่ได้เรื่องขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ไม่รู้สิ ลองถามความเห็นคุณผู้หญิงแบบเบลลามีดูสิ”
เบลลามีกระพริบตาปริบๆ
“วันๆเราก็ทำแต่งานเหมือนกัน เดี่ยวนี้ได้เห็นหน้าลูกแค่สามเดือนครั้งเอง ขอไม่ออกความเห็นนะ”
…….
เคียวยะแสยะยิ้ม
“สมกับเป็นเบลลามี คนประเภทเดียวกับฉัน”
“เห้ย เบลลามีไม่ผิดสักหน่อย”
“โคลเอ้ จะเป็นยังไงบ้างนะ …คิดถึงจัง”
“คิดถึงก็ไปหาสิ”
กล่าวจบ เคียวยะก็ลุกขึ้นยืน
“จะไปแล้วเหรอ?”
“เวลาว่างไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ พวกแกเองก็ด้วย” เคียวยะโยนผนึกสองผนึกมาให้ “ถ้าทำลายผนึก พวกแกจะวาร์ปไปเมืองชันไมได้ คิดซะว่าเป็นของปลอบใจผู้แพ้”
“นี่มัน ..ของหายากที่ใช้เวลาทำเป็นปีๆเลยไม่ใช่รึไง”
“ระดับฉันแค่เดือนเดียวก็ได้หนึ่งลูกแล้ว ไม่ใช่ของที่มีค่าขนาดนั้นหรอก แค่ปั้นเล่นตอนว่างๆระหว่างเดินทางด้วยกันกับโคริน”
สมกับเป็นผู้มีดวงตามหาปราชญ์ หรือผู้ถือครองภูตสวรรค์ที่ทรงปัญญาที่สุดอย่างโคริน สามารถทำเรื่องที่คนทั่วไปไม่สามารถทำได้ได้ไม่พอ ยังทำได้ด้วยเวลาที่เร็วกว่าเป็นสิบเท่า
“ขอบใจละกัน แต่ว่าไม่ละ”
“นั่นสินะ”
เรเซอร์กับเบลลามีหันหน้ามองกัน ก่อนออกความเห็นในทิศทางเดียวกัน
“..ทำไม?”
เรเซอร์เห็นก็หยักไหล่ เบลลามีถอนหายใจ
“พวกเราอุตส่าห์ได้มาเจอกันทั้งที ไปหาร้านอาหารข้างทางสักร้าน นั่งกินแล้วคุยเล่นกันน่าจะดีกว่านะ”
“มีเรื่องที่อยากคุยด้วยเพียบเลยละ”
….
“…สักแปปนึงก็พอได้”
“แต่ก่อนอื่น จับแกไปอาบน้ำก่อนน่าจะดี”
“เห็นด้วย”
“…เข้าใจแล้วน่า”
เคียวยะถอนหายใจเฮือกโต ก่อนตามทั้งสองคนไป ระหว่างทาง เขาเห็นภาพซ้อนทับกับเมื่อสิบปีก่อนมากมายนับไม่ถ้วน และไม่สามารถปิดบังรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้ได้