ตอนที่ 269 มะเร็งปอด
พอเช่าหวาได้ยินจางกว่างฝูบอกว่า ของที่อยู่ตรงนี้เป็นของที่จะเอาไปให้กับแม่เฒ่าพ่อเฒ่า สีหน้าของหล่อนก็ดูไม่ดีขึ้นมาทันที เมื่อจางกว่างฝูเห็นแบบนั้น เขาก็รีบหัวเราะออกมาแล้วพูดกับพวกเพื่อนบ้านว่า “อีกเดี๋ยวพวกเรายังต้องไปบ้านพ่อกันต่อน่ะ”
แขกที่มาเยือนก็เข้าใจได้ในทันที แต่ละคนต่างก็พูดด้วยร้อยยิ้มว่า “ไอ้หยา ช่างกตัญญูจริง ๆ เลยนะ” จากนั้นพวกเขาก็พูดออกมาว่า “ในบ้านยังมีงานที่ต้องทำอีก / โทรทัศน์ก็ยังไม่ได้ปิด / ในครัวก็ทำกับข้าวทิ้งเอาไว้ ! ”
หลังจากที่เห็นแขกออกไปจากบ้านแล้ว เช่าหวาก็เปิดปากถามจางกว่างฝูออกไปทันทีว่า “คุณบอกเรื่องที่ปู่ของเธอป่วยแล้วหรือ ? ไม่ได้บอกว่าจะไม่รักษาแล้วรึไง ? พวกเขาเห็นว่าตอนนี้ลูกสาวของเรามีเงิน พวกเขาก็เลยคิดจะมาขอเงินจากเธออย่างนั้นหรือ ? ”
“ใครป่วย ? เงินอะไร ? ” ในขณะที่พวกเขาสองคนกำลังแอบคุยกันอยู่นั้น จางฉุ้ยเหลียนก็ได้ยินเข้าพอดี เพราะอย่างนั้นเธอจึงถามออกไปด้วยความสงสัย
เช่าหวาอดไม่ได้ที่จะกลอกตาไปมาสีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ปู่ของแกป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด เจ้าโรคนี่ถึงจะเสียเงินรักษาก็ไม่มีประโยชน์อะไร เงินมากน้อยเท่าไหร่ก็เหมือนเอาไปละลายน้ำเปล่า ! ”
จางกว่างฝูลูบจมูกแล้วพูดออกไปอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ก็บอกแล้วไงว่าฉุ้ยเหลียนไม่รู้เรื่อง แล้วอีกอย่าง พ่อของฉันก็บอกแล้วว่าจะไม่รักษา ถึงจะอยากรักษาบ้านของเราก็ไม่มีเงิน แต่ถ้าจะรักษา พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ก็ต้องเป็นคนออกเงินอยู่ดีไม่ใช่รึไง ! ”
เช่าหวาแสยะยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “ถ้าพวกเขาไม่ออก แล้วจะให้ใครเป็นคนออกล่ะ ? พ่อเฒ่าแม่เฒ่าให้พวกเขามาทั้งชีวิตแล้ว แล้วทำไมพวกเขาจะไม่ออกเงินล่ะ ? พวกเขาอยากจะให้ฉันออกเงินอย่างนั้นหรือ ฉันจะบอกอะไรให้นะจางกว่างฝูว่า อย่าฝัน ! ”
จางกว่างฝูทำสีหน้าเหนื่อยใจ จากนั้นก็หันไปพูดกับจางฉุ้ยเหลียนว่า “ลูกสาว เรื่องของปู่แก แกแค่รู้ไว้ก็พอแล้ว ปู่ของแกถามเรื่องของโรคนี้กับหมอแล้ว ถึงจะรักษาหายแล้ว เขาก็อยู่ได้อีกแค่ 3 ปีเท่านั้น มันไม่มีความหมายอะไรเลย ปู่ของแกก็บอกแล้วว่า เขาจะไม่รักษา แกวางใจได้ แกเป็นลูกสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว เราไม่ให้แกออกเงินหรอก”
