ตอนที่ 270 โรงเรียนอนุบาล
จางฉุ้ยเหลียนอยู่บ้านของปู่ย่าได้ไม่นาน เธอก็หาข้ออ้างปลีกตัวออกมา ถึงจะไม่ถามเรื่องอาการป่วยของปู่ ก็ไม่มีใครในตระกูลจางต่อว่าเธอ หากพูดให้ถูกจริง ๆ ก็คือ เวลามีคนพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนก็จะโดนเช่าหวาขัดคอตลอด
หลังจากที่ออกมาจากบ้าน ใจของจางฉุ้ยเหลียนก็เต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวายใจ เธอพบว่าสิ่งที่เรียกว่า ครอบครัวก็มีข้อบกพร่องเหมือนกัน สภาพแวดล้อมของการเติบโตที่แตกต่าง ย่อมมีนิสัยที่ต่างกันไปด้วย เพื่อผลประโยชน์ที่แตกต่าง ความสัมพันธ์ของแต่ละคนก็ต่างออกไปเช่นกัน
ในปีนั้นเธอยังหวังอย่างสุดซึ้งว่า ตัวเองจะหนีออกจากสถานที่เท่าฝ่ามือนั้นได้ แต่น่าเสียดายที่ป้าสะใภ้ใหญ่ของเธอได้เปลี่ยนไปแล้ว ช่วงแรกของการกลับชาติมาเกิดใหม่ จางฉุ้ยเหลียนได้รับการดูแลจากป้าหลิวไม่น้อย กับเฉินเฉี่ยวหยิงเองก็เกือบจะเรียกได้ว่า เป็นเพื่อนสนิท และทั้งสองคนก็เข้าใจผิดคิดว่านี่เป็นความสัมพันธ์ป้าหลานที่ดีที่สุดแล้ว
แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนแต่งงานออกเรือนไป ความสัมพันธ์ก็จะลดลงแบบนี้ ในขณะที่ทั้งสองครอบครัวไม่ได้ติดต่อไปมาหาสู่กัน ความรู้สึกที่แสนเรียบง่ายนี้ก็ได้จืดจางลง ตอนนี้เธอกลับมาอยู่ที่เมือง Q แล้ว แต่เฉินเฉี่ยวหยิงและป้าสะใภ้ใหญ่กลับเว้นระยะห่างกับเธอ การเว้นระยะห่างเช่นนี้จะเรียกว่าความริษยาได้ไหมนะ ?
จางฉุ้ยเหลียนเป็นคนโง่เขลา ชาติก่อนก็โง่มาทั้งชีวิตแล้ว แต่แม่สามีของเธออย่างอันหลงกลับไม่ได้เป็นคนโง่เขลา ชีวิตของหล่อนขึ้น ๆ ลง ๆ จนสามารถพูดได้ว่า หล่อนมีประสบการณ์เยอะมาก คุณหนูลูกเศรษฐีกลายเป็นภรรยาที่ต้องสู้ชีวิต มีฐานะต้อยต่ำในบ้านแม่สามี แต่ในมือก็มีเงินส่วนตัวจำนวนมาก ทำให้หล่อนมั่นใจในการทำบางอย่าง แต่ในขณะที่ลูกชายหล่อนกำลังติดพันกับการทำงาน สามีของหล่อนก็จากไป เดิมทีก็เป็นแค่การตายของใครคนหนึ่งเท่านั้น แต่บ้านตระกูลกู้กลับย่อยยับอย่างสมบูรณ์แบบ
ไม่มีสามี แล้วลูกชายก็โดนปลด พวกลูกหลานบ้านแม่ก็ไม่ใยดีหล่อน แล้วยังคืนหุ้นเดิมให้หล่อนและบอกว่า นั่นเป็นความเมตตาครั้งสุดท้ายแล้ว ส่วนเงินปันผลที่เหลือกลับไม่ให้หล่อนเลยแม้แต่เหมาเดียว
ก่อนหน้านี้แม่เฒ่าเฝิงก็ยังมาพักอยู่ที่บ้านอีก อยู่ฟรีกินฟรีและยังออกคำสั่งต่าง ๆ นานาอีก หลังจากที่ทรมานหล่อนเสร็จแล้ว หล่อนก็ยังโวยวายว่าโดนอันหลงรังแก
ครอบครัวอบอุ่นหรือเย็นชาหล่อนย่อมรู้ดียิ่งกว่าใคร หล่อนทั้งผิดหวังและปวดใจยิ่งกว่าอะไรดี หลายปีต่อมาอันหลงก็กลายเป็นคนคิดลบอย่างสุดโต่ง แต่ก็มีบางคำพูดของหล่อนที่ตรงกับความเป็นจริงสุด ๆ
