ตอนที่ 268 ความฝันยามต้มข้าวฟ่าง
จางกว่างฝูเป็นคนมองโลกในความเป็นจริงคนหนึ่ง ตอนนี้เขาก็ตระหนักได้แล้วว่า ลูกสาวของตัวเองก็ไม่ได้เข้าถึงยากขนาดนั้น ขอแค่ทำดีกับเธอเพียงนิด เธอก็จะตอบแทนกลับมาเป็นสิบเท่า
ดังนั้นปกติแล้ว เขาจึงมักจะซื้อส้มสัก 1 กิโลกรัมหรือไม่ก็ของเล่นที่ไม่แพงนัก ไปให้จางฉุ้ยเหลียนอยู่เสมอ จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้สนใจจางกว่างฝูมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้คัดค้านที่จะให้เขาได้ใกล้ชิดกับลูกชายของตัวเอง
ในความเป็นจริงแล้ว จางฉุ้ยเหลียนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าทำไมเขาถึงได้มาตีสนิทกับลูกชายของเธอเช่นนี้ สุดท้ายเขาก็ทำเพื่อเอาใจเธอไม่ใช่หรือ บางทีเขาอาจจะคิดได้แล้วว่า จางฉุ้ยจวินลูกชายของเขาเป็นเด็กไม่ได้เรื่อง ดังนั้นเขาถึงได้ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเอาใจเธอ จุดประสงค์ก็แค่อยากจะได้วัยชราที่สุขสบายก็เท่านั้น
พอคิดได้แบบนี้ จางฉุ้ยเหลียนก็เริ่มที่จะรับได้ วิธีคิดแบบนี้ทำให้เธอสบายใจที่สุด ในเมื่อพวกเขาให้กำเนิดเธอ เพราะอย่างนั้นเธอก็มีส่วนรับผิดชอบในการเลี้ยงดูพวกเขายามแก่ชราด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าพวกเขาทำเกินขอบเขต เธอก็ไม่เสียดายที่จะตัดความสัมพันธ์และทิ้งระยะห่างอีกครั้ง
หลังจากที่กู้จื้อเฉิงรู้ข่าว เขาก็หัวเราะเสียงดังลั่นออกมาทันที “นั่นก็เป็นเพราะว่าในมือของเธอมีเงิน พวกเขานี่ก็เลยมั่นใจว่าเธอจะเลี้ยงดูพวกเขาได้น่ะสิ”
พอจางฉุ้ยเหลียนได้ยินแบบนั้น เธอก็เข้าใจได้ในทันทีว่า การที่ชาติที่แล้วเธอไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ นั่นก็เป็นเพราะมันมีอุปสรรคอยู่ทุกที่ เมื่อก่อนตอนที่เธออยู่บ้านแม่สามี เธอก็เอาแต่ก้มหน้า แถมยังคิดที่จะปกป้องพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของตัวเองอีก สุดท้ายก็เป็นเพราะเธอรู้สึกว่า ตัวเองนั้นต้อยต่ำและรู้สึกไม่ปลอดภัยหรอกหรือ
ตอนนี้เธออยากจะเรียน เธอก็ได้เรียน เธออยากจะประสบความสำเร็จ เธอก็ประสบความสำเร็จแล้ว สามีให้เกียรติ ลูกชายเชื่อฟัง อีกทั้งแม่สามีก็ยังเคารพและไว้ใจ ชาติก่อนในปี 1994 ตอนที่เธอเพิ่งจะคลอดเชี่ยวเชี่ยวลูกสาวของเธอได้ไม่นาน เพราะสาเหตุจากความเคยชินของการอยู่ไฟและเรื่องต่าง ๆ บวกกับความรู้สึกที่ว่า แม่สามีให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาวเลยไม่ชอบขี้หน้าตัวเอง เธอเลยเก็บกด และเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา เธอก็ไม่ได้ปิดบังมันแต่อย่างใด เพราะอย่างนั้นทุกคนเลยไม่มีความสุข สำหรับผู้หญิงที่อยากทำอะไรสักอย่างก็ต้องแบมือขอเงิน ความรู้สึกแบบนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับการได้อยู่ร่วมบ้านกับคนแปลกหน้าเลยสักนิด