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกชาไปทั้งหัวใจทันที หน้าอกมีความเจ็บแล่นแปลบขึ้นมา หรือช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ ที่จางกว่างฝูทำดีกับเธอ ซื้อของเล่นโน้นนี่มาให้คังคัง ก็เพราะเขาอยากจะให้เธอออกเงินค่ารักษาให้ปู่อย่างนั้นหรือ ? ใช้วิธีทางอ้อมแบบนี้ หึ ! พวกเขาสองคนเป็นคนกตัญญูขนาดนั้นเลยรึไง ? จางฉุ้ยเหลียนเริ่มสงสัย
หลังจากที่นั่งอยู่ที่บ้านกันได้สักพัก จางฉุ้ยเหลียนก็เสนอแนะว่าจะไปดูบ้านข้าง ๆ สักหน่อย เช่าหวาเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ออกมา ส่วนจางกว่างฝูกับจางฉุ้ยจวินก็ช่วยกันยกกล่องผลไม้เดินไปบ้านข้าง ๆ
จางกว่างโหย๋วและภรรยาไม่ได้ตกใจกับการมาของจางฉุ้ยเหลียน เพราะการพูดคุยอย่างมีความสุขนอกบ้านของจางกว่างฝูเมื่อสักครู่นี้ ก็ทำให้พวกเขาที่อยู่บ้านข้าง ๆ ได้ยินหมดแล้ว พวกเขาสองสามีภรรยาไม่ได้เดินไปหาจางฉุ้ยเหลียนและลูกชายของเธอ นั่นก็เห็นได้ชัดแล้วว่า พวกเขาเองก็รอให้พวกเธอสองแม่ลูกมาเยี่ยมปู่ย่าเช่นกัน
คังคังไม่ใช่เหลนคนเดียวของตระกูลจาง และเขายังแซ่กู้อีกด้วย เพราะอย่างนั้นคนฝั่งนี้ย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว แต่สิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนคิดไม่ถึงเลยก็คือ พอคนแก่ทั้งสองคนได้เห็นคังคังที่มีร่างกายกำยำน่าเอ็นดูไม่กลัวผู้คนแบบนั้น พวกเขาจะดีใจกันถึงขนาดนี้ โดยเฉพาะปู่ พอเห็นคังคัง เขาก็อดไม่ได้ที่จะดึงเข้ามากอด
เมื่อเห็นคังคังไม่ร้องไห้ เขาก็พูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงมีความสุข “ดวงตาของเด็กน้อยคนนี้สะอาดบริสุทธิ์ ฉันล่ะดีใจจริง ๆ สงสัยปีนี้ฉันคงจะไม่ตายแล้ว ! ”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนเริ่มพูดคำที่เป็นมงคลขึ้นมาทันที แม้แต่เช่าหวาที่มีสีหน้าดำคล้ำก็ยังไม่ลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่จางฉุ้ยเหลียนกลับหนักใจ ในใจรู้สึกแย่สุด ๆ
เมื่อกี้เธอยังคิดว่าเหตุการณ์ทุกอย่างนี้เป็นแค่ภาพลวงตา เป็นเพียงแค่ความฝันอันยาวนานฉากหนึ่ง เนื่องจากชีวิตของเธอเปลี่ยนไปเยอะมาก เธอได้เรียนมหาวิทยาลัย งานในกรมทหารของกู้จื้อเฉิงก็เปลี่ยนไป ลูกพี่ลูกน้องของเธอก็ได้แต่งงานกับคนที่เธอไม่คาดคิด เธอเองก็คลอดลูกชายไม่ใช่เชี่ยวเชี่ยวที่เธอฝันถึงทุกคืนวัน
แต่สิ่งที่ไม่ได้เปลี่ยนไปคือชะตาชีวิตของปู่ เขายังคงป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ในบ้านไม่มีเงินรักษาอาการป่วยของเขา สุดท้ายก็ต้องจากไปพร้อมกับความทรมานจากโรคที่เป็น