ความจริงแล้วเมื่อกี้ ป้าสะใภ้ใหญ่อย่างหลิวกุ้ยเฟินและพี่สะใภ้ของเธอ เฉินเฉี่ยวหยิง ไม่ได้สนใจว่าคังคังจะชอบกินขนมอบกับเค้กข้าวจริงไหม สิ่งที่พวกหล่อนสนใจก็คือจางฉุ้ยเหลียนซึ่งเป็นญาติของพวกหล่อน มีฐานะสูงกว่าพวกหล่อนมาก ใบหน้าอันภาคภูมิใจของเช่าหวาก็ไม่ได้เป็นเพราะเธอเอาอะไรให้ แต่เป็นเพราะสามารถอวดว่าตัวเองนั้นร่ำรวยกว่าพวกหล่อนก็เท่านั้น
การเปรียบเทียบกันระหว่างญาติ ทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกเบื่อหน่าย
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนกลับไปแล้ว เช่าหวาและครอบครัวก็พากันกลับบ้าน ขณะนั้นเองจางฉุ้ยหลินก็ถือจานใส่ลูกพลับแช่แข็งกับลูกแพร์แช่แข็งออกมาจากบ้านของตัวเอง พอเห็นจางฉุ้ยเหลียนและลูกชายจากไปแล้ว เขาก็รู้สึกเสียใจอยู่หน่อย ๆ “ไอ้หยา กลับกันเร็วจริง เพิ่งนึกได้ว่า อยากให้หลานได้กินลูกแพร์แช่แข็งสักหน่อย ! ”
หลิวกุ้ยเฟินตำหนิเขาอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “กินกับผีน่ะสิ หล่อนจะชอบของเน่า ๆ ของแกงั้นหรือ”
จางฉุ้ยหลินเป็นผู้ชาย เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้เห็นคลื่นลมระหว่างผู้หญิงเมื่อครู่อยู่ในสายตา แต่เขาก็รับรู้ได้ลาง ๆ ว่า ช่องว่างระหว่างพวกเขามันใหญ่มาก
เขาเป็นผู้ชายที่มีเป้าหมาย ของที่มองเห็นสัมผัสได้ย่อมเก็บไปใส่ใจ หลังจากที่ทำให้ชีวิตพื้นฐานมั่นคงและน่าพอใจมากพอแล้ว ต่อไปก็ต้องเปลี่ยนคุณภาพชีวิตและวิถีชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังมีลูกชาย พอเจอคังคังในวันนี้ เขาก็เอาไปเปรียบเทียบกับลูกชายของตัวเองทันที ทันใดนั้นในใจของเขาก็มีความรู้สึกที่แตกต่างแทรกขึ้นมาทันที นี่เกิดจากสภาพแวดล้อมทางการศึกษาที่แตกต่างกัน
คังคังโดนแม่พาไปโน้นไปนี่ทุกที่ สิ่งที่เห็นสิ่งที่ได้ยินย่อมแตกต่าง เขาอายุน้อยกว่าต้าเป๋าลูกชายของตัวเองถึง 2 ปี แต่เรื่องมารยาทและความคล่องแคล่นในการพูดกลับมีมากกว่าต้าเป๋าเยอะ
ย้อนกลับมามองที่ต้าเป๋าตัวลูกชายของเขา ปกติอยู่บ้านก็ดูไม่มีอะไร แต่เมื่อเทียบกับน้องชายแล้ว กลับเห็นได้ชัดว่าเขาดูซื่อบื้อกว่ามาก
นี่ไม่ได้เป็นเพราะจางฉุ้ยเหลียนแตกต่างจากตัวเองแล้วเท่านั้น แต่สภาพแวดล้อมของการใช้ชีวิตก็ยังแตกต่างกันมากอีกด้วย
พอคิดมาถึงตรงนี้ จางฉุ้ยหลินก็หลุดออกมาจากความคิด เขายังได้ยินเฉินเฉี่ยวหยิงบ่นด้วยความโมโหว่า “จะแสดงให้เห็นอะไรล่ะ ยังกล้าบอกว่ากินขนมอบพอแล้ว ไม่อยากดื่มนมอัลมอนด์อีก กลัวคนอื่นไม่รู้รึไงว่าหล่อนมีเงิน ! ”
