***………………..***
เวทมนตร์เป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติไม่ว่าจะหาอะไรมาอธิบายก็ไม่อาจจะเข้าใจมันได้ถ่องแท้ และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้โดยปราศจากพลังแห่งปาฏิหาริย์
แม้ใจโลกดั้งเดิมของเขาจะไม่มีอะไรเหล่านี้อยู่ แต่ในที่นี้ก็มีปาฏิหาริย์ดังกล่าวอยู่ชื่อเรียกว่า มานา
โดยมนุษย์ปกติแล้วนั้นเวทมนตร์จะเริ่มปรากฎเมื่อตนอายุได้ประมาณ 6 ปีเศษ แต่ตัวของเขากลับยังไม่โผล่ออกมาแม้แต่เศษน้อยเลย แต่สเตฟานนั้นไม่ใช่…
ในคืนที่อายุย่างเข้าเลขสองหลักนั้นเอง เขาอันเล็กคู่หนึ่งได้ผุดขึ้นมาจากบริเวณหน้าผาก พร้อมกับบริเวณปลายสุดกระดูกสันหลังนูนขึ้นมาเป็นโหนกขนาดเล็ก ส่งผลให้เธอนั้นเจ็บปวดทรมาณในคืนนั้นจากความเปลี่ยนแปลง
แต่ความเจ็บปวดเหล่านั้นก็หายไปอย่างเป็นปริศนาจึงทำให้ตัวเขาไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้น
‘นี่มันอะไรล่ะเนี่ย’
พอตื่นขึ้นก็รู้สึกได้ถึงโหนกเล็กๆ ทั้งสองแห่ง ทั้งบริเวณหน้าผากที่ขึ้นมาเป็นคู่ และบริเวณหลังเลยเหนือก้นกบขึ้นมาเล็กน้อย
พอพยายามนึกเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นก่อนหน้าก็ไม่อาจนึกออกราวกับเขาจมอยู่ในภวังค์อะไรสักอย่าง ณ ช่วงเวลานั้น
เขาวิ่งลงไปถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคุณยายมิลาด้าบริเวณห้องครัวก็ได้คำตอบแบบไม่น่าจะเป็นเรื่องดี
พอเดินเข้าไปหาด้วยสัญชาติญาณหรืออะไรบางอย่าง จู่ๆ ก็ทำให้เขาขนลุกซู่กับสายตาที่หันมามองจากคุณยายที่ปกติแล้วจะหรี่ตาจนมองไม่เห็นนัยน์ตา
แต่นางกลับเปิดออกมาเล็กน้อยเผยให้เห็นดวงตาสีส้มแสดสวยงามแม้จะเป็นเวลาเพียงไม่นาน
“ยายขอโทษที่เก็บเอาไว้นานนะจ๊ะ”
แล้วนางก็ค่อยๆ เดินไปหยิบกล่องอะไรบางอย่างมา…
ภายในลังนั้นประกอบไปด้วยเศษเปลือกคล้ายไข่ของตัวอะไรสักอย่างขนาดค่อนข้างใหญ่ที่จะคลุมเด็กทารกไว้ได้ทั้งคน
ทารก?
“ย-อย่าบอกนะว่า..?”
