ตอนที่ 252 ชาวบ้านดื้อด้าน
พอเฉียนเหมยเซียได้ยินคำพูดของแม่สามี หล่อนก็ทนไม่ได้อีกต่อไป หล่อนรู้ดีว่าถึงแม้ว่าฟู่ซินจะบอกว่า ในใจของเขาจางฉุ้ยเหลียนก็เป็นแค่ญาติคนหนึ่งเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วหล่อนเข้าใจดีว่า จางฉุ้ยเหลียนก็เหมือนกับเป็นคนในบ้านของพวกเขาไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เพราะหล่อนคลอดลูกสาว ผูชูเฟิงเลยไม่ชอบขี้หน้าหล่อน แม่สามีบอกหล่อนทั้งในที่ลับและที่แจ้งว่า ต่อไปหล่อนต้องคลอดลูกชายออกมาให้ได้ แต่ในเดือน ๆ หนึ่งฟู่ซินก็กลับบ้านแทบจะนับวันได้ และถึงแม้ว่าเขาจะกลับมาที่บ้าน แต่เขาก็ไม่ได้มีสัมพันธ์อะไรกับหล่อนเลย แล้วหล่อนจะท้องเองได้รึไง ?
หล่อนพยายามคิดทุกวิถีทาง เลยตัดสินใจว่าจะลองใช้จางฉุ้ยเหลียนดู ถ้าเธอสามารถพูดถึงหล่อนในด้านดี ๆ ต่อหน้าฟู่ซินและแม่สามีของหล่อนได้ อนาคตของหล่อนก็คงจะยาวไกลขึ้นอีกหน่อย
“เธอดูสิ แม่สามีของฉันรักลูกชายของเธอมากเลยนะ หล่อนเอ็นดูลูกชายของเธอราวกับว่าเป็นหลานคนแรกของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น” เฉียนเหมยเซียพูดกับจางฉุ้ยเหลียนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม และท่าทีก็ไม่ได้เย็นชาเหมือนเมื่อสักครู่นี้แต่อย่างใด
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่ เธอหั่นขึ้นฉ่ายพร้อมกับพูดออกไปว่า “พวกคนแก่ก็ชอบเด็กกันทั้งนั้นแหละ แล้วคังคังก็อยู่ในวัยกำลังซน เธอรอดูอีกสองปีเถอะ เดี๋ยวทุกคนก็ไปหลงหญาหญาลูกสาวของเธอกันหมดแล้ว พอถึงเวลานั้นเดี๋ยวคังคังก็กลายเป็นหมาหัวเน่า และจะต้องอิจฉาน้องสาวอย่างแน่นอน”
เฉียนเหมยเซียพูดออกไปอย่างระมัดระวังว่า “แต่…. แม่สามีกับสามีของฉันพวกเขาต่างก็อยากได้ลูกชาย หญาหญาก็เลยไม่เป็นที่รักของคนในครอบครัว แต่คนเป็นแม่อย่างฉันเองก็ไม่ได้แปลกใจอะไร”
จางฉุ้ยเหลียนหันมองไปรอบ ๆ ด้วยความแปลกใจ “ไม่เป็นที่รักอย่างนั้นหรือ ? ไอ้หยา ถ้าอย่างนั้นของที่กองอยู่ในบ้านนี่มันคืออะไรล่ะ ? เพราะจากนิสัยของแม่สามีของเธอ ลูกสาวของเธอก็น่าจะได้เสื้อผ้าที่ส่งต่อมาจากญาติพี่น้องนะ เธอลองมองดูหญาหญาสิ หล่อนได้ของเหลือใช้สักชิ้นไหม ? หล่อนก็เพิ่งจะอายุเท่านี้เอง แต่พ่อของหล่อนก็ยอมจ่ายเงินซื้อตุ๊กตาให้หล่อนเยอะมากขนาดนี้แล้ว แบบนี้ยังจะเรียกว่าไม่เป็นที่รักอีกอย่างนั้นหรือ ? ”
เฉียนเหมยเซียบุ้ยปาก “เพราะบ้านของเรามีเงินไง นี่มันก็เป็นแค่เรื่องของหน้าตาเท่านั้นแหละ ส่วนเรื่องภายในบ้านของเรา เธอไม่รู้หรอก แม่สามีของฉันอยากได้หลานชายจนตอนนี้ผมของหล่อนก็จะหงอกหมดหัวแล้ว แต่สามีของฉันก็เหมือนไม่อยากจะมี ไม่รู้จักกลับบ้านกลับช่อง ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วเหมือนกัน”
