ตอนที่ 261 ร่วมมือกันต่อปากต่อคำ
จางฉุ้ยเหลียนเห็นแม่สามีนำเครื่องบดออกมา จึงรีบไปหาเก้าอี้ไม้มาเพื่อเอามาวางรอง หลังจากใส่เนื้อเข้าไป แล้วออกแรงหมุนเพียงแค่สองครั้งเนื้อบดก็ออกมาแล้ว
ต่อจากนั้นอันหลงก็เริ่มสับต้นหอมและขิง เติมผักกาดขาวลงไปนิดหน่อย ในช่วงเวลานี้แม่สามีและลูกสะใภ้ต่างก็ช่วยกันทำงานอยู่ในครัวกันอย่างขยันขันแข็ง เพราะได้ยินเสียงจากเครื่องบดเนื้อ แม่เฒ่าเฝิงเลยเกิดความสงสัยขึ้นมา
เกากุ้ยเจินเดินมาในห้องครัว ถามว่าอยากให้ช่วยอะไรไหม แต่ความจริงแล้วหล่อนเดินมาเพื่ออยากจะมาดูเครื่องบดเนื้อต่างหากล่ะ เมื่อได้เห็นสิ่งที่ต้องการแล้ว หล่อนก็เดินกลับไปเล่าให้แม่เฒ่าฟัง เมื่อได้ยินสิ่งที่หลานสาวเล่า แม่เฒ่าเฝิงก็ขมวดคิ้วแน่นและเดินมาดูที่ห้องครัวด้วยตัวเอง
เมื่อเดินเข้ามาหล่อนก็เห็นว่า ตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนบดเนื้อเสร็จแล้ว และกำลังจะเอาเนื้อไปจัดการต่อพอดี หล่อนเลยตะโกนถามออกไปเสียงดังลั่นว่า “แกเอาเจ้านี่มาทำอะไร ? ”
จางฉุ้ยเหลียนตกใจ หันกลับไปมองแม่เฒ่าด้วยสีหน้างุนงง “เครื่องบดหรือคะ ! ”
“แกใช้เจ้านี่บดเนื้ออย่างนั้นหรือ ? ทำไมพวกแกสองคนถึงได้ขี้เกียจขนาดนี้ ? ไม่มีมือกันหรือยังไง ? ” แม่เฒ่าเฝิงเท้าเอวตะโกนใส่ลูกสะใภ้และหลานสะใภ้อยู่ในห้องครัว
จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมาด้วยความเบื่อหน่ายลับหลัง จากนั้นก็หมุนตัวกลับมาพร้อมรอยยิ้มหวานที่แสนไร้เดียงสา “ทำไมหรือคะ ? เราทำอะไรให้คุณย่าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ ? ”
“ทำไมแกใช้เจ้านี่บดเนื้อ ห๊ะ ? ใช้มีดสับเอาไม่เป็นรึไง ? วัน ๆ รู้จักแต่ใช้เงิน ตระกูลกู้ของพวกเราแต่งพวกแกเข้ามาทำไมกัน ? ” จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้ม ถามกลับไปอย่างไม่ใยดีว่า “หรือว่าคุณย่าให้หนูแต่งเข้ามาเพื่อที่จะให้หนูมาสับหมูอย่างนั้นหรือคะ ? พวกเราไม่ได้ขายหมูหรือทำร้านอาหารสักหน่อย และหนูก็ไม่เคยได้ยินใครที่แต่งภรรยาเข้ามาในบ้านเพื่อเหตุผลนี้มาก่อนเลยด้วย ! ”
เกาหลีม่านเห็นแม่สามีของตัวเองโมโหจนลูกตาแทบจะถลนออกมาแล้ว หล่อนจึงได้รีบโต้กลับไปทันทีว่า “ทำไมเธอถึงพูดแบบนี้ล่ะ คุณย่าของเธอก็ไม่ได้พูดเพราะหวังดีกับเธอหรอกหรือ คนสมัยนี้รักสบาย ชินชากับการชอบใช้ของพวกนี้ช่วย แต่ของที่ทำออกมากลับไม่อร่อยสักอย่าง ! ” เกาหลีม่านไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้บรรยากาศสงบลงแล้วเท่านั้น แต่หล่อนยังไม่กลัวว่าจะทำให้เรื่องใหญ่ขึ้นด้วย “เครื่องบดมันไม่อร่อยเท่าสับเอง พวกเธอจะทำเพราะมันช่วยประหยัดเวลา แล้วจะเอามาหลอกคุณย่าของเธอไม่ได้หรอกนะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นี่เขาเรียกว่าการพัฒนาของเทคโนโลยีหรือการพัฒนาของประเทศ หนูกลับคิดว่าเจ้านี่ช่วยปลดปล่อยผู้หญิงออกมาจากห้องครัว ประหยัดเวลาเอาไปทำอย่างอื่นได้อีกเยอะนะคะ”