คุณยายเฉลยโดยพูดดูคล้ายจะไม่ใช่ความจริงดังว่า…
เขานั้นเป็นลูกครึ่งมังกรที่เกิดมาคล้ายจะกำพร้าโดยมีคุณยายใจดีที่อาศัยอยู่ในป่าเก็บมาเลี้ยง
นางนั้นไม่ทราบความเป็นมาใดๆ เกี่ยวกับตัวของสเตฟานีเลย และชื่อสเตฟานีก็เป็นตัวอักษรที่เขียนอยู่ข้างไข่ใบใหญ่
สิ่งเหล่านี้ที่คุณยายเล่ามา ราวกับว่าครอบครัวที่แท้จริงจงใจส่งมาให้เลี้ยงเสียมากกว่า
ท่าทางการแสดงออกซึ่งไม่มั่นคง น้ำเสียงที่สั่นคลอนระหว่างพูด และสายตาซึ่งไม่หรี่เปลือกตาจนมิดก็รู้ว่าไม่ได้มองกันตรงๆ
แต่ยังไงความจริงที่ว่าเขานั้นดูแล้วไม่ใช่มนุษย์ซึ่งถูกเลี้ยงโดยคุณยายแก่ในบ้านไม้หลังน้อยกลางป่าใหญ่นี้ก็ยังเป็นความจริงที่ไม่อาจหลีกหนีได้
และหลังจากพูดคุยกันเบาๆ เสร็จสรรพก็ถึงเวลาอาหาร
ไม่รู้ทำไมเขามีอาการหิวมากกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะทำให้เขาแปลกใจอะไรมากนักเพราะมื้อเย็นวานทานเพียงแต่ซุปกระดูกสัตว์อะไรบางอย่างกับขนมปังก้อนเดียวด้วยความไม่อยากอาหารกระทันหัน
แต่ไม่ว่าจะดูไร้โภชนาการยังไงก็ตาม ด้วยเวทมนตร์หรืออะไรก็ตาม อาหารที่ผ่านมือของคุณยายนั้นล้วนอร่อยทั้งหมดราวกับนางเป็นเชฟมิชลินสตาร์ ความเป็นแม่ศรีเรือนเลเวลแม๊กซ์
และก็ถึงเวลาเรียนตามเคยหลังจากอาหารได้สักพัก…
แต่ในวันนี้ต่างออกไปสักหน่อยเนื่องจากคุณยายไม่ได้สอนภาษาตามเดิม แต่นางกลับลากเขาออกไปนอกบ้าน
คุณยายแบมือขึ้นระดับกลางอก เผยให้เห็นถึงมืออันเหี่ยวย่นของหญิงชราที่ไม่ค่อยได้เห็น
ก่อนที่จะมีก้อนแสงลอยปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือนางซะดื้อๆ
“สิ่งนี้คืออะไรเหรอคะคุณยาย?”
“มานา จ่ะ..”
คำคำนั้นสลักลงไปในหัวใจของอดีตโอตาคุคนหนึ่ง แม้จะไม่ค่อยได้ดูอนิเมะเท่าไหร่ในเมื่อก่อนตาย แต่ในสมัยเรียนก็เคยมีบ้างที่ชมอยู่บ้านวันหยุดโดยถูกยัดเยียดจากนายรอส สมัยที่ยังเป็นรูมเมทกัน
เวทมนตร์เปรียบดั่งความฝันที่เป็นจริง พลังปาฏิหารย์ที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ในโลกเดิมแม้จะมีความเชื่อกันอยู่บ้าง
คุณยายใช้มืออีกข้างลูบไปที่ศรีษะของเขาขณะที่เขานั้นยังไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่จดจ่อกับก้อนสีฟ้าดูไร้รูปร่างบนฝ่ามือเหี่ยวนั้น
“อ อะไรกันคะคุณยาย?”
คุณยายไม่พูดอะไร เพียงแต่ลูบศรีษะต่อไปด้วยใบหน้าอมยิ้มที่เดาความคิดได้ประมาณว่า ‘ได้ลูกศิษย์แล้วสิ’
แล้วนางก็เริ่มที่จะให้เขาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเวทมนตร์มากขึ้น และในตอนท้ายของวันก็มีการฝึกเวทย์กับคุณยายเพื่อที่จะหาความถนัดของธาตุ
โดยปกติแล้วมนุษย์จะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่มีเวทย์ถนัดประจำตนตายตัว หลายคนที่เป็นนักเวทย์จะมีมากกว่า 2 ธาตุในตัวเป็นส่วนใหญ่
แต่กับสเตฟานีที่หวังว่าจนจะมีแบบนั้นตามที่คุณยายอธิบายก็คงต้องผิดหวัง…
“ลองยิงเป้าตรงนั้นดูนะ”
คุณยายบอกก่อนที่เขาจะเดินไปข้างหน้า ผายมือเพื่อเรียกหาปาฏิหารย์ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นางลองยื่นไม้กายสิทธิ์ที่พิงอยู่พนังบ้านมาให้เขา พอตั้งไม้ยกไปทางเป้าก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อีกอย่างที่คุณยายหยิบออกมาให้ลองเป็นไม้คทาอันเล็กออกมาจากมุมบ้านที่ซ่อนของคุณยายเอาไว้
ฟู่!