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกแย่สุด ๆ เธอทำตัวไม่ดีกับตระกูลจางมากจริงๆ เธอลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท ถ้าคิดได้เร็วกว่านี้ เธออาจจะเปลี่ยนมันได้ก็ได้ เช่น ควบคุมการเจริญเติบโตมะเร็งระยะแรกให้คงที่ สุดท้ายปู่ก็คงจะมีชีวิตเพิ่มได้อีกสองสามวัน
ตอนนี้ขณะที่เธอมองปู่กอดคังคัง พร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรัก จางฉุ้ยเหลียนก็คิดว่าตัวเองมันไม่ใช่มนุษย์ ปู่ย่าไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อย
และด้วยความที่จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกผิด ท่าทีของเธอที่ปฏิบัติต่อคนตระกูลจางจึงดีขึ้นเยอะ พยายามตอบคำถามญาติให้ได้มากที่สุด ปู่กับย่ารู้สึกแปลกใจกับชีวิตในช่วงหลายปีมานี้ของเธอมาก ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าในชีวิตของคนเรานั้นมีอะไรแตกต่างกันมากมาย
หลิวกุ้ยเฟินอายที่จะหยิบผลไม้ที่จางฉุ้ยเหลียนซื้อให้ออกมาต้อนรับแขก เนื่องจากเธอซื้อมาให้ผู้อาวุโส ถ้าหล่อนหยิบออกมาต้อนรับแขก และจัดการมันได้ไม่ดี สุดท้ายก็ต้องโดนน้องสะใภ้เหยาะเย้ยอีก
หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว หล่อนก็หยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋า เปิดตู้ใต้โทรทัศน์ แล้วหยิบกล่องขนมและลูกพีชกระป๋องออกมาอย่างละหนึ่งชิ้น ส่วนจางกว่างโหย๋วก็ไปหยิบไขควงออกมาจากลิ้นชัก หลังแกะกระป๋องเสร็จแล้ว ก็เดินเข้าไปหยิบช้อนในครัว
จากนั้นก็วางกระป๋องผลไม้นั้นไว้บนเตียง แล้วก็ยกเก้าอี้ตัวน้อยมาให้คังคังนั่ง ต่อมาก็ให้คังคังจับกระป๋องแล้วตักกินเอง หลิวกุ้ยเฟินยังหยิบเค้กข้าวมาให้คังคังด้วยอีกหนึ่งชิ้น พร้อมพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า “มา คังคัง กินอันนี้ อร่อยมากเลยนะ”
พอจางฉุ้ยเหลียนเห็นแบบนั้น เธอก็ถามออกไปว่า “ครอบครัวของพี่ชายหนูไปไหนกันคะ ? ” เธอมานั่งอยู่ที่นี่นานแล้ว แต่เธอก็ยังไม่เห็นเฉินเฉี่ยวหยิงพี่สะใภ้ของเธอเลย แล้วก็ยังมีต้าเป๋าลูกชายของหล่อนอีก ปีนั้นตอนที่เธอยังไม่ได้แต่งงาน เฉินเฉี่ยวหยิงก็ให้กำเนิดต้าเป๋า เหลนคนโตของตระกูลจางออกมา ทำให้คุณป้าสะใภ้ใหญ่อย่างหลิวกุ้ยเฟินดีใจยิ่งกว่าอะไรดี พ่อเฒ่าแม่เฒ่าเองก็ยังฝากเงินเก็บจำนวน 500 หยวนให้ไว้เป็นทุนการศึกษาในอนาคตอีกด้วย การกระทำนี้ไม่ได้ทำให้เช่าหวาโมโหจนจะเป็นจะตาย หล่อนโวยวายเป็นวรรคเป็นเวรอยู่พักใหญ่