แม่เฒ่าเฝิงชี้หน้าจางฉุ้ยเหลียนแล้วส่งเสียงฟึดฟัดออกมา จากนั้นหล่อนก็หันไปพูดกับเกาหลีม่านว่า “แกฟังสิ หึ ! แกพูดไปหนึ่งประโยค เธอกลับมีอีกสิบประโยครออยู่ กล้าต่อปากต่อคำ ทำไม ฉันว่าแกไม่ได้เลยรึไง ? ”
จางฉุ้ยเหลียนเลิกคิ้วอย่างขบขัน “การที่ผู้อาวุโสอย่างคุณย่าอบรมหนู นั่นมันย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้ว แต่ปัญหาก็คือมันต้องเหมาะสม คุณย่าจะเลือกกระดูกออกมาจากเปลือกไข่ก็ไม่ได้จริงไหมล่ะคะ เจ้าเครื่องนี้มีปัญหาอะไร ? หรือว่าข้าวที่บ้านคุณย่าไม่ต้องใช้หม้อหุงข้าวหุงข้าว ? ไม่ต้องดูโทรทัศน์หรือว่าใช้ตู้เย็นเลยหรือคะ ? ”
แม่เฒ่าเฝิงตะคอกกลับไปทันทีว่า “ไม่ต้อง บ้านเราไม่ต้องใช้อะไรทั้งนั้น”
จางฉุ้ยเหลียนหันไปมองแม่สามีด้วยท่าทีตกใจทันที “แม่คะ ถ้างั้นตู้เย็นกับหม้อหุงข้าวที่แม่ส่งไปให้บ้านป้าสะใภ้ใหญ่ ใครเป็นคนใช้กันล่ะ ? บ้านเขาไม่ต้องการ แล้วแม่จะซื้อของพวกนี้ไปให้พวกเขาทำไม”
อันหลงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นหล่อนก็พูดออกมาว่า “ใครจะไปรู้ล่ะว่าบ้านพวกเขาไม่อยากจะใช้ของพวกนี้ ต่อไปแม่จะไม่เสียเงินซื้อของพวกนี้ไปให้พวกเขาอีกแล้ว ยังไงพวกเขาก็ไม่ใช้ เปลืองเงินไปเปล่า ๆ ”
แม่เฒ่าเฝิงโมโหจนสั่นไปทั้งตัว ตอนนี้หล่อนเข้าใจแล้ว คนที่คุมบ้านหลังนี้ก็คือ จางฉุ้ยเหลียน เธอทำให้อันหลงไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีไปเสียแล้ว แล้วตอนนี้ยังกล้ามาสั่งสอนหล่อนอีก ยัยกบฏหน้าไม่อาย
“ไอ้หยา เธอพูดแบบนี้ได้ยังไง ? การที่เธอกตัญญูต่อผู้อาวุโส พวกเรายังต้องขอบคุณเธออีกอย่างนั้นหรือ ? อันหลง นี่หมายความว่ายังไง ? เธอให้ลูกสะใภ้ของเธอมาถือดีกับพวกเราอย่างนั้นหรือ ? ในบ้านหลังนี้เธอมีสิทธิ์พูดอะไรด้วยหรือ ? เธอไม่รู้จักประเมินตนเองบ้างเลยรึไง ? ” เกาหลีม่านเห็นแม่สามีลูกสะใภ้คู่นี้ต่อปากต่อคำกับตนเอง และก็เห็นได้ชัดเลยว่า พวกเธอกำลังดูถูกพวกหล่อนอยู่
ทันใดนั้นเองไฟโทสะของเกาหลีม่านก็พุ่งสูงขึ้นทันที และลืมเป้าหมายในการมาครั้งนี้ทันที เมื่อเห็นดังนั้น เกากุ้ยเจินจึงรีบเอื้อมมือไปดึงเสื้อของหล่อนไว้อย่างรวดเร็ว เพราะอย่างนั้นเกาหลีม่านถึงได้สติกลับมา แต่ก็ยังคิดไม่ตกอยู่ดี ทำไมอันหลงถึงได้เปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ หล่อนโอหังยิ่งกว่าแต่ก่อนซะอีก นี่มันเป็นศูนย์รวมของพวกแบ่งพรรคแบ่งพวกจริง ๆ แม่สามีลูกสะใภ้คู่นี้ไม่มีใครดีเลยสักคน
หล่อนจะไม่ยืมเงินและซื้อบ้านแล้ว เพราะหล่อนจะปล่อยให้พวกเธอมาทำตัวเหิมเกริมแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด อีกทั้งหล่อนก็ยังมีเหตุผลอยู่ในมือ แล้วหล่อนจะปล่อยให้ลูกสาวนายทุนมารังแกหล่อนได้อย่างนั้นหรือ ?