แต่ตอนนี้ความสำเร็จของแม่สามี ก็เป็นสิ่งที่เธอเป็นคนมอบให้ ส่วนเสื้อผ้าของน้องสาวของสามีหรือเงินค่าขนมตอนปีใหม่ของหล่อน เธอก็ให้เป็นซองหนา เธอปฏิบัติต่อพ่อแม่สามีเหมือนกับเถ้าแก่ใหญ่ ต่อหน้าพวกเขา เธอมักจะสวมบทเป็นลูกสะใภ้แสนธรรมดาที่เชื่อฟังคำพูดของกู้จื้อเฉิง พ่อแม่สามีเองก็เป็นคนเข้าสังคมพูดจากันด้วยเหตุผล จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ทำให้เธอลำบากใจ ยิ่งไปกว่านั้นเวลาอยู่ต่อหน้าคังคัง เธอก็มักจะยกยอความสัมพันธ์ของกู้จื้อเฉิงและน้องสาวของเขาเสมอ ซึ่งคำพูดพวกนั้นย่อมไปถึงหูของพ่อแม่สามีอยู่แล้ว
หรือจะให้เป็นเหมือนอย่างชาติที่แล้วล่ะ ที่เธอมักจะพูดต่อหน้าเชี่ยวเชี่ยวเสมอว่า “ย่าของลูกลำเอียง หล่อนชอบน้าของลูก แต่หล่อนไม่ชอบพ่อของลูก ลูกดูสิว่าน้าของลูกได้เรียนมหาวิทยาลัย แต่พ่อของลูกกลับได้เป็นทหารตกอับ แล้วอีกอย่างลูกก็เป็นเด็กผู้หญิง แต่คุณย่าของลูกอยากจะได้หลานชายมากกว่า”
หลังจากนั้นเด็กก็พูดคำพูดพวกนี้ออกไปโดยไม่รู้ความ และเมื่ออันหลงและกู้จื้อชิวได้ยินคำพูดพวกนี้ พวกหล่อนจะชอบใจไหมล่ะ ? เด็กก็เหมือนกับความดีของตัวเอง ใครจะไปสนใจล่ะว่า จางฉุ้ยเหลียนจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจพูด
“รังเกียจที่ลูกชายฉันเป็นทหารตกอับ งั้นเธอก็ไสหัวออกไปจากบ้านตระกูลกู้ของพวกเราไปเลยสิ ! ” “ไม่มีใครรังเกียจที่เชี่ยวเชี่ยวเป็นเด็กผู้หญิงทั้งนั้นแหละ มีแต่เธอนั่นแหละที่เก็บเรื่องนี้ไปใส่ใจ” “ลูกสาวของฉัน หล่อนจะเข้าเรียนหรือไม่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย การที่ฉันจะให้เงินหล่อนเท่าไหร่มันก็เรื่องของฉัน เธอจะทำอะไรได้ได้ ห๊ะ ? ”
ตอนนั้นจางฉุ้ยเหลียนทะเลาะกับอันหลงแค่ครั้งเดียว เธอก็โมโหจนหนีออกจากบ้านไปอยู่บ้านแม่เพราะเถียงสู้ไม่ได้ หลังจากระดมความคิดของตัวเองแล้ว เธอก็ตะโกนออกไปว่า “ลูกสาวของเธอมันดีนักนี่ แล้วทำไมเธอไม่ไปอยู่กับลูกสาวของเธอเลยล่ะ ? ให้ลูกชายเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า แต่กลับเอาเก็บเงินไปให้ลูกสาว จะให้พวกเราเลี้ยงดูเธอก็ได้ แต่เธอก็ต้องโอนบ้านหลังนี้ให้เป็นชื่อของพวกเราก่อน ไม่อย่างนั้นฉันก็จะไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว”
ในตอนนี้เมื่อจางฉุ้ยเหลียนมาคิดถึงคำพูดพวกนั้น เธอก็รู้สึกอายจนหน้าแดงแล้ว ในชาติที่แล้วจะเห็นได้ว่าเงินเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับลูกสะใภ้อย่างเธอเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าตอนนี้อันหลงจะโอนบ้านให้เป็นชื่อของเธอแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้สนใจมันแต่อย่างใด และการที่กู้จื้อเฉิงไม่ได้บ้านหลังนั้นมา เขาจะไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ของตัวเองอย่างนั้นหรือ แล้วภรรยาอย่างเธอจะปล่อยให้พ่อแม่สามีที่สูงอายุแบบนั้นไปอยู่ข้างถนนได้อย่างไร ?