หลิวกุ้ยเฟินเองก็อดไม่ได้ที่จะบ่นตามลูกสะใภ้ต่อหน้าพ่อแม่สามี สามี และลูกชายของตัวเองว่า “ใช่ไหมล่ะ ! ถึงจะรวย หล่อนก็ไม่ได้เป็นลูกผู้ดีมาจากไหน ! คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ผู้หญิงคนหนึ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย แต่สุดท้ายก็ทิ้งงานดี ๆ ไป เพื่อไปเปิดร้านเน่า ๆ ร้านหนึ่ง ผู้หญิงผู้ชายผ่านเข้า ๆ ออก ๆ มากหน้าหลายตาในแต่ละวัน ดูดีที่ไหนกัน ! ”
คำพูดนี้ดูแรงไปหน่อย จางกว่างโหย๋วจึงทนฟังไม่ได้อีกต่อไป “พอได้แล้ว พวกผู้หญิงก็รู้จักแต่นินทากันไปวัน ๆ นี่เป็นคำพูดที่ผู้ใหญ่อย่างเธอควรพูดหรือ หลานมีเงินมันก็เป็นเรื่องของหลาน เธอจะไปเปรียบเทียบอะไรกับเขา รอให้สักวันหนึ่งเธอได้ไปยืนบนบ่าของหล่อนแล้ว ค่อยพูดแบบนี้เถอะ ! ”
เฉินเฉี่ยวหยิงเห็นพ่อสามีกำลังสั่งสอนแม่สามี หล่อนเลยช่วยพูดออกไปด้วยความไม่พอใจว่า “พ่อคะ เรื่องนี้จะโทษแม่ของหนูก็ไม่ได้นะคะ นี่ไม่ได้เป็นเพราะจางฉุ้ยเหลียนอวดดีหรือ อันนี้ก็ไม่กินอันโน้นก็ไม่ได้ เด็กไม่กินอะไรที่ไหนล่ะ ? สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นเพราะผู้ใหญ่ไม่ให้กินหรอกหรือ หล่อนกำลังรังเกียจว่าของบ้านเราสกปรกต่างหากล่ะ ! ”
พอได้ยินแบบนั้น ทุกคนก็อดคิดไปถึงก่อนที่คังคังจะรับของไปกินไม่ได้ ดวงตาของเขากลมโตจับจ้องไปที่จางฉุ้ยเหลียน พอจางฉุ้ยเหลียนพยักหน้า เขาถึงรับของแล้วพูดด้วยเสียงเด็กน้อยว่า “ขอบคุณครับ ! ”
หลิวกุ้ยเฟินพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ จางฉุ้ยเหลียนบอกไม่ให้กินเด็กก็ไม่กิน ไม่กินก็ดี จะได้เก็บไว้ ! ”
จางฉุ้ยหลินขมวดคิ้ว คิดว่าแม่และภรรยาของตัวเองกำลังทำเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่
“อย่างพวกเธอมันเรียกว่ารู้จักแต่ด่าคนอื่นไม่ดูตัวเอง ทำไมไม่พูดว่าฉุ้ยเหลียนสอนลูกชายได้ดีบ้างล่ะ ห๊ะ ? ! ” จางกว่างโหย๋วไม่สนใจและยังพูดออกไปตามความคิด เขาไม่สนใจเลยสักนิดว่า หลิวกุ้ยเฟินจะพอใจไหม
หลิวกุ้ยเฟินยังพอว่า แต่หลังจากที่เฉินเฉี่ยวหยิงได้ยิน หล่อนก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที หล่อนยิ่งคิดมากกว่าเดิม ในใจก็รู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม ห่อนเลยพูดออกไปด้วยความโมโหว่า “ใช่สิ ก็หล่อนเรียนจบมหาวิทยาลัยเลยนี่ ลูกที่คนเรียนจบมหาวิทยาลัยสอน ก็ต้องดีกว่าคนที่ไม่มีการศึกษาอย่างพวกเราอยู่แล้ว”
ทุกคนเงียบในทันที และก็มองออกว่าตอนนี้เฉินเฉี่ยวหยิงโมโหมากขนาดไหน สุดท้ายต้าเป๋าก็เป็นลูกหลานบ้านตัวเอง แล้วใครที่ไหนจะไปยอมรับล่ะว่า หลานบ้านตัวเองไม่ดีเท่าบ้านคนอื่น
พ่อเฒ่าแม่เฒ่าเองก็รู้สึกอึดอัดมาก เพราะเด็กทั้งสองคนก็เป็นเหลานของตัวเองทั้งคู่ ไม่ว่าใครจะหน้ามือหลังมือก็เป็นลูกหลานของตัวเองทั้งนั้น จางฉุ้ยเหลียนและลูกนำของมาเยี่ยมตัวเอง แต่หลังจากคนกลับไปแล้ว คนในบ้านของตัวเองกลับต่อว่าเธออย่างนั้นหรือ ?
