ตอนที่ 264 ขอทาน
หลังจากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็พาแม่สามีกลับไปที่บ้าน ตัวเธอไม่ได้กระตุ้นให้ตงลี่หวาและเซี่ยจวินคิดมาก ทั้งสองคิดแค่ว่าอันหลงมาดูแลคังคัง หรือไม่ก็เป็นเพราะกู้เต๋อไห่ไม่อยู่บ้านเหมือนเช่นเคย
จางฉุ้ยเหลียนไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วย อีกทั้งสามีของเธอก็อยู่ไกลเกินไป งั้นเธอก็จะโทรศัพท์ไปบอกน้องสาวของสามีก็แล้วกัน เธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กู้จื้อชิวฟังอย่างกระชับได้ใจความ กู้จื้อชิวเองก็โมโหพ่อตัวเองและคุณย่าสุด ๆ
ชีวิตเป็นเหมือนวงจรความยุ่งเหยิง จัดการปัญหาไม่ได้และยังหาต้นตอไม่ได้อีก ยังไม่ทันที่จางฉุ้ยเหลียนจะคิดหาวิธีที่จะพูดคุยกับพ่อแม่สามีได้ ทางด้านของฟู่ซิน เขาก็ดันมีปัญหาขึ้นมาอีก
จู่ ๆ ฟู่ซินก็มีชื่อเสียงในเมือง Q ขึ้นมา ทำให้มีผู้คนพากันอิจฉาเขาเป็นจำนวนมาก เจ้าถิ่นบางคนปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพ เพราะอยากเห็นว่าใครเป็นคนหนุนหลังเขากันแน่ บางคนผูกสัมพันธ์ผ่านเพื่อน จัดงานเลี้ยงดูท่าที และยังมีบางคนที่ไม่ใส่ใจกับมัน พวกเขาเริ่มลงมือตรง ๆ ตั้งแต่แรก
กลุ่มนักเลงในเขตจ๋าเป่ยของเมือง Q มักใช้ท่อนไม้และท่องเหล็กในการต่อสู้ และก็ไม่มีเบื้องบนคนไหนสนใจ ฟู่ซินหัวเดียวกระเทียมลีบต้องทนลำบากหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่คิดจะพึ่งพามู่จิ่นหนาน
เฉียนเหมยเซียรู้สึกสงสารสามีของตัวเอง หล่อนเป็นผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่งและยังไม่มีวิธีรับมือใด ๆ เลยได้แต่มาขอให้จางฉุ้ยเหลียนช่วยคิดหา วิธีแก้ปัญหา แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ไม่อยากก้มหัวให้จางฉุ้ยเหลียน เลยไปพูดใส่สีตีไข่ให้แม่สามีฟัง ผูชูเฟิงรักลูกแต่ก็ไม่ได้ขาดสติ หล่อนจึงโทรศัพท์ไปหาเซี่ยจวินก่อน เซี่ยจวินเกิดในครอบครัวทหาร เขาไม่ชอบเห็นคนใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกคนอื่นและเป็นศาลเตี้ยมากที่สุด
พอเห็นจางฉุ้ยเหลียนกลับมา เขาก็ด่าเธอทันที เขาด่าจนทำให้จางฉุ้ยเหลียนจุกอกและยังไม่มีคำพูดอะไรที่จะเถียงกลับไปได้ หูจิ่นเหมิงทำตัวเป็นเด็กดีอยู่ข้าง ๆ พอเห็นสีหน้าจางฉุ้ยเหลียนไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก หล่อนก็ไม่กล้าบอกว่าครูที่โรงเรียนขอพบผู้ปกครองอีก
โชคดีที่ก่อนหน้านี้มู่จิ่นหนานได้แสดงท่าทีที่วางอำนาจกับผู้อำนวยการให้หูจิ่นเหมิงเอาไว้แล้ว แม้ว่าครูประจำชั้นจะเห็นว่าหล่อนไม่ได้พาผู้ปกครองมา แต่ในช่วงสองสามวันมานี้ ครูประจำชั้นก็ทำดีกับหล่อนและปล่อยหล่อนไป