และก็แน่นอนว่า เป็นเพราะในเวลานั้น พวกเขาสองคนอยากจะเปิดร้านขายของเล็ก ๆ เดิมทีก็คุยกันเรียบร้อยแล้วว่า จะแบ่งกันคนละ 50:50 แต่สุดท้ายกลับมาถูกทำลายเพราะเฉินเฉี่ยวหยิง ด้วยเหตุนี้เช่าหวาเลยสาปแช่งให้เฉินเฉี่ยวหยิงคลอด “ลูกสาวตัวแสบ” ออกมา แต่หล่อนกลับคิดไม่ถึงเลยว่าท้องของเฉินเฉี่ยวหยิงจะเอาชนะได้ พอมีเหลนชายคนโตคนนี้แล้ว พ่อแก่แม่เฒ่าก็ให้ความสำคัญกับหลานที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างจางฉุ้ยจวินน้อยลง
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนแต่งงานออกเรือนไปแล้ว เธอก็ไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านแม่อีกเลย และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เฉินเฉี่ยวหยิงก็ไม่เคยพาลูกไปหาจางฉุ้ยเหลียน แต่จางฉุ้ยเหลียนกลับตั้งตารอให้คังคังได้เจอกับลูกพี่ลูกน้องคนนี้ เพราะเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องรุ่นเดียวกันกับคังคัง และก็ยังเป็นลูกพี่ลูกน้องเพียงคนเดียวของเขา
“พวกพี่ชายของเธอพาลูกไปในเมือง อีกเดี๋ยวก็น่าจะกลับมาแล้วล่ะ ! ” หลิวกุ้ยเฟินเพิ่งพูดจบก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูบ้าน ต้าเป๋าเดินเข้ามาอย่างกับปืนใหญ่น้อย พอเข้ามาเห็นคนแปลกหน้า เขาก็อายจนไม่กล้าเดินเข้ามาอีก
จางกว่างโหย๋วยิ้มแล้วโบกมือเรียกหลาน “น้าของเธอกับน้องชายกลับมาเยี่ยมบ้าน รีบเข้ามาเร็ว”
ในเวลานี้เมื่อได้ยินเสียงจากในบ้าน สองสามีภรรยาข้างนอกก็ไม่กล้าแม้แต่จะถอดเสื้อ พวกเขารีบเปิดประตูเข้ามา พอเห็นหน้าจางฉุ้ยเหลียนอยู่ที่นี่ พวกเขาก็ตกใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งพวกเขาก็ยังเห็นว่าในบ้านมีเด็กน้อยอีกคนนั่งอยู่ด้วย
จางฉุ้ยหลินถามออกไปด้วยความดีใจว่า “อา คังคังมาหรือ” เขาเคยเห็นคังคังหลายครั้ง รู้ว่านี่คือบรรพบุรุษตัวเล็กของบ้านคนอื่น และก็ก้อนทองในใจของจางฉุ้ยเหลียน
เฉินเฉี่ยวหยิงเองก็เคยเห็นเด็กคนนี้เช่นกัน หล่อนดีใจเดินเข้ามาผลักจางฉุ้ยเหลียนเบา ๆ “เธอนี่จริง ๆ เลย เพิ่งจะพาลูกกลับมาที่บ้าน”
ขณะพูดก็ดึงตัวต้าเป๋าเข้ามา แล้วชี้ไปที่ตัวของจางฉุ้ยเหลียน “เรียกน้าใหญ่สิลูก ! ”
ต้าเป๋าตะโกนเรียกน้าใหญ่เสียงดังลั่น ทำให้จางฉุ้ยเหลียนทั้งซาบซึ้งและรู้สึกเขินอายหน่อย ๆ เธอเอื้อมมือไปลูบหัวของเขาอย่างรักใคร่ จากนั้นก็ให้คังคังตะโกนเรียกคนอื่นบ้าง ในช่วงเวลานั้นบรรยากาศในบ้านก็ดูคึกคักขึ้นมาทันที แม้แต่ปู่ของจางฉุ้ยเหลียนเองก็พยักหน้าไม่หยุด “มีเด็ก ๆ เยอะนี่มันคึกคักดีจริง ๆ ! ”