ตอนนี้ในมือของเธอก็มีเงินมากพอจนไม่ต้องไปขอความช่วยเหลือใด ๆ จากเช่าหวาและจางกว่างฝูอีกต่อไปแล้ว และเธอก็ไม่ต้องกังวลว่าหลังจากที่เธอโดนบ้านแม่สามีไล่ออกจากบ้าน เธอจะไปอยู่ที่ไหน เธอรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนรักอิสระ หากจะให้ไปวนเวียนอยู่รอบตัวคนอื่น สู้ให้คนอื่นมาวนเวียนอยู่รอบตัวเธอไม่ดีกว่าหรือ
หากกู้จื้อเฉิงเปลี่ยนงานแล้ว ตามการคาดการณ์ของเธอ เขาก็น่าจะได้ทำงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย เพราะในฐานะข้าราชการของชาติ พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำธุรกิจ แต่ก็ไม่ได้มีกฎหมายที่บอกว่า คนในครอบครัวจะทำธุรกิจไม่ได้ ขอแค่ไม่เกี่ยวข้องกับงานของกู้จื้อเฉิง เธอก็สามารถทำได้หมดทุกอย่าง
ไม่ว่าจะคิดยังไง อนาคตของกู้จื้อเฉิงกับเธอก็ต้องดีวันดีคืนอย่างแน่นอน
พอจางฉุ้ยเหลียนฝันถึงการกลับมาอยู่ร่วมกันกับสามี เธอก็รู้สึกว่าเหมือนชีวิตมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อหันไปมองคังคังที่กำลังเล่นขี่หลังจางกว่างฝูอยู่ในห้องรับแขก เธอก็เริ่มรู้สึกปวดใจ แบบนี้นับว่าเป็นการกล้ำกลืนฝืนทนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าของทุกฝ่ายเอาไว้ไหมนะ?
“คังคัง รีบลงมาเลย เดี๋ยวคุณตาจะเหนื่อยเอานะ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนเพิ่งพูดจบ จางกว่างฝูก็เงยหน้าพูดพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร เขาจะหนักเท่าไหร่กันเชียว ปล่อยให้เขาเล่นสนุกไปเถอะ ! ”
ชาติที่แล้วจางฉุ้ยเหลียนจำได้อย่างชัดเจนเลยว่า พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอไม่ชอบเชี่ยวเชี่ยวลูกสาวของเธอเป็นอย่างมาก เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเธอก็ไม่เคยเห็นพวกเขาให้เงินเชี่ยวเชี่ยวเลยแม้แต่เหมาเดียว และแม้แต่เสื้อผ้าพวกเขาก็ไม่เคยให้สักชุด พอไปหาที่บ้าน ก็ไม่มีของอร่อย ๆ อะไรให้กิน และคราวนั้นที่เชี่ยวเชี่ยวประสบอุบัติเหตุ กู้จื้อเฉิงทะเลาะกับเธอยกใหญ่ แล้วอันหลงก็บังคับให้พวกเราสองคนหย่ากัน สาเหตุมันก็เป็นเพราะเชี่ยวเชี่ยวไปที่บ้านของคุณยาย และหล่อนก็ไปเห็นขนมกับผลไม้ที่ซ่อนอยู่หลังม่านโดยบังเอิญ
ย้อนกลับมามองภาพตรงหน้า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้วมันจะเกี่ยวกับเพศของเด็กรึเปล่า? เชี่ยวเชี่ยวเองก็เป็นลูกหลานตระกูลกู้ ฐานะในบ้านตระกูลกู้หล่อนก็เป็นถึงองค์หญิง แต่การที่หล่อนโดนปฏิบัติตัวราวกับองค์หญิง มันจะทำให้หล่อนโดนคนอื่นมองว่าสูงส่งอย่างนั้นหรือ ? มันก็ไม่ใช่อย่างนั้นนี่นา
และในตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนก็อยากจะลองทดสอบอะไรบางอย่างดูสักครั้ง เธออยากจะรู้ว่าพอเช่าหวากับจางฉุ้ยจวินเห็นคังคังแล้ว พวกเขาจะทำอย่างไร บางทีพวกเขาอาจจะเอาใจใส่คังคังมากกว่าจางกว่างฝูก็ได้ ?
หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและต่อสายไปที่ทำงานทันที เธอสั่งให้คนขับรถมาที่บ้านของตัวเอง จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องครัวและเปิดตู้เย็น เธอนำเนื้อที่เก็บไว้ด้านในออกมา แล้วเดินไปเลือกกระสอบข้าวที่ยังไม่ได้เปิดออกหนึ่งกระสอบ สุดท้ายก็ยกน้ำมันถั่วเหลืองขวดใหญ่ออกมาอีกหนึ่งขวด
จากนั้นก็หันมาพูดกับคังคังว่า “ลงมาจากหลังของคุณตาได้แล้ว อีกเดี๋ยวพวกเราจะไปส่งคุณตาที่บ้านกัน”
จางกว่างฝูไม่เข้าใจ เขามองไปที่จางฉุ้ยเหลียนด้วยสายตาประหม่าและระมัดระวัง เมื่อเห็นดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนจึงพูดออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “หนูจะเอาข้าวสารกับน้ำมันถั่วเหลืองให้ที่บ้านหน่อย พ่อแบกไปเองมันจะหนักเกินไป แล้วอีกอย่าง คังคังก็โตขนาดนี้แล้ว แต่เขาก็ยังไม่เคยไปที่บ้านของตากับยายเลย วันนี้พาเขาไปเดินเล่นหน่อยก็น่าจะดี”
จางกว่างฝูกระวนกระวาย มือเท้าไปไม่เป็นทันที “ไอ้หยา ที่บ้านยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย ไม่มีของกินของเล่นให้เขาด้วย เอาแบบนี้ดีไหม พรุ่งนี้ค่อยไป เดี๋ยวฉันให้แม่แกทำของอร่อย ๆ ไว้รอ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนโบกมือไปมาอย่างไม่แยแส จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อหาชุดคลุม ถุงมือ และผ้าพันคอให้คังคัง คังคังให้แม่เขาใส่เสื้อผ้าให้พร้อมกับพูดออกมาด้วยเสียงเด็กน้อยว่า “ผมเคยไปบ้านตายายแล้ว บ้านตายายก็อยู่นี่ไง ! ”
นิ้วน้อย ๆ ของเขาชี้ไปที่บ้านของเซี่ยจวินและตงลี่หวาที่อยู่ข้าง ๆ จางฉุ้ยเหลียนเลยพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “บ้านของคุณตาคนนี้ลูกก็เคยไปแล้วหรือ ? วันนี้เราจะไปบ้านของคุณตาคนนี้กัน ! ”
คังคังส่ายหัวอย่างจริงจัง “ผมไม่เคยไป ! ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางกว่างฝูจึงรีบพูดออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “หลานยังจะได้เจอคุณปู่ทวดกับคุณย่าทวดด้วยนะ แล้วบ้านของปู่ทวดย่าทวดก็มีไก่ เป็ด แล้วก็ลูกหมาด้วย ! ”
พอได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของคังคังก็เป็นประกายทันที “แล้วลูกหมาจะกัดผมไหม ? ”
จางกว่างฝูสะบัดเคราของเขาแล้วเท้าเอว “มีตาอยู่ด้วย ไม่มีใครกล้ากัดหลานหรอก ตาจะปกป้องหลานเอง ไม่ต้องกลัวนะ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนคิดแค่ว่า เธอจะอยากไปดูท่าทีของเช่าหวากับน้องชายก็เท่านั้น พร้อมกันนั้นก็เอาข้าวสารและน้ำมันถั่วเหลืองไปให้อีกนิดหน่อย ไม่ว่ายังไงสามคนนี้ก็ไม่มีรายได้อะไร เธอเอาไปให้เองดีกว่าให้พวกเขาต้องมาร้องห่มร้องไห้มาหาตัวเองถึงบ้าน