จางฉุ้ยเหลียนยุ่งกับเรื่องทะเลาะวิวาทของฟู่ซินและสงครามของพ่อแม่สามี เธอทุ่มทั้งแรงกายแรงใจและยังระดมความคิดไม่น้อย เพราะอย่างนั้นเธอจึงไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่า ช่วงนี้หูจิ่นเหมิงจะเป็นเด็กดีผิดปกติเกินไปหน่อย
โชคดีที่เรื่องทางฝั่งของฟู่ซิน จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้เข้าไปผสมโรงมากนัก หลังจากที่ลองสืบดูแล้ว ปัญหามันก็มาจากเด็กใหม่อย่างฟู่ซินไม่รู้จักทักทายคนในวงการ เขาได้เงินครอบครองที่ และเข้าไปมีตำแหน่งนิดหน่อยในวงการ แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่รู้จักพูดคุยกับผู้อาวุโสพวกนี้ก่อน เพราะอย่างนั้นปัญหาทั้งหมดก็มาจากการที่เขาไม่รู้จักกฎระเบียบ โดยซ้อมก็ถือว่าสมควรแล้ว
จางฉุ้ยเหลียนถามจากปากของมู่จิ่นหนาน และเธอก็ยังไปดูอาการบาดเจ็บของฟู่ซินด้วยตัวเอง แล้วสุดท้ายเธอก็ยังไปถามจากพวกพี่น้องของฟู่ซิน เพราะอย่างนั้นเธอถึงได้วางใจได้ในที่สุด เดิมทีจางฉุ้ยเหลียนคิดว่า ตัวเองนั้นสามารถโน้มน้าวแม่สามีได้อย่างเต็มที่แล้ว ห้ามหล่อนไม่ให้เอาเงินไปทำประกันอะไรแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
ยังไม่รอให้จางฉุ้ยเหลียนได้โน้มน้าวแม่สามีจนเข้าใจ จู่ ๆ หนึ่งในปัญหาของชีวิตเธอก็กลับมาที่ตงเป่ย สามคนพ่อแม่ลูก ‘คืนสู่บ้านเกิด’ หลังลงจากรถไฟแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้กลับไปที่บ้านของตัวเอง แต่พวกเขากลับมาหาเซี่ยจวินแทน เพื่อที่จะถามที่อยู่ของจางฉุ้ยเหลียน
เซี่ยจวินเห็นพ่อแม่ลูกสามคนนี้ดูน่าสงสารมากจริง ๆ เพราะอย่างนั้นเขาจึงทนไม่ได้ที่จะชวนคุยเรื่องไร้สาระ ต่อจากนั้นก็พาพวกเขามาส่งถึงบ้าน
จางฉุ้ยเหลียนกำลังนั่งเขียนงานอยู่ในบ้าน เธอได้ยินเสียงคนเปิดประตูบ้านข้าง ๆ และตามมาด้วยเสียงพูดดังลั่น ในฤดูกาลนี้อากาศหนาวเย็นมาก หน้าต่างจึงถูกปิดสนิททำให้เธอฟังไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่นัก
ทันใดนั้นเองโทรศัพท์ฝั่งนี้ก็ดังขึ้น พอจางฉุ้ยเหลียนรับสาย เธอก็ได้ยินเสียงของเซี่ยจวินพูดว่า “มาบ้านนี้เร็ว พ่อแม่ของลูกกลับมาแล้ว เสี่ยวจวินก็กลับมาด้วยเหมือนกัน”
ในใจของจางฉุ้ยเหลียนมีเสียงดัง ‘กึก’ ขึ้นมาทันที เธอมีความรู้สึกคลื่นไส้ราวกับว่า เธอเห็นแมลงสาบอย่างไรอย่างนั้น นี่เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่นานเท่าไหร่เอง ทำไมพวกเขาถึงกลับมาได้ล่ะ เป็นวิญญาณร้ายตามติดจริง ๆ บางทีชาติก่อนเธอคงจะทำชั่วไว้เยอะจริง ๆ เลยติดหนี้พวกเขาเอาไว้