ต้าเป๋าเห็นคังคังกินผลไม้กระป๋องตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามาในบ้านแล้ว และในเวลาปกติคนในบ้านก็มักจะยกของอร่อยเช่นนี้ให้เขากินคนเดียว และไม่ใช่ว่าเขาอยากจะกินเมื่อไหร่ก็ได้ เค้กนั่นก็เหมือนกัน พอเห็นของอร่อยที่มีไม่เยอะโดนคังคังแย่งกิน เด็กคนนี้ก็อารมณ์เสียขึ้นมาทันที
ต้าเป๋าเกิดปี 1990 ส่วนคังคังเกิดปี 1992 แม้เด็กทั้งสองคนจะมีอายุห่างกันถึง 2 ปี แต่ต้าเป๋ากลับไม่ได้ร่าเริงเหมือนกับคังคัง
เมื่อกี้พอได้เห็นคนแปลกหน้าก็เริ่มกลัวแล้ว ในเวลานี้ยังเห็นขนมของตัวเองโดนคนอื่นแย่งกินอีก เขาจึงไม่พอใจ แหกปากร้องไห้ในทันที
จางฉุ้ยเหลียนไม่เข้าใจคิดว่าคังคังไปแกล้งต้าเป๋า เลยรีบอุ้มคังคังออกมาถามทันที “พี่ต้าเป๋าเป็นอะไรไป ? ”
คังคังกระพริบตาพูดว่า “ร้องไห้แล้ว ! ”
จางฉุ้ยเหลียนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ทำไมถึงร้องล่ะ ? ”
คังคังครุ่นคิดแต่สุดท้ายก็ส่ายหัวให้เธอ “ไม่ยู้ ! ”
หลิวกุ้ยเฟินรู้ว่าทำไมหลานถึงร้องไห้ เพราะเขาเห็นขนมของตัวเองโดนคนอื่นแย่งกิน แต่เฉินเฉี่ยวหยิงกลับไม่ได้คิดแบบนั้น หล่อนโอ๋พร้อมกับขู่ลูกทันที ต่อมาจางฉุ้ยเหลียนก็ผลักลูกพีชกระป๋องไปตรงหน้าเขา ต้าเป๋าถึงได้หยุดร้องไห้แล้วฉีกยิ้มออกมา
เมือเห็นดังนั้น หลิวกุ้ยเฟินก็รู้สึกอายขึ้นมาในทันที หล่อนคิดว่าตัวเองหน้าแตกต่อหน้าน้องสะใภ้แล้ว ในเวลานี้ลูกตาของเช่าหวากลอกไปมา คนที่มีประสาทสัมผัสไวอย่างหล่อนเองก็น่าจะเดาออกว่าเช่าหวาคิดอย่างไร หลิวกุ้ยเฟินเห็นน้องสะใภ้ยิ้ม หล่อนเลยรู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม จากนั้นหล่อนก็หยิบเค้กขาวที่คังคังยังไม่ได้แตะเลยสักคำ เดินเอาไปให้เขา และถามออกไปว่า “ให้พี่ต้าเป๋ากินผลไม้กระป๋องของเธอคำหนึ่งนะ เธอกินอันนี้แทนดีไหม ? ”
พอคังคังเห็นเค้กข้าวมาอยู่ตรงปากของตัวเอง เขาก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ คู่นั้น แล้วหมุนตัวหนีทันที หลิวกุ้ยเฟินยังไม่ยอมแพ้ หล่อนเข้าไปใกล้ ๆ เขา จากนั้นก็โน้มน้าวคังคังต่อ แต่แล้วหล่อนก็คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะหมุนตัวหนีอีก
พอจางกว่างฝูเห็นแบบนั้น เขาก็พูดห้ามออกไปทันทีว่า “พี่สะใภ้ พี่เลิกโน้มน้าวเขาเถอะ เมื่อกี้ฉันไม่กล้าบอกว่า คังคังไม่อยากกินเจ้านั่น ฉันว่าเขาคงไม่ชอบมัน เพราะมันยาวไม่น่ากิน แถมยังขาวจนไม่มีสีสันอีกด้วย”