จางกว่างฝูพูดถึงขนาดนี้แล้ว เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่เธอแต่งงาน เธอก็ไม่ได้ไปหาปู่กับย่าอีกเลย ถึงพวกเขาจะปฏิบัติกับเธอเหมือนหลานธรรมดาทั่วไป แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญ พวกเขาก็ยังออกมาพูดอะไรที่ฟังดูยุติธรรมอยู่บ้าง ปู่กับย่าก็ทำดีกับเธอไม่น้อย ถึงจะให้ความสำคัญกับหลานชายมากไปหน่อย แต่ในเวลาปกติก็ไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายกับเธอ อย่างน้อยก็ไม่ได้ให้จางฉุ้ยจวินกินไข่ ส่วนเธอเลียเปลือกไข่แทน
ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เธอก็ไม่ได้ถามไถ่ถึงพวกท่านแต่อย่างใด อีกทั้งก็ยังทำตัวอกตัญญูมากพอแล้ว
หลังจากที่ได้ยินเสียงคนขับรถมาเคาะประตูบ้าน จางฉุ้ยเหลียนก็อุ้มคังคังเดินออกจากบ้าน ตามมาด้วยจางกว่างฝูที่กำลังหอบข้าวสารและน้ำมัน ในขณะเดียวกันคนขับรถก็นำเนื้อแช่แข็งไปไว้ที่ท้ายรถกระบะมือสองของจางฉุ้ยเหลียน
ในเมื่อเธอจะไปหาปู่กับย่าของตัวเอง เธอก็ต้องไม่ไปแบบมือเปล่าอย่างแน่นอน เพราะอย่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนจึงไปซื้อแอปเปิลมาหนึ่งกล่อง ลูกแพร์ไซส์ใหญ่อีกหนึ่งกล่อง และยังซื้อบิสกิตและขนมอบหลายกล่องที่ตลาดค้าส่งอีกด้วย
เธอเป็นคนขับรถ ส่วนจางกว่างฝูก็มีเกียรติได้นั่งอยู่ข้าง ๆ ดูคังคังที่ดิ้นไปมาระหว่างทางกลับบ้าน
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนรอดรถที่หลังบ้านของตัวเองแล้ว จางกว่างฝูก็ตื่นเต้นรีบกระโดดลงจากรถจนเกือบขาแพลง จากนั้นเขาก็หันไปตะโกนเสียงดังลั่นใส่หน้าต่างที่ถูกผนึกด้วยแผ่นพลาสติกใสเอาไว้ว่า “จางฉุ้ยจวิน เช่าหวารีบออกมาเร็ว ฉุ้ยเหลียนกับคังคังมาหา รีบมาขนของบนรถเข้าบ้านกัน”
หลังจากได้ยินเสียงตะโกน นั้น เช่าหวาและลูกชายก็รีบออกมาทันที เพื่อนบ้านที่อยู่บนถนนเส้นเดียวกันก็ออกมาเช่นกัน พวกเขาต่างก็เห็นจางฉุ้ยเหลียนที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน แต่งตัวสะดุดตายืนอยู่หน้ารถ ข้าง ๆ ก็ยังมีเด็กน้อยที่แต่งตัวดูดีเป็นพิเศษอยู่ด้วย เด็กคนนั้นวิ่งไปวิ่งมาด้วยรองเท้าหนังสุดหรู
เช่าหวาจงใจถามจางฉุ้ยเหลียนต่อหน้าทุกคนด้วยเสียงที่ดังที่สุดเท่าที่หล่อนจะตะเบ็งออกมาได้ว่า “ไอ้หยา แกขับรถมาเองหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่เคยชอบวิธีทำตัวโอ้อวดเช่นนี้ เธอเลยพยักหน้าแล้วพูดกระตุ้นเช่าหวาออกไป “รีบพาหลานเข้าไปในบ้านเถอะค่ะ ข้างนอกนี่มันหนาวเกินไป ! ”