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนเปิดประตูบ้านเข้าไปในบ้านของเซี่ยจวิน เธอก็เห็นพ่อแม่ลูกสามคนนี้กำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขก จางฉุ้ยเหลียนสามารถพูดได้เลยว่าเธอตกใจสุด ๆ นี่เป็นครอบครัวที่เธอเคยเจอมาก่อนอย่างนั้นหรือ
จางฉุ้ยจวินเหลอหลาไม่ได้สติ ส่วนหัวของหัวจางกว่างฝูก็เต็มไปด้วยฝุ่นหน้าเปื้อนดิน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ แม่ผู้ให้กำเนิดของเธออย่างเช่าหวา เพราะตอนนี้ผมของหล่อนก็เริ่มหงอกแล้ว สองสามีภรรยาคู่นี้ดูแก่ขึ้นถึง 10 ปี จางฉุ้ยจวินเป็นเหมือนเด็กซึมเศร้า เพราะแม้แต่ตอบสนองด้วยการพยักหน้าให้ก็ไม่มี
“อา ฉุ้ยเหลียนกลับมาแล้วหรือ ! ” เช่าหวาเห็นจางฉุ้ยเหลียนเข้ามาในบ้าน ดวงตาก็เป็นประกายและลุกขึ้นยืนทันที จางกว่างฝูเองก็พยายามพยุงตัวลุกขึ้น พร้อมฉีกยิ้มเอาใจ
จางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามาพร้อมคิ้วที่ขมวดเป็นปม เธอถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจว่า “พวกแม่กลับมาได้ยังไง ? ”
หลังจากที่เห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ถากถางหรือเมินเฉย เช่าหวาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นหล่อนก็หันไปมองลูกสายแล้วถอนหายใจออกมาแรง ๆ หนึ่งที มือทั้งสองข้างเอื้อมไปตบที่ต้นขาของเขา หล่อนสูดหายใจเข้าลึก ๆ และกำลังจะคร่ำครวญออกมา แต่หล่อนก็ได้ยินเสียงไอแรง ๆ ของจางกว่างฝูซะก่อน เช่าหวาเลยกลืนเสียงคร่ำครวญนั้นลงไปอีกครั้ง
“พูดดี ๆ โอดครวญไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ? มันน่าฟังนักรึไง ? เราก็อยู่บ้านของเหล่าเซี่ย มันดูเหมาะสมรึไงล่ะ ? ” จางกว่างฝูทำเสียงเข้มขู่ภรรยา เช่าหวารีบหุบปากแล้วยิ้มขอโทษตงลี่หวาและเซี่ยจวินทันที
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนเดินมาถึงห้องนั่งเล่นและเพิ่งจะเดินเข้าไปใกล้ทั้งสองคน ยังไม่ทันที่เธอจะได้นั่ง เธอก็ได้กลิ่นฉุนแปลก ๆ จากร่างกายของทั้งสองคน จางฉุ้ยเหลียนรีบยืนตัวตรงและยิ้มอ่อนทันที “ในเมื่อพ่อกับแม่มาแล้ว งั้นก็พักผ่อนกันก่อนเถอะ เดินทางมาไกลขนาดนี้ คงจะลำบากกันมาไม่น้อย พ่อกับแม่คงซื้อตั๋วรถไฟแบบนั่งใช่ไหม ? ”
เช่าหวาพยักหน้ามองลูกชายของตัวเอง แล้วบ่นพึมพำออกไปว่า “เราจะทำใจซื้อตั๋วรถไฟแบบนอนได้ยังไงล่ะ นั่นมันของคนรวย มีที่นั่งก็ดีเท่าไหร่แล้ว นั่งมาก็ไม่ได้เหนื่อยอะไร”