หลิวกุ้ยเฟินไม่เชื่อ หล่อนจึงหันไปมองที่จางฉุ้ยเหลียน เพราะอย่างนั้นเธอเลยพูดออกไปอย่างไม่ต้องคิดเลยสักนิดว่า “ใช่ค่ะ เขาชอบของที่มีสีสัน” พอเห็นหลิวกุ้ยเฟินยังไม่ยอมแพ้หยิบขนมอบขึ้นมาอีก จางฉุ้ยเหลียนก็รีบโบกมือปฏิเสธทันที “เขาไม่กินขนมนี่เหมือนกัน ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ต้องเอามาให้เขาหรอกค่ะ”
“ไม่กินอะไร เธอไม่ต้องเกรงใจหรอก” จางกว่างโหย๋วเริ่มอารมณ์เสียแล้ว จากนั้นเขาก็เริ่มบ่นใส่จางฉุ้ยเหลียน “หลานเพิ่งได้มาบ้าน เธอกลับไม่ให้เขากินอันโน้นอันนี้ มีอะไรกินไม่ได้กัน เธอดูถูกบ้านของเราใช่ไหม ห๊ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนจนปัญญาได้แต่ปล่อยให้หลิวกุ้ยเฟินยื่นขนมอบให้คังคัง พอมันมาอยู่ในมือคังคัง เขาก็เหลือบมองมันแวบหนึ่ง จากนั้นก็โยนมันลงพื้นอย่างไม่แยแส
“เอ๊ะ เด็กคนนี้ทำไมถึงได้อารมณ์ร้ายแบบนี้ ไม่กินแล้วจะโยนทิ้งทำไม ! ” หลิวกุ้ยเฟินก้มเก็บขนมอบ พร้อมกันนั้นก็ด่าคังคังไปด้วย
จางฉุ้ยเหลียนจึงพูดออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “หนูก็บอกแล้ว คังคังไม่ชอบกิน ตอนอยู่ที่บ้านเขากินขนมนี่จนพอใจแล้ว ไม่ว่าจะให้ยังไงเขาก็ไม่กินหรอกค่ะ ! ”
เฉินเฉี่ยวหยิงแอบด่าว่าจางฉุ้ยเหลียนขี้โม้อยู่ในใจ เด็กอายุไม่ถึงสามขวบคนหนึ่งจะไปรู้อะไร ขณะลูบหัวต้าเป๋า หล่อนก็พูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ในบ้านยังมีนมอัลมอนด์อยู่ ! ถ้ายังไงแม่เอามาให้คังคังดื่มสักแก้วดีไหมคะ ? ”
เจ้าตัวแสบคังคังเข้าใจที่หล่อนพูด จึงยื่นมือน้อย ๆ ออกมาไปทันที “ไม่ดื่ม ไม่ดื่ม ! ” เสียงของเขาดังลั่นและยังแฝงไปด้วยน้ำเสียงคล้ายกับจะร้องไห้ พอได้ยินเช่นนี้ หลิวกุ้ยเฟินก็มีความสุขขึ้นมาทันที
“ไอ้หยา ไม่ดื่มก็ไม่ดื่ม เด็กผู้ชายตัวโต จะร้องไห้ทำไมล่ะ ? ” แม้จะพูดด้วยรอยยิ้ม แต่จางฉุ้ยเหลียนไม่ชอบให้คนอื่นพูดกับลูกตัวเองด้วยน้ำเสียงสั่งสอน เธอที่เป็นแม่ยังอยู่ตรงนี้ หล่อนอาวุโสขนาดไหนกัน ถึงได้มาสั่งสอนลูกของเธอได้ ?
ท่าทีของจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด แต่เธอกลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า “พอลูกของหนูได้ยินคำว่านมอัลมอนด์ เขาก็จะอารมณ์เสียขึ้นมาทันที เขาดื่มมันทุกวันจนพอแล้ว ขนมอบเมื่อกี้ก็เหมือนกัน คุณย่าของเขาชอบกินเค้กข้าวกับขนมอบ หล่อนเลยให้หลานกินจนเขาป่วย สู้ไข่ตุ๋นไม่ได้ เพราะมันดึงดูดความสนใจของเขามากกว่า ! ”
หลิวกุ้ยเฟินเก็บสีหน้าไม่อยู่พักหนึ่ง หลังเช่าหวาได้เห็นแบบนั้น หล่อนก็หยุดหัวเราะออกมาทันที !
MANGA DISCUSSION