เรื่องนี้ก็เป็นปัญหาของบ้านเขา เพราะอย่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนจึงไม่อยากเข้าไปยุ่ง หลังจากครุ่นคิดสักพักแล้ว เธอก็พูดออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “จะไม่มีอีกได้ได้ยังไง เพราะไม่ว่ายังไงบ้านเธอก็รวย พวกเขาไม่กลัวเรื่องค่าปรับหรอก”
เมื่อเฉียนเหมยเซียเห็นจางฉุ้ยเหลียนไม่มีท่าทีว่าจะช่วยหล่อนเลยสักนิด หล่อนเลยไม่มีอารมณ์ที่จะพูดถึงเรื่องพวกนี้อีก หลังจากเข้าไปช่วยงานได้สักพัก จางฉุ้ยเหลียนก็เดินออกไปป้อนนมคังคัง และเล่นกับหญาหญาอีกพักหนึ่ง
พอฟู่ซินเห็นแบบนั้น เขาก็เดินเข้ามาใกล้จางฉุ้ยเหลียน แล้วกระซิบถามเบา ๆ ว่า “เป็นไงบ้าง หล่อนชักสีหน้าหรือว่าพูดอะไรใส่เธอรึเปล่า ? ”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะ “หล่อนก็ไม่ใช่คนไร้ศักดิ์ศรีสักหน่อย จะกล้าหาเรื่องฉันอีกได้ยังไง หล่อนก็แค่ไม่กล้าให้ฉันช่วยงานในครัวก็เท่านั้น ฉันไม่อยากทำให้หล่อนลำบากใจ ก็เลยเดินออกมา”
ฟู่ซินมองจางฉุ้ยเหลียนด้วยสีหน้าประหลาดใจ ในใจก็นึกสงสัยว่ามันจะเป็นเรื่องจริงรึเปล่า เพราะจางฉุ้ยเหลียนชอบทำตัวเป็นคนดีเกินไป เขาเลยแยกแยะเรื่องแบบนี้ไม่ออก
พอจางฉุ้ยเหลียนเห็นคังคังจับมือหญาหญา และพูดพึมพำอะไรกันสักอย่าง เธอก็ชี้ไปที่เด็กทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม ในขณะเดียวกันก็หันมาแสร้งถามออกไปอย่างหยอกล้อว่า “หญาหญาก็เริ่มโตแล้ว พวกนายจะมีลูกคนที่สองกันเมื่อไหร่ล่ะ ? ”
ฟู่ซินตกใจขึ้นมาทันที “จะมีลูกคนที่สองไปทำไม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนเลิกคิ้ว จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “จะมาแกล้งทำมึนทำไม ? หรือว่าแม่ของนายไม่ได้บีบบังคับนายอย่างนั้นหรือ ? พี่น้องตระกูลฟู่มีหลานสาวให้แม่ของนายแค่คนเดียว มันเหมาะสมแล้วอย่างนั้นหรือ ? นายไม่คิดจะมีลูกชายอีกสักคนหรือ ? โรงงานก๋วยเตี๋ยวบ้านนายก็ไม่ได้ตกทอดให้ผู้ชายอย่างนั้นหรือไง ? ”
ประโยคหลังทำให้ทุกคนหัวเราะขึ้นมาทันที แม้แต่ผูชูเฟิงก็ยังอดแซวลูกชายไม่ได้ “ใช่ไหมล่ะ นั่นเป็นเลือดเนื้อทั้งชีวิตของพ่อแกเลยนะ เขาจะยกโรงงานนั้นให้ผู้ชาย ไม่ได้จะยกให้ผู้หญิงหรอกนะแกรู้ไหม ฉันจะบอกอะไรแกให้นะว่า ใช้โอกาสตอนที่ฉันยังดูแลหลานได้ รีบมีหลานให้ฉันอีกสักคนซะ”
ตงลี่หวาและเซี่ยจวินก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน “ใช่แล้วล่ะ มีลูกสองคนพวกเขาก็จะได้เป็นเพื่อนกัน นายดูคังคังของพวกเราสิ เขาเหงาเปล่าเปลี่ยวเดียวดายจะตายไป นอกจากคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายก็ไม่มีเพื่อนเล่นคนอื่นอีกแล้ว”