จางฉุ้ยเหลียนเลิกคิ้วหันไปทางตงลี่หวา จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “แม่ ให้พวกเขาอาบน้ำที่บ้านก่อนเถอะค่ะ หนูจะไปทำอาหารก่อน กินอิ่มแล้วค่อยพูดก็แล้วกัน”
ตงลี่หวาพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็หันไปถามเช่าหวา “เธอมีเสื้อผ้าเปลี่ยนไหม เอาของฉันไปใส่ก่อนไหม ? ”
เช่าหวาก้มลงไปมองกระเป๋าสัมภาระของตัวเองตามสัญชาตญาณ หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว หล่อนก็ฝืนยิ้มออกมา “ไม่ต้องหรอก ฉันกลับไปซักที่บ้านก็ได้”
ตงลี่หวาตาโตทันที จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “เธอทำตัวให้เหมือนอยู่บ้านของตัวเองเถอะ ! เธอซักผ้าก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะไปเอาเสื้อผ้าของฉันมาให้เธอใส่ก่อน”
เช่าหวาเองก็ตระหนักได้ว่ากลิ่นตัวของตัวเองเหม็นมากจริง ๆ เลยรีบรับเสื้อผ้ามาจากมือของตงลี่หวาด้วยสีหน้าแดงก่ำ แล้วจากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ หลังจากนั้นไม่นานก็เดินออกมาอีกครั้ง หล่อนลากตงลี่หวาเข้าไปในห้องน้ำด้วยกัน แล้วให้ตงลี่หวาสอนว่า ต้องใช้อุปกรณ์ในห้องน้ำยังไง
หลังจากคิดดูแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็พูดกับจางกว่างฝูออกไปว่า “พ่อ งั้นพ่อมาอาบน้ำบ้านหนูก่อนก็แล้วกัน บ้านเรามีแท้งค์น้ำใหญ่ เสี่ยวจวินเองก็ตามมาด้วยเถอะ”
ในบ้านมีเสื้อผ้าของกู้จื้อเฉิงอยู่ จางฉุ้ยจวินสามารถใส่ได้พอดี แต่จางฉุ้ยจวินกลับไม่ไหวติง เหตุนี้จึงทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกแปลกใจสุด ๆ เซี่ยจวินเอาเสื้อผ้าของตัวเองออกมา เมื่อเห็นฉากนี้ เขาก็ผลักจางฉุ้ยเหลียนเบา ๆ
จางฉุ้ยเหลียนเลยได้แต่พาเซี่ยจวินและจางกว่างฝูไปที่บ้านข้าง ๆ พอจางกว่างฝูได้เห็นสไตล์การตกแต่งที่หลากหลายภายในบ้าน เขาก็เดินเข้าห้องน้ำไปด้วยความสับสน หลังเห็นจางฉุ้ยเหลียนปรับเครื่องทำน้ำอุ่น และเดินออกไปแล้ว เขาถึงได้ถอดเสื้อผ้าออก แล้วเอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูที่จางฉุ้ยเหลียนมอบให้มาขัดสิ่งสกปรกบนร่างกาย
“พ่อ พวกเขาพูดอะไรกับพ่อ ? ทำไมจางฉุ้ยจวินถึงได้กลายเป็นแบบนั้นไปได้ อย่างกับสมองมีปัญหาอย่างไรอย่างนั้น เขาโดนทำร้ายร่างกายมาหรือ ? ” จางฉุ้ยเหลียนชำเลืองมองไปที่ห้องน้ำ เธอนำประโยคที่ว่าโดนคนอื่นทำร้ายร่ายกายจนสมองมีปัญหากลืนลงไปเหมือนเดิม
เซี่ยจวินส่ายหน้า “เมื่อกี้ตอนพวกเขามาหาพ่อ พ่อเองก็ตกใจเหมือนกัน เหมือนจะบอกว่าอยู่ที่นั่นต่อไปไม่ได้แล้ว อยากจะหนีออกไปก็หนีไม่ได้ ในกระเป๋าไม่มีเงิน จางฉุ้ยจวินยังกลายมาเป็นคนป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ต้องทนลำบากมาเยอะกว่าจะกลับมาได้ เหมือนไม่ได้นั่งรถไฟกลับมาด้วยนะ”