“คำพูดของป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่เลยนะคะ นี่เป็นบ้านของแม่สามีของหนู แล้วหล่อนจะไม่มีสิทธิ์พูดได้ยังไง หนูล่ะไม่เข้าใจเลยจริง ๆ พวกคุณป้ามาเป็นแขกหรือว่ามาเป็นศัตรูกับพวกเรากันแน่ ? พวกเราต้อนรับพวกคุณป้าด้วยอาหารดี ๆ แต่พวกเรากลับเป็นฝ่ายผิดอย่างนั้นหรือคะ ? ” จางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามายืนบังอันหลงไว้ เธอกังวลว่าแม่เฒ่าเฝิงจะเสียสติแล้วพลั้งมือทำร้ายแม่สามีของเธอ
“นี่มันบ้านของลูกชายฉันไม่ใช่รึไง ? เพราะฉะนั้นบ้านของลูกชายฉัน ก็เป็นบ้านของฉันเหมือนกัน แล้วฉันไม่ควรอยู่ที่บ้านของตัวเองหรือ ? แล้วแกมันเป็นใครมาจากไหน น่ารำคาญคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ? ”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมาทันที จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “ไอ้หยา คุณย่าพูดถูกต้องแล้วล่ะค่ะ บ้านหลังนี้เป็นของลูกชายของคุณย่า ของของลูกชายของคุณย่าก็คือของของคุณย่า ถ้างั้นบ้านของคุณย่าก็คือ บ้านของลูกชายคนโตของคุณย่า ดังนั้นครอบครัวพวกเขาก็ถือว่าเป็นเจ้าบ้านหลังนี้ ใช่ไหมคะ ? ”
เกาหลีม่านหน้าเปลี่ยนสีในทันที ยังไม่ทันเปิดปากสั่งสอนเจตนาร้ายของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนก็เห็นว่าอันหลงเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “อ้อ หนูก็ว่าทำไมหนูถึงรู้สึกตงิด ๆ ว่า ทำไมจู่ ๆ พวกคุณแม่ก็มากันเมื่อวาน หนูทุ่มเงินทุ่มแรงดูแลขนาดนี้ พวกคุณแม่กลับไม่มีความสุขเลยสักนิด รู้สึกเหมือนไม่ได้มาซื้อบ้าน แต่พวกคุณแม่จะมาปล้นบ้านของเราซะมากกว่า”
แม่เฒ่าเฝิงไม่ใช่เกาหลีม่าน ที่จะรู้ว่าการเคารพผู้อาวุโสภายใน กับกฎหมายที่ใช้ภายนอกมันแตกต่างกันอย่างไร พอหล่อนได้ยินคำพูดเมื่อกี้ของจางฉุ้ยเหลียน ในใจของหล่อนก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาทันที
ในเมื่อจางฉุ้ยเหลียนและสามีมีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว และยังทำธุรกิจค้าขาย เพราะอย่างนั้นพวกเขาก็ต้องมีเงิน หลานชายของหล่อนอย่างกู้จื้อเฉิงคนนี้ก็เป็นทหารกินเงินหลวง หลานสะใภ้เปิดกิจการค้าขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ได้ยินมาว่าหายใจเข้าออกเป็นเงินเป็นทอง เหล่าสื่อลูกชายของหล่อนก็ยังไม่เกษียณ ถึงจะเกษียณแล้วเขาก็ยังมีเงินบำนาญอีกไม่น้อย อันหลงเป็นคนไม่ขาดเงินมาโดยตลอด และยังเปิดร้ายขายหนังสือได้เงินทุกเดือน ของกินของใช้ในบ้านหลังนี้มีก็เป็นของที่ดีที่สุด แม้แต่เค้กไข่ก็ยังมีปัญญากินทุกวัน
พอหล่อนมาดูลูกคนโตของตัวเองอย่างกู้เต๋อเปิ่น ชั่วชีวิตนี้ทั้งเหนื่อยทั้งลำบากกับโรคภัยไข้เจ็บ ลูกที่มีก็ไม่โดดเด่นเหมือนลูกของเหล่าซื่อ เงินเกษียณก็ได้แค่ 200 กว่าหยวน ในมือลูกสะใภ้ใหญ่ก็มีอยู่แค่ 100 กว่าหยวน เงินก้อนเล็ก ๆ แค่นี้ยังไม่พอกับค่าใช้จ่ายรายเดือนของหลานชายของเหล่าซื่อเลยเลย แถมยังติดหนี้อีกบานตะไท
