ตอนที่ 223 สถานที่เกิดเหตุ
เพราะโรคอีสุกอีใสของคังคัง จางฉุ้ยเหลียนจึงต้องอยู่ที่เมือง Q นานขึ้น ส่วนกู้จื้อเฉิงก็ได้จัดการทุกอย่างที่ยังค้างคาก่อนหน้านั้นเสร็จแล้ว ได้ยินมาว่าพี่เฉินและชีเจียวเจียวก็ดูสงบลงไปมากเลยทีเดียว
เพียงแต่ตอนนี้กู้จื้อเฉิงก็ต้องเริ่มเตรียมตัวเข้าสู่การฝึกในช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้ว แปลงผักที่ปลูกอยู่ในบริเวณบ้านนั้นไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด แต่ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของเธอในเมืองสุ่ยหยวนนี่สิที่เป็นปัญหา
นี่เป็นหลุมที่จางฉุ้ยเหลียนขุดเอาไว้ฝังตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ และเธอก็มั่นใจได้เลยว่า ถ้าเธอไม่ไปคงได้ฝังตัวเองจริง ๆ แน่ เธอคิดไม่ตกแต่สุดท้ายการหาเงินก็เทียบกับชีวิตของคังคังไม่ได้เลย ไว้รอให้คังคังดีขึ้นก่อน แล้วเธอค่อยอุ้มเขากลับไปก็ได้
แต่ในสายตาของผู้อาวุโสทั้งสองคน พวกหล่อนกลับไม่เห็นด้วย เพราะพวกหล่อนต่างก็รู้สึกว่าสองสามีภรรยาคู่นี้พึ่งพาไม่ได้ ตั้งแต่ตั้งท้องจนคลอด และกลายมาเป็นแม