จางฉุ้ยเหลียนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “เหมือนพวกเขาจะแอบขึ้นรถขนถ่านหินมาเลย เพราะกลิ่นบนตัวพวกเขาแรงมาก”
เซี่ยจวินถอนหายใจออกมา จากนั้นเขาก็พูดออกไปว่า “ลูกไม่เห็นหรือว่ารองเท้าของแม่ของลูกขาดจนเป็นรู ไอ้หยา ลูกก็อย่าทำตัวเกินเหตุไปล่ะ เรื่องมันก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว พวกเขาก็ได้รับกรรมพอแล้ว ลูกเองก็มีชีวิตที่ดีขึ้นมาก ผลอะไรที่ควรได้ ก็ได้รับหมดแล้ว บางเรื่องก็ไม่ต้องเก็บมาคิดเยอะหรอก”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ ถ้าจะให้พูดตามตรงสภาพของพ่อแม่และน้องชายของเธอ ถ้าคนแปลกหน้าได้มาเห็น พวกเขาก็ต้องรู้สึกสงสารทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังเป็นพ่อแม่และน้องชายแท้ ๆ ของเธอ เธอจึงไม่ได้รู้สึกแค้นเคืองแต่อย่างใดเมื่อได้เห็นสภาพของพวกเขา
จางกว่างฝูอยู่ในห้องน้ำเกือบหนึ่งชั่วโมง จนกระทั่งน้ำร้อนถูกใช้ไปจนเกือบหมด เขาถึงได้ยอมออกมา ในเวลานี้จางฉุ้ยเหลียนเองก็กำลังทำกับข้าวสองสามอย่างอยู่ในห้องครัว พอเห็นว่าใกล้ได้เวลาแล้ว เธอก็ให้เซี่ยจวินออกไปรับคังคังกลับมา
เช่าหวาอาบน้ำเร็วกว่าจางกว่างฝูหน่อย พอออกมาหล่อนก็เห็นจางฉุ้ยเหลียนเดินมาเคาะประตูหน้าบ้าน เพื่อมาเรียกให้หล่อนไปกินข้าว ขณะที่หล่อนเดินตามจางฉุ้ยเหลียนไป หล่อนถึงได้รู้ว่า ที่แท้บ้านทั้งสองหลังก็อยู่ติดกันนี่เอง บ้านของจางฉุ้ยเหลียนหันหน้าไปทางทิศใต้ รับแสงสุด ๆ ช่วงเวลา 14.00 น. กว่า ๆ แสงแดดกำลังอบอุ่น ขณะเอนพิงหลังกับโซฟา หล่อนก็ได้สัมผัสถึงความอ่อนนุ่มและความรู้สึกสบาย
จางกว่างฝูออกมาจากห้องน้ำด้วยหัวที่เปียกชุ่ม เขาสวมใส่รองเท้าแตะและชุดนอนตัวโคร่ง และทันใดนั้นเองแววตาของเช่าหวาก็สั่นไหว รู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นชีวิตที่หล่อนอยากได้มากที่สุด
จางฉุ้ยเหลียนยกอาหารสองจานออกมาจากห้องครัว พอเห็นสองสามีภรรยาคู่นี้ คนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ ส่วนอีกคนยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น เล่นจ้องตากันไปมา เธอก็พูดขึ้นมาว่า “มากินข้าวกันก่อนเถอะค่ะ แล้วเสี่ยวจวินล่ะ ? ”