สู้ให้เหล่าซื่อช่วยสักครั้ง เพราะไม่ว่ายังไงถ้าพวกหล่อนได้บ้านหลังนี้มา ลูกชายคนโตและภรรยาของหล่อนก็คงจะไม่ได้ออกเงินอะไรอยู่แล้ว แล้วนี่ก็ยังเป็นบ้านของลูกชายคนที่สี่ของหล่อนอยู่แล้ว เพราะอย่างนั้นมันก็ไม่ถือว่าเป็นการเอาเปรียบกู้เต๋อไห่สักเท่าไหร่หรอก
จากนั้นหล่อนก็ยังคิดได้อีกว่า บ้านแม่ของจางฉุ้ยเหลียนก็ทำการค้า พวกเขามีลูกสาวเพียงแค่คนเดียว เลยตามใจจนเสียนิสัย เพราะอย่างนั้นในอนาคตเหล่าซื่อกับภรรยาก็จะมีชีวิตอยู่ดีกินดีเพราะลูกหลาน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีบ้านหลังนี้แล้ว พวกเขาก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร !
พอคิดได้เช่นนี้ แม่เฒ่าเฝิงก็มีแผนในใจ แววตาเป็นประกายเจิดจรัส ทันใดนั้นเท้าน้อย ๆ ของแม่เฒ่าก็ก้าวเข้ามาผลักจางฉุ้ยเหลียนออกไป แล้วชี้หน้าอันหลงและผลักหล่อนเช่นเดียวกัน
ปากพ่นคำพูดหยาบคายไม่น่าฟังออกมา ด่าว่าหล่อนมีชาติกำเนิดไม่ดี ฐานะต่ำต้อยส่งผลกระทบต่ออาชีพกู้เต๋อไห่ และยังบอกว่าไม่รู้จักบุญคุณคน ตอนนั้นเกาหลีม่านที่เป็นหัวหน้าสมาคมช่วยเหลือสตรีก็เป็นคนที่ช่วยเดินเส้นสายให้หล่อน ไม่อย่างนั้นหล่อนก็คงตายอยู่ที่ไหนสักแห่งไปตั้งนานแล้ว แต่หล่อนกลับกล้ามาขึ้นเสียงใส่เกาหลีม่าน เพราะอย่างนั้นมันก็เห็นอยู่ชัด ๆ เลยว่า อันหลงไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี
เมื่อได้ยินดังนั้น อันหลงก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมาทันที หล่อนไม่อยากให้เรื่องเล็กในวันนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ในวันหน้า แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงขออภัยว่า “แม่คะ หนูผิดเอง หนูไม่ควรประหยัดเวลาด้วยการบดหมูจากเครื่องงี่เง่านั่น หนูสับเนื้อให้แม่ใหม่ดีไหม ? แม่อยากกินเนื้อแกะหรือเนื้อวัว หนูจะไปซื้อมาให้แม่เดี๋ยวนี้แหละ ! ”
ในเมื่อแม่เฒ่าเฝิงตัดสินใจแล้ว หล่อนก็จะไม่ยอมถอยอย่างแน่นอน เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงตะคอกออกไปด้วยคำพูดหยาบคายอีกมากมาย เกาหลีม่านเองก็คอยช่วยต่อว่าอยู่ข้าง ๆ ทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที เมื่อได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า
เธอไม่เคยเห็นแม่สามีของตัวเองทำตัวอ่อนน้อมขนาดนี้มาก่อนเลย เพราะปกติเวลาไปซื้อของที่ตลาดด้วยกัน หล่อนก็จะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และทุกครั้งที่ออกไปจากบ้าน หล่อนก็ไม่เคยใส่เสื้อกล้ามหรือรองเท้าแตะลงไปชั้นล่างเลยสักครั้ง ไม่ว่าวันนั้นจะย้ำแย่สักแค่ไหน หล่อนก็จะหวีผมเนี๊ยบตลอด
แต่หญิงชราที่สง่างามเช่นนี้ กลับทำตัวนอบน้อมเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงปากร้ายสองคนที่คิดแต่จะทรมานและกดขี่อย่างไร้เหตุผล
มีสิทธิ์อะไร ?