ปรากฏว่าออกมาเป็นเปลวไฟขนาดเล็กที่มอดลงไปก่อนจะถึงเป้าซึ่งห่างออกไป 20 เมตร
“ว ว ว เวทมนตร์!! ฉันใช้เวทมนตร์ได้”
“ถ้าเช่นนั้นก็คล้ายกับยายเลยสิ สมแล้วที่เป็นหลานยาย แล้วธาตุอื่นเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ?”
พอลองเปลี่ยนจูนหมุนมิเตอร์ พยายามจะเปลี่ยนไปเป็นธาตุอื่นแต่ก็ไม่มีอะไรออกมา
‘ดูท่าว่าจะไม่เป็นเหมือนมนุษย์จริงด้วย’
สเตฟานส่งหน้าหงอยออกมาผ่านบรรยากาศ คุณยายเองก็ปลอบใจเพราะนางก็มีเพียงเวทย์ธาตุไฟที่ถนัด ส่วนที่เหลือนั้นเรียกได้ว่าไม่ได้เรื่องหากเทียบกันแล้ว
แต่ทว่าการพัฒนาของสเตฟานีนั้นก็เข้าขั้นอัจฉริยะ…
วันต่อมาก็เริ่มการฝึกต่อแต่คราวนี้จะเป็นการควบคุมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ก็ยังเป็นการฝึกความจุของพลังไปได้อีกด้วยโดยการใช้ให้หมดก๊อกจนตัวนั้นไม่สามารถขยับได้เนื่องจากอาการขาดมานา แต่ก็จะคอยมีคุณยายเข้ามาเติมมานาให้ทันทีที่ขยับตัวไม่ได้
แม้เรื่องความจุของพลังนี้จะไม่จำเป็นและอันตรายต่อการฝึกเพราะด้วยอาการขาดมานาที่จะทำให้ทั้งตัวไร้การตอบสนองราวกับเป็นอัมพาทอยู่ จึงอันตรายอย่างยิ่งหากอยู่ตัวคนเดียว
ในส่วนของการควบคุมก็เป็นเพียงการค่อยๆ ร่ายออกไปทีละก้อนเล็กๆ และคอยดูไม่ให้มันหายไปทันทีที่ร่ายเสร็จ
แม้ว่าช่วงเริ่มแรกจะค่อนข้างทุลักทุเลสะเปะสะปะไปบ้าง แต่ก็ถือว่าดีแล้วสำหรับนักเวทย์วัยเยาว์
ในกรณีของสเตฟานีนี้เรียกได้ว่าเปลี่ยนแปลงรายวัน หากเทียบกันแล้วคนธรรมดาใช้เวลาเป็นเดือนหรือมากกว่านั้นเพื่อที่จะทำให้ได้เท่าสเตฟานีในหนึ่งวัน
ดังนั้นจึงมักจะเห็นเหล่านักเวทย์ระดับสูงๆ จะมีอายุมากกันทุกคน
การฝึกดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าเขาจะมีความสามารถถึงขั้นที่เรียกได้ว่าใช้ไฟได้ราวกับหายใจในชีวิตประจำวันแล้ว
ฝึกเสียจนไฟนั้นไม่ใช่สามัญสำนึกที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้ จนไฟของนางนั้นไม่ใช่ ไฟ อย่างที่คนอื่นนิยามกันอีกต่อไป
แต่กว่าจะไปถึงก็ใช้เวลาเต็มสี่ปี จนเขาได้ย่างเข้าสู่วัยรุ่นแม้ว่าร่างกายของเขานั้นจะดูยังเป็นเด็กประถมอยู่ก็ตาม
***………………..***
จากTill_lil
MANGA DISCUSSION