เช่าหวาถอนหายใจออกมา เอื้อมมือมารับอาหารแล้วเดินเข้าไปที่บ้านตระกูลเซี่ยโดยที่ไม่พูดอะไรออกมา จางฉุ้ยเหลียนเดินไปที่ห้องนั่งเล่น เธอก็เห็นว่าจางฉุ้ยจวินยังคงนั่งอยู่ที่โซฟาเหมือนเดิม ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าสมองของจางฉุ้ยจวินไม่ได้เป็นอะไร น่าจะเป็นเพราะโดนล้างสมองและโดนทำร้ายมาอย่างหนัก เขาเลยเลือกที่จะปิดกั้นตัวเอง วิธีการหลีกเลี่ยงปัญหาเช่นนี้ คนอื่นเชื่อ แต่เธอกลับไม่อยากสนใจมัน
“จางฉุ้ยจวิน ! ” จางฉุ้ยเหลียนตะโกนเสียงดัง ทำให้จางกว่างฝูและภรรยาตกใจจนตัวสั่น
ตงลี่หวาเองก็รีบพุ่งเข้ามาโน้มน้าวเธอว่า “แกอย่าตะคอกทำให้เขาตกใจสิ ! เด็กคนนี้……”
เช่าหวายังพูดไม่ทันจะจบ จางฉุ้ยเหลียนก็เดินเข้าไปสองสามก้าว แล้วชี้หน้าจางฉุ้ยจวิน จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “จางฉุ้ยจวิน ฉันไม่ได้ตามใจนายเหมือนกับพ่อแม่หรอกนะ รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาด ๆ เดี๋ยวนี้ จากนั้นก็ออกมากินข้าว มีเรื่องอะไรสำคัญกว่าการกินข้าว ถ้าแกยังเสแสร้งอยู่ตรงนี้อีก ฉันจะไล่แกออกไปเดี๋ยวนี้แหละ ! ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยจวินถึงได้เริ่มมีอาการตอบสนอง เขาจ้องมองมาที่ใบของหน้าจางฉุ้ยเหลียนอยู่นานสองนาน หลังจากนั้นถึงได้ลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ จางฉุ้ยเหลียนเห็นเขายังทำตัวเศร้าสร้อยอยู่ เลยลากเขาให้เดินตามไป จากนั้นก็ทำตัวหยาบคายผลักเขาเข้าไปในห้องน้ำ แล้วตะโกนเสียงดังว่า “ฉันจะไปเอาเสื้อผ้าของพี่เขยนายมา ส่วนนายอาบน้ำให้สะอาดเดี๋ยวนี้ เข้าใจไหม ! ”
คนในบ้านไม่มีใครส่งเสียงใด ๆ ออกมา แต่ถึงอย่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด เธอนำเสื้อกับกางเกงสะอาด ๆ และถุงเท้าที่แห้งแล้วออกมาจากบ้าน ออกแรงเคาะประตูห้องน้ำแรง ๆ แล้วตะโกนออกไปเสียงดังลั่นว่า “ฉันจะให้พ่อเอาเข้าไปให้นาย ฉันให้เวลานายอาบน้ำ 20 นาที รีบอาบให้เสร็จซะ ! ”
คราวนี้การเคลื่อนไหวของจางฉุ้ยจวินเร็วขึ้นมาก เพราะหลังจากที่ตงลี่หวาต้มซุปไข่เสร็จแล้ว เขาก็ออกมาจากห้องน้ำพอดี
ทั้งสามคนนั่งล้อมวงกินข้าว พวกเขาเขมือบอาหารทั้งสี่จานบนโต๊ะจนหมดเกลี้ยง ซุปชามใหญ่ก็ดื่มจนหมดไม่มีเหลือ จากนั้นก็ยังกินข้าวในหม้อจนหมด สุดท้ายจางฉุ้ยจวินก็ยังกินองุ่นเข้าไปอีกสองพวงใหญ่ ๆ แล้วถึงได้ปิดปากเพราะสะอึก !
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นแบบนี้ เธอจึงเผยสีหน้าเย็นชา จากนั้นเธอก็ถามพวกเขาออกไปตรง ๆ ว่า “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? นายไม่ได้บอกว่านายออกไปหาเงินหรือ ? แล้วทำไมตอนนี้พ่อแม่แล้วก็นายถึงได้มีสภาพไม่ต่างอะไรจากขอทานแบบนี้ล่ะ ? ”
MANGA DISCUSSION