แม่สามีของเธอติดหนี้พวกหล่อนอย่างนั้นหรือ ? แม่สามีของเธอติดค้างน้ำใจพวกหล่อนรึไง ? ในฐานะลูกสะใภ้ ถึงแม้จะไม่ได้รับแม่สามีมาอยู่ด้วย แต่หล่อนก็รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่าง สิ่งที่สามารถทำให้แม่สามีได้ หล่อนก็จัดการได้เป็นอย่างดี ในฐานะน้องสะใภ้ หล่อนก็ให้เกียรติพี่สะใภ้ทุกอย่าง ยอมให้พี่สะใภ้ทำตัวอวดดีต่อหน้า และยังช่วยเหลือเป็นครั้งคราวอีกด้วย หล่อนทำถึงขนาดนี้แล้ว แต่พวกหล่อนก็ยังกล้ามาแสดงท่าทางดูถูกแม่สามีของเธออีก
มีสิทธิ์อะไร ?
จางฉุ้ยเหลียนลากอันหลงออกมา แล้วพูดด้วยความโมโหออกไป “แม่คะ แม่ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว แม่ยังดูไม่ออกอีกหรือคะว่า พวกเขามาที่นี่เพื่อที่จะมาหาเรื่องเรา ? แม่คิดว่าคนบ้านนอกอย่างพวกเขาจะได้กินอะไรนักหนา ? เพราะอย่างนั้นพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเนื้อที่บดจากเครื่องบดมันจะไม่อร่อย ? แล้วพวกเขาเป็นคนพิถีพิถันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? แต่ทำไมหนูกลับจำได้ว่า ตอนงานวันเกิดอายุครบหนึ่งปีของคังคัง พวกเขาก็ยังถือตะกร้าพัง ๆ มาที่บ้านของพวกเราอยู่เลย อาหารที่คนอื่นกินเหลือ พวกเขาก็หอบเอากลับไปที่บ้านของตัวเองหมด แต่ทำไมพอพวกเขามาอยู่ที่บ้านของเราแล้ว พวกเขาถึงได้ทำตัวรังเกียจกับเรื่องแค่นี้ล่ะ ? แล้วเนื้อนี่ไม่ใช่ของดีอย่างนั้นหรือ ? พวกเขาพิถีพิถันขนาดนั้นเลยรึไง เมื่อวานอาหารเยอะแยะมากมายขนาดนั้นทำไมถึงกินกันจนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ ? พวกเขาเอากระเพาะที่ไหนมาใส่ ? ไม่กลัวกระเพาะของตัวเองจะรับไม่ไหวบ้างรึไง ! ”
ช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ อันหลงก็เห็นลูกสะใภ้ของตัวเองแข็งแกร่งไม่น้อย และจางฉุ้ยเหลียนเองก็เข้าใจอะไรอยู่บ้าง เพราะผู้หญิงบางคนมักจะชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า แต่กลัวคนที่แข็งแกร่งกว่า ทั้งอยากได้หน้าและไม่อยากเสียเปรียบ ไม่ว่าเรื่องดี ๆ อะไรก็มาเอาเปรียบคุณหมด และพวกหล่อนก็มักจะคิดว่าพระอาทิตย์หมุนรอบตัวหล่อนเองเช่นกัน
เกาหลีม่านโดนจางฉุ้ยเหลียนพูดแทงใจดำจนหน้าแดง ส่วนแม่เฒ่าเฝิงก็ยกมือขึ้นมากุมที่หน้าอกของตัวเองราวกับจะล้มป่วย เว่ยหงและเกากุ้ยเจินตกใจจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ๆ ออกมา พวกหล่อนเริ่มรู้สึกเสียใจและคิดว่าไม่น่าตามมาด้วยเลย