ฟู่ซินเดินไปนั่งข้าง ๆ เซี่ยจวิน จากนั้นเขาก็พูดกับชายชราออกไปว่า “ผมมีลูกบุญธรรมแล้ว จะอยากมีลูกชายไปอีกทำไม ต่อไปผมก็จะยกทุกอย่างให้คังคัง แค่นี่ก็จบเรื่องแล้ว ไม่ใช่หรือครับ”
เฉียนเหมยเซียที่ยืนอยู่หน้าห้องครัว หล่อนจ้องมองการเคลื่อนไหวในห้องนั่งเล่นด้วยสายตาที่เศร้าหมอง จางฉุ้ยเหลียนเหลือบไปเห็นเข้าพอดี เลยกลัวว่านิสัยที่ขี้ระแวงของหล่อนจะกำเริบแล้วก่อเรื่องขึ้นมาอีก เธอจึงรีบพูดออกไปด้วยรอยยิ้มทันที “นายล้มเลิกความคิดนั้นซะเถอะ หญาหญาก็คงจะชอบใจหรอก”
ฟู่ซินยิ้มชั่วร้ายให้จางฉุ้ยเหลียน จากนั้นเขาก็พูดออกไปว่า “งั้นมันก็ง่ายมาก เราก็ให้คังคังแต่งงานกับหญาหญาสิ ลูกบุญธรรมแต่งกับลูกสาวแท้ ๆ ญาติรวมญาติ ฉันก็จะได้มีลูกชายลูกสาวทั้งคู่แล้วไม่ใช่รึไง ! ”
ไม่มีใครใส่ใจกับคำพูดของฟู่ซิน แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าเฉียนเหมยเซียจะเก็บมันไปใส่ใจ วันเวลาต่อจากนั้นหล่อนก็มักใช้สายตาแปลก ๆ มองไปที่คังคัง และด้วยอารมณ์ที่อ่อนไหวง่ายของเจ้าตัวน้อย เขาก็เลยไม่ชอบเฉียนเหมยเซีย หลังจากนั้นเขาก็ไม่ยอมมาเล่นที่บ้านของฟู่ซินอีก จนกระทั่งฟู่ซินมีลูกชาย เขาถึงได้ยอมกลับมาที่นี่อีกครั้ง
ทางด้านบริษัทของฟู่ซิน ถึงแม้ว่าเพิ่งจะเปิดได้ไม่กี่วัน ก็เริ่มมีธุรกิจแรกเข้ามา สิ่งที่พวกเขาต้องรับผิดชอบก็คือ การรื้อถอนที่อยู่อาศัยในเขตตงเจียเฉียว
นี่เป็นส่วนหนึ่งของผังเมืองใหม่ พวกเขาต้องการสร้างชุมชนเมืองรูปแบบใหม่ขึ้นที่นี่ ว่ากันว่าจะมีผู้รับเหมาสร้างเมืองขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงมาจากไต้หวัน และยังมีเถ้าแก่จากทางใต้ที่ต้องการสร้างห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่นี่อีกด้วย
เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนได้ยินมาจากมู่จิ่นหนาน โครงการนี้เลยตกมาอยู่ที่ฟู่ซิน ที่จริงโครงการนี้ก็เรียบง่ายมาก ดังนั้นงานระยะแรกจึงเสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งเจ้าหน้าที่สำรวจและทำแผนที่ก็ได้มาสำรวจพื้นที่บ้านหลังต่อหลังแล้วเช่นกัน และทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็รู้เรื่องการย้ายถิ่นฐานที่กำลังใกล้เข้ามาแล้ว ส่วนเรื่องราคาย้ายออกก็ต่อรองกันแล้ว ในสายตาของฟู่ซินราคานี้ก็ค่อนข้างสมเหตุสมผลมากเลยทีเดียว
แต่เรื่องที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัวฟู่ซินมีเพียงแค่เรื่องเดียว นั่นก็คือรีบช่วยชาวบ้านย้ายออกแล้วจะได้ทุบบ้านทิ้งเร็ว ๆ