ขณะที่พูดเธอก็ไม่ทันได้สังเกตเลยว่า ตอนนี้จางกว่างฝูได้ลากผู้ชายคนหนึ่งออกมาจากฝูงชน เพื่อให้เขาเข้าดูรถของเธอใกล้ ๆ การกระทำเช่นนี้หากเปลี่ยนเป็นเซี่ยจวิน จางฉุ้ยเหลียนก็คงจะรู้สึกว่ามันคือความภูมิใจในตัวเองอย่างหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะมองจางกว่างฝูยังไง เธอก็รู้สึกว่าเขากำลังโอ้อวด ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกไม่ดี ทำให้คนรู้สึกขยะแขยงสุด ๆ
หลังย้ายของลงมาจากรถแล้ว ในที่สุดทุกคนก็ได้กลับเข้าบ้านสักที แม้ว่าเช่าหวาจะเชิญเพื่อนบ้านเข้ามาในบ้านด้วย แต่นอกจากบนโต๊ะจะมีชุดน้ำชาอยู่ชุดหนึ่งแล้ว มันก็ไม่มีอะไรอีกเลย
หล่อนเลยรีบวิ่งไปที่ร้านค้าเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างออกไปเพื่อซื้อเมล็ดทานตะวัน ถั่วลิสง ลูกอม และช็อกโกแลตกลับมา พอกลับมาถึงบ้าน หล่อนก็นำพวกมันมาวางเรียงใส่จาน แล้วบอกให้เพื่อนบ้านกินเมล็ดทานตะวัน “มา มา มา เมล็ดทานตะวันบ้านเหล่าฉู่ยแพงขึ้นทุกวัน แต่ก็คั่วจนหอม หยิบกันคำละกำ ไม่ต้องเกรงใจนะ ! ”
จากนั้นหล่อนก็หยิบเมล็ดทานตะวันขึ้นมาหนึ่งกำมืออย่างโอ้อวด จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่แอบส่ายหัวเท่านั้น ขณะมองเช่าหวาอุ้มคังคังอย่างทะนุทนอม แล้วจุ๊บแก้มน้อย ๆ ของเขาแรง ๆ หล่อนก็พูดขึ้นมาว่า “ไอ้หยา หลานของยาย ดูสิยิ่งโตยิ่งหล่อ”
หลังหยิบช็อกโกแลตขึ้นมาแล้ว หล่อนก็พูดพร้อมรอยยิ้มออกไปอีกว่า “มา ยายจะแกะให้หลานอันหนึ่งนะ เอาไหม ? ”
คังคังพยักหน้าด้วยดีใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็หันมามองหน้าจางฉุ้ยเหลียน ด้วยดวงตาที่เปล่งประกายรอให้แม่อนุญาต
ในสมองของจางฉุ้ยเหลียนตอนนี้ มันก็เต็มไปด้วยฉากที่เชี่ยวเชี่ยวยกม่านขึ้นมาแล้วเห็นผลไม้กับขนมวางเรียงรายเต็มไปหมด และฉากที่เช่าหวาขึ้นเสียงต่อว่าเด็กว่า หล่อนยกผ้าม่านบ้านคนอื่นอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร
พอเห็นเช่าหวากำลังทำตัวสนิทสนมกับคังคังในเวลานี้ เธอก็มีความรู้สึกเหมือนว่า ความรู้สึกในชีวิตชาติที่แล้วมันเป็นของปลอมรึเปล่า
หรือว่าทุกอย่างนี้เป็นเพียงแค่ความฝันยามต้มข้าวฟ่างอย่างนั้นหรือ ?
(ความฝันยามต้มข้าวฟ่าง หมายถึง ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง หรือความสุขความสำเร็จที่เกิดขึ้นในเวลาอันสั้น ไม่ได้ยั่งยืนเสมอไป)
MANGA DISCUSSION