หลังจากนั้นพักหนึ่ง จู่ ๆ จางฉุ้ยหลินก็พูดขึ้นมาว่า “ผมได้ยินมาว่า โรงเรียนอนุบาลที่คังคังเรียนอยู่ ค่าเทอมแพงมาก และมันก็เป็นโรงเรียนอนุบาลในตัวเมือง”
เฉินเฉี่ยวหยิงไม่เข้าใจว่าสามีต้องการพูดอะไร หล่อนคิดแค่ว่าชื่อโรงเรียนนั้นน่าฟังก็เท่านั้น หล่อนจึงบุ้ยปากและเย้ยหยันต่อทันทีว่า “หึ ! ก็คนมันมีเงินนี่”
จางฉุ้ยหลินหันไปพูดกับจางกว่างโหย๋ว “พ่อครับ ผมว่าเราส่งต้าเป๋าไปเรียนในเมืองกันเถอะ ไม่เหมือนยังไงก็คือไม่เหมือนนะครับพ่อ ! ”
จางกว่างโหย๋ว ขมวดคิ้วและถามออกไปทันทีว่า “มันก็ได้อยู่หรอก แต่มันไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ ? ”
จางฉุ้ยหลินส่ายหัว “แม้แต่นกโง่ก็ต้องลองบินก่อน ! ทางที่ดีที่สุดพวกเราก็ลองไปเรียนเลย อย่างมากสุดก็กู้เงินเอา ! ”
จางกว่างโหย๋วก้มหน้าครุ่นคิดสักพัก จากนั้นเขาถึงได้พยักหน้าอย่างหนักแน่น “งั้นก็หาโรงเรียนอนุบาลที่ค่อนข้างดีหน่อยก็แล้วกัน ลองไปหาดูว่าโรงเรียนไหนเข้าง่ายบ้าง”
หลิวกุ้ยเฟินไม่เข้าใจว่า สองพ่อลูกคู่นี้กำลังคุยอะไรกัน แต่ก็เข้าใจอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือ พวกเขาพูดถึงเรื่องเรียนของต้าเป๋า “หมายความว่ายังไง พูดอะไรกัน จะให้ต้าเป๋าไปเรียนในเมืองอย่างนั้นหรือ ? ทำไมล่ะ จะไปเรียนที่โรงเรียนอนุบาลของคังคังนั่นหรือ ? บ้าหรือเปล่า จะเอาเรื่องนี้ไปเปรียบเทียบกันได้ยังไงล่ะ”
“เธอจะไปเข้าใจอะไร รู้จักแต่…ชาวบ้าน ! ” จู่ ๆ จางกว่างโหย๋วก็ขึ้นเสียงด่า จนหลิวกุ้ยเฟินน้อยอกน้อยใจ ขณะเดียวกันหางตาของหล่อนก็เหลือบไปเห็นท่าทีตกตะลึงของลูกสะใภ้ ทันใดนั้นหล่อนก็รู้สึกขายขี้หน้ายิ่งกว่าเดิม
หล่อนเลยยืดตัวตรงเท้าเอวแล้วก่นด่าออกมาทันที “แกด่าใคร ห๊ะ ? ไอ้แก่เวร ส่งไปเรียนในเมือง แกมีเงินหรือ ห๊ะ ? จางฉุ้ยเหลียนมาเยี่ยมแค่ครั้งเดียว แกไม่รู้ว่าอะไรดีแล้วใช่ไหม”
จางกว่างโหย๋วไม่ใช่น้องชายผู้ไม่เอาถ่านอย่างจางกว่างฝู ในที่นี้เขาไม่ใช่คนกลัวภรรยาเอาแต่ฟังภรรยาทุกอย่าง อำนาจทางการเงินของครอบครัวก็ถูกตัวเองควบคุมมาโดยตลอด ที่พ่อแม่สามารถอยู่ในบ้านได้อย่างสงบสุขมาหลายปีขนาดนี้ ก็เป็นเพราะเขาเป็นเสาหลักที่แข็งแรง
หลายปีมานี้เขาแก่ขึ้น นิสัยก็อ่อนโยนขึ้นเยอะมาก หลิวกุ้ยเฟินภรรยาไม่ได้เรื่องคนนี้เลยเข้านอกออกในได้อย่างสบายใจ บางครั้งอารมณ์ขึ้นก็คิดว่ามันเป็นเรื่องตลก แต่เขาก็ไม่เคยโมโห
ตอนนี้ไม่รู้เป็นอะไร พอไฟโทสะขึ้นมาในหั เขาก็ยกเท้าถีบออกไปทันที เมื่อเห็นว่าเขาโมโหแล้ว หลิวกุ้ยเฟินถึงได้หุบปากไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