แม่เฒ่าเฝิงโมโหยิ่งกว่าอะไรดี หล่อนชี้หน้าต่อว่าอันหลงออกไปว่า “ได้ ฉันจะไม่สนใจอะไรแล้ว ลูกสะใภ้ของเธอ เธอก็จัดการเองก็แล้วกัน ! ”
เกาหลีม่านเองก็ไม่พอใจ “บ้านของเหล่าซื่อได้ผู้หญิงที่ร้ายกาจขนาดนี้มาเป็นลูกสะใภ้ ถ้าลูกชายของฉันแต่งงานกับผู้หญิงที่เก่งแต่ปากอย่างเธอล่ะก็ ฉันก็คงจะฉีกปากเก่ง ๆ ของเธอไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้เธอมาทำตัวเหลวไหลต่อหน้าผู้อาวุโสแบบนี้หรอก เหอะ ! ”
อันหลงทำสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “เธอเป็นลูกสะใภ้ที่ฉันเลือกให้แต่งเข้ามาที่บ้านของฉันเอง ไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาตที่จะลงไม้ลงมือกับเธอได้ แล้วแม่ของเธอก็เลี้ยงเธอมาดีขนาดนี้ แล้วทำไมเธอจะต้องมาเป็นที่ระบายอารมณ์ของพวกเราด้วยล่ะ ? ”
พอแม่เฒ่าเฝิงได้ยินคำพูดพวกนี้ หล่อนก็โมโหจนเลือดลมไหลกลับ พยักหน้างึกงักกัดฟันและตะคอกกลับไปทันที “ได้ แกเก่งนักนี่ บ้านหลังนี้ฉันอยู่ต่อไม่ได้แล้ว ไป พวกเรากลับ ! ”
หลังจากพูดจบหล่อนก็หมุนตัวเดินออกไปที่ห้องนั่งเล่นทันที ขณะเดียวกันก็ตะโกนออกไปว่า “ครอบครัวของลูกชายใหญ่ของฉัน รีบเก็บข้าวของซะ พวกเราจะกลับกันแล้ว”
เกาหลีม่านพยักหน้ารับคำ ต่อจากนั้นก็ตะโกนใส่เว่ยหงลูกสะใภ้ของตัวเองว่า “แกกำลังรอดูอะไรอยู่ ห๊ะ ? รีบ ๆ ออกไปตามพ่อกับสามีของแกกลับมาสิ ! บอกพวกเขาว่า พวกเราโดนคนบ้านนี้ไล่แล้ว ! ”
เว่ยหงเลิ่ก ๆ ลั่ก ๆ ไม่รู้จะไปหรืออยู่ต่อดี ทำให้เกาหลีม่านโมโหจนต้องกระทืบเท้า “ยังไม่ไปอีก จะอยู่รอความตายที่นี่รึไง ! ”
ด้วยความไม่รู้คังคังที่นั่งเล่นของเล่นอยู่ข้าง ๆ โต๊ะรับแขกมาตลอด ก็ลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน เพราะอย่างนั้นมันจึงทำให้เกาหลีม่านตกใจขึ้นมาทันที หล่อนเลยผลักคังคังไปด้านข้างเบา ๆ ส่วนแม่เฒ่าเฝิงที่เพิ่งหยิบผ้าพันคอขึ้นมาจากโซฟา ก็ตีตูดคังคังไปหนึ่งที
คังคังคิดว่ามันสนุกดี เขาเลยยิ้มและหัวเราะออกมา นั่นจึงทำให้ไฟในใจแม่เฒ่าเฝิงลุงโชนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
หล่อนเลยง้างมือขึ้นเพื่อจะตีคังคัง อีกทั้งยังพูดออกไปอีกว่า “ไอ้เด็กเวร แกก็กล้าหัวเราะฉันงั้นหรือ ! ”
MANGA DISCUSSION