เดิมทีเขาคิดว่านี่มันเป็นเรื่องง่ายเรื่องหนึ่ง แต่มันกลับทำออกมาได้ยากมาก
ในบรรดาคนพวกนี้ก็ยังมีคนที่ไม่ยอมย้ายออก บ้านเดี่ยวหนึ่งตารางเมตรแลกกับบ้านบนอาคารหนึ่งตารางเมตรก็ถือว่าดีมากแล้ว ถ้าอยากเปลี่ยนให้ใหญ่ขึ้นหน่อย พื้นที่นอกจากนั้นก็จ่ายแค่ครึ่งราคาเท่านั้น
ในบรรดาคนเหล่านี้ก็ยังมีครอบครัวที่ให้ตายยังไง พวกเขาก็ไม่ยอมย้ายออกมาอยู่ประมาณ 10 กว่าหลังคาเรือน ฟู่ซินพูดดี ๆ ก็แล้ว แต่พวกเขาก็ยังหัวดื้อหัวรั้นเหมือนเดิม มันเลยทำให้เขาหัวร้อนขึ้นมาทันที ส่วนทางด้านของมู่จิ่นหนาน เขาก็เอาแต่โทรมาถามว่า ฟู่ซินทำงานเสร็จลุล่วงแล้วรึยัง
ลูกน้องของฟู่ซินก็อารมณ์ร้าย ไปมีปากมีเสียงกับลูกบ้านที่ถูกรื้อถอน แต่ผ่านไปแค่พริบตาเดียว เขาก็เข้าไปทำร้ายอีกฝ่ายจนต้องเข้าโรงพยาบาล การกระทำเพียงชั่ววูบนั้นก็เหมือนเป็นการไปแหย่รังผึ้ง ครอบครัว 10 กว่าหลังคาเรือนนั้นไม่ยอมตกลงและไม่ยอมให้อภัย พอพวกเขาเห็นคนของฟู่ซิน พวกเขาก็แทบอยากจะเข้าไปอัดพวกเขาให้ตายเลยทีเดียว
“เห้อ ! ” ฟู่ซินนั่งถอนหายใจอยู่ในห้องทำงานด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
ส่วนจางฉุ้ยเหลียนที่มาตรวจบัญชี เมื่อเธอหันไปมองที่ฟู่ซินก็เหมือนกับว่าเขามีไฟออกมาจากปากอย่างไรอย่างนั้น เธอจึงยิ้มเย็นชาส่งให้เขาที่กำลังนวดรอยแดงบนใบหน้าของตัวเอง “ไปเจอเสือขวางทางมาล่ะสิ ฉันบอกแล้วว่าเรื่องนี้มันไม่ได้จัดการได้ง่าย ๆ นายดูนิสัยของคนของนายสิ สุดท้ายก็ไปต่อยตีกับประชาชน นายนี่มันเก่งจริง ๆ เลยนะ ! ”
ฟู่ซินทำหน้าเศร้า พร้อมกับหันไปทำมือคารวะจางฉุ้ยเหลียน “ฉันขอร้องล่ะ คุณยายช่วยหยุดพูดทีเถอะ สมองของฉันมันก็โดนพี่มู่ด่าจนไม่เหลืออะไรดีแล้ว หน้าฉันนี่ย่อยยับไปหมด”
ตอนที่มู่จิ่นหนานให้คำแนะนำกับเขา ฟู่ซินก็รับประกันออกไปว่า เขาจะต้องทำสำเร็จได้ไม่กี่วันอย่างแน่นอน แล้วผลลัพธ์ล่ะ นี่มันก็ผ่านไป 20 วันแล้ว คนพวกนั้นก็ยังไม่ยอมย้ายออกไปกันเลย
แล้วเขาจะไม่หัวร้อนได้อย่างไร แล้วเขาจะไม่มีตุ่มร้อนในขึ้นที่ในปากได้อย่างนั้นหรือ โดยเฉพาะเรื่องที่ลูกน้องของเขาไปมีเรื่องทะเลาะกับชาวบ้านอีก ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นก็ยังนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่ในโรงพยาบาลอยู่เลย
“ตามหลักแล้ว คนส่วนใหญ่ที่รอคอยการรื้อถอนที่มีบ้านขนาด 90 – 100 ตารางเมตร เช่นครอบครัวสามสี่หลังที่ผ่านมา พวกเขาต้องการแค่บ้าน 60 ตารางเมตรเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ส่วน 30 – 40 ตารางเมตรที่เหลือ พวกเขาก็อยากจะเปลี่ยนเป็นเงิน แต่วิธีการจัดการเช่นนี้ มันก็สามารถจัดการกับคนได้แค่บางส่วนเท่านั้น นายไม่คิดบ้างหรือว่าทำไมคนพวกนั้นถึงไม่ยอมย้ายออก ! ”