“รู้จักแต่เปรียบเทียบเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ ทำไปเธอถึงได้สายตาสั้นและหน้าไม่อายอย่างเช่าหวาได้ ห๊ะ ? ” พอจางกว่างโหย๋วโมโห พ่อเฒ่าแม่เฒ่าและทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ก็หายตัวไปคนละทิศละทาง แต่ละคนต่างก็ก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จา ต้าเป๋าเข้าไปซ่อนตัวในอกของคุณย่าด้วยความตกใจจนไม่กล้าขยับตัว
“มันเกี่ยวอะไรกับจางฉุ้ยเหลียน ? จะเรียนหรือไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยแล้วมันยังไง ? ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่รู้จักทำตัวให้รู้ความ ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยก็ไม่รู้จักอะไรเรียกว่ามารยาทรึไง ? ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยก็พูดภาษาคนไม่ได้งั้นสิ ? ” จางกว่างโหย๋วนึกไปถึงท่าทางที่มีมารยาทของคังคัง นั่นต้องเป็นสิ่งที่คนในตระกูลจางสอนเขาไม่ได้อย่างแน่นอน
ไม่ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะมีการศึกษาขนาดไหน มหาวิทยาลัยก็ไม่ได้สอนเรื่องพวกนี้หรอก หากพูดให้ฟังดูแย่หน่อยก็คือ ตอนนั้นจางฉุ้ยเหลียนยังดีไม่เท่าคังคังเลยด้วยซ้ำ เพราะเธอชอบเขี่ยหาหมูในจานจนมันกระเด็นออกมา โดนตีไปตั้งหลายครั้ง แต่ตะเกียบในมือก็ยังคีบหาอาหารไม่หยุด
จางกว่างโหย๋วคิดว่านี่ต้องเป็นการอบรมเลี้ยงดูของบ้านตระกูลกู้แน่นอน แม่สามีของจางฉุ้ยเหลียนสอนได้ดีมาก เมื่อครู เพื่อน และบรรยากาศในโรงเรียนดี ก็จะได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน จากนั้นก็จะทำให้เด็กเข้าใจเอง
พอคิดไปถึงช่วงฤดูร้อนที่ต้าเป๋าไปเล่นกับเด็กข้างบ้าน เขาเปลือยตูดไปเล่นที่ริมแม่น้ำ เด็กอายุไม่กี่ขวบวิ่งโป๊เปลือยวิ่งกลับไปกลับมาอยู่แบบนั้น ไม่รู้จักอับอายบ้างเลยสักนิด คังคังเพิ่งอายุได้ 2 ขวบ แค่ทำกางเกงเปียกอยู่ในบ้านก็รู้จักอายแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลจางสอนอย่างนั้นหรือ ? เขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก
“วันส่งท้ายปีเก่า แกไปหาโรงเรียนอนุบาลที่พอใช้ได้มาสักแห่ง ดูว่าเขาเรียนอะไรกันบ้าง แกเองก็เลือกมาสักที่ก็แล้วกัน” จางกว่างโหย๋วพูดกับลูกชาย
จางฉุ้ยหลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พ่อพูดถึงเรียนเปียโนหรือ ? วิชานั่นแพงจะตายไป ! ”
“คีย์บอร์ดก็ได้ ค่าเรียนมันก็ถูกลงหน่อย ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีความสามารถพิเศษบ้าง เผื่อวันหน้าได้ใช้ขึ้นมา ! ”
พ่อตาและสามีพูดกันอยู่สองคนจนสรุปเรื่องนี้ได้ เฉินเฉี่ยวหยิงรู้สึกแย่สุด ๆ พวกเขาไม่เห็นรึไงว่า หล่อนก็เป็นแม่ของเด็กคนนี้ ทำไมถึงไม่ถามตัวเองสักคำ
ในขณะที่กำลังไม่พอใจ หล่อนก็รู้สึกได้ถึงแสงไฟที่หน้าต่าง พอหันไปมอง หล่อนก็ปิดปากด้วยความตกใจ “ไอ้หยา!!!!! บ้านคุณอารองไฟไหม้ ! ”
MANGA DISCUSSION