จางฉุ้ยเหลียนหยุดปากกา ดันเครื่องคิดเลขและบัญชีออกจากตัว ส่วนทางด้านของฟู่ซินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของเถ้าแก่ เขาก็ยกขาทั้งสองข้างขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะทำงาน และเงยหน้ามองเพดาน จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเขาตอบกลับมาอย่างอ่อนแรงว่า “ก็เพื่อเงินไง พวกเขาคิดว่าเงินมันน้อยไป ก็เลยโลภอยากได้อีก ! ”
“ใช่แล้ว ! นายลองคิดดูสิว่าบางครอบครัว พวกเขาก็ยังไม่มีงานที่มั่นคงเลย ถ้าบ้านใหญ่ขึ้นหน่อยก็จะสามารถปลูกผักได้ มีเสื้อผ้าพอใส่ และอาหารพอกิน แต่นายกลับบอกพวกเขาว่า พวกเขาจะได้ย้ายไปอยู่บนตึก ค่าน้ำค่าไฟต่อปีก็แพงจะตายไป และแม้แต่ผักก็ยังปลูกไม่ได้ แล้วยังต้องจ่ายเงินออกทุกนาที แล้วอย่างนี้ชาวบ้านเขาจะยอมย้ายออกได้ยังไงล่ะ”
“แล้วยังมีพวกครอบครัวใหญ่นั่นอีก เขาได้เงินน้อยขนาดนั้น แล้วเขาจะไปแบ่งให้ใครได้ และยังมีพวกที่ไม่ยอมย้ายออกอีก หรืออาจจะเป็นเพราะที่ลูกชายของพวกเขายังไม่ได้แต่งงานก็ได้ ? นายลองคิดดูสิว่าเดิมทีบ้านของพวกเขาก็เล็กขนาดนั้น แล้วถ้าลูกชายแต่งภรรยาเข้าในบ้าน อย่างน้อยบ้านของพวกเขาก็เป็นบ้านเดี่ยว แต่ถ้านายให้พวกเขาย้ายไปอยู่บนตึกที่มีเนื้อที่แค่ 60 ตารางเมตร พวกเขาจะอยู่กันได้ยังไง ? ”
ดวงตาของฟู่ซินเป็นประกายขึ้นมาทันที ความสามารถมั่วนิ่มของจางฉุ้ยเหลียนร้ายกาจจริง ๆ เธอไม่ได้ไปเห็นด้วยตาของตัวเองแต่กลับพูดได้ตรงตัวสุด ๆ
“แล้วก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งนั่นก็คือ สถานที่ที่พวกนายเตรียมไว้ให้พวกเขาเหมาะสมรึเปล่า นายลองคิดดูว่า นายจ่ายค่ารื้อถอนตามกำหนดวันจริงไหม ครอบครัวสองสามหลังที่มีฐานะไม่ดี พวกเขาจะไปอยู่ที่ไหน ถ้าเช่าบ้านอยู่นายจะออกเงินให้ไหมล่ะ ? ในครอบครัวมีหลายปากแต่กลับมีเพียงแค่คนเดียวที่ต้องทำงาน แล้วพวกเขาจะมีเงินเช่าบ้านอย่างนั้นหรือ ? พวกเขาจะกินอะไร ดื่มอะไร นายเคยคิดเรื่องพวกนี้บ้างไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพูดได้ตรงประเด็นมากจริง ๆ เรื่องพวกนี้ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ชาวบ้านพวกนั้นไม่ยอมย้ายออก แต่เรื่องพวกนี้มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถแก้ไขได้ เพราะเขาก็ทำได้แค่รื้อทิ้ง แต่จะไปดูแลเรื่องเช่าบ้านพวกนั้นก็คงจะไม่ไหว
“ตอนนี้นายกำลังทำผิด เพราะอย่างนั้นนายก็ต้องแก้ไขปัญหาก่อน ฉันไม่เชื่อว่าเรื่องนี้มันจะไม่สามารถจัดการได้ นายก็แค่ต้องไปสอบถามกับพวกเขา และในเมื่อเบื้องบนมีคำสั่งมาแล้ว นั่นก็แสดงว่าพวกเขารู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น เพียงแต่ปัญหาที่เกิดนั้น คนที่จะต้องจัดการแก้ปัญหาก็คือนายคนเดียว” จางฉุ้ยเหลียนเองก็ไม่สามารถพูดออกมาทั้งหมดได้ แต่หลังจากที่เธอคิดถึงเรื่องที่เธอเคยได้ยินและได้เห็นในชาติก่อนมาแล้ว เธอจึงได้พูดกับเขาออกไปว่า “ฉันได้ยินมาว่ามีสถานที่บางแห่งดำเนินตามนโยบายได้เป็นอย่างดี ยิ่งเป็นเมืองใหญ่ยิ่งมีประชากรหนาแน่นเป็นอย่างมาก แต่พวกเขากลับแก้ไขปัญหาประเภทนี้ได้อย่างง่ายดาย ค่ารื้อถอนก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่สามารถทำได้ในช่วงเวลานี้ก็คือ เบื้องบนจะมีการเปิดกองทุนพิเศษให้คนเช่าบ้านอยู่หรือหาที่พักอาศัยให้ แต่ทำไมตอนนี้มันถึงไม่มี ? นายไม่ไปถามพวกเขาดูหน่อยหรือ ? ”
คำพูดของจางฉุ้ยเหลียนทำให้ฟู่ซินรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที เขาจึงพูดออกไปด้วยความลำบากใจว่า “พูดน่ะมันง่าย แต่ถ้ามันมีวิธีการดี ๆ แบบนี้จริง ๆ ทำไมพวกเขาไม่ไปติดต่อล่ะ แล้วทำไมชาวบ้านคนอื่น ๆ เขาถึงหาที่อยู่กันเองได้ แต่คนพวกนั้นกลับหาไม่ได้กัน ? ”
จางฉุ้ยเหลียนชักสีหน้าทันที “นายอยากจะมีเรื่องใช่ไหม ? พูดเรื่องพวกนี้ไปแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรขึ้นมา การที่นายจะไปร้องตะโกนจะฆ่าจะแกงพวกเขา พวกเขาก็ไม่กลัวนายหรอก นายลองดูคนที่มาเถียงกับนายสิ พวกเขาก็เป็นคุณตาคุณยายกันทั้งนั้นไม่ใช่รึไง ถ้าเกิดพวกเขาเป็นโรคหัวใจหรือความดันสูง แล้วตายไปหรืออาการทรุดขึ้นมา บริษัทที่เพิ่งเปิดของนายจะไม่ต้องล้มละลายหรือ ! ”
ฟู่ซินเข้าใจในทันที เขาเองก็รู้ดีว่าจางฉุ้ยเหลียนกำลังบอกวิธีแก้ปัญหาให้กับเขาอยู่ แต่แค่ครั้งแรกเขาก็ทำออกมาเละขนาดนี้แล้ว เขาก็เลยรู้สึกเสียหน้าสุด ๆ
ขณะที่จางฉุ้ยเหลียนมองไปที่ใบหน้าที่มืดมนของฟู่ซิน เธอก็จะตกใจขึ้นมาทันที เพราะอย่างนั้นเธอจึงรีบตะโกนถามเขาออกไปว่า “นายมีความคิดอะไรเลว ๆ อยู่ใช่ไหม ? ”
ฟู่ซินเงยหน้าขึ้น แล้วพูดออกไปอย่างเย็นชา “เธอรู้ไหมตอนที่พี่มู่ทำงานด้านรื้อถอน เขาจัดการปัญหายังไง ? ”
จางฉุ้ยเหลียนตกตะลึงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของฟู่ซิน เพราะเธอคิดว่าคนอย่างมู่จิ่นหนานต้องทำเรื่องรุนแรงกับประชาชนอย่างแน่นอน ไม่แน่เขาอาจจะฆ่าคนหรือปล้นทรัพย์สินไปไม่น้อยเลยก็ได้ หรือว่าฟู่ซินคิดจะเดินตามเขาอย่างนั้นหรือ ?
“เขาบอกว่าตอนที่เขาเพิ่งมาสัมผัสกับงานเส้นทางนี้ เขาเองก็ทำตามรุ่นพี่คนหนึ่ง รุ่นพี่คนนั้นเป็นคนใจเหี้ยม แต่มันก็ทำให้ได้ผลลัพธ์เร็วมาก เธอรู้ไหมว่าเขาทำอะไรลงไปบ้าง ? ”
MANGA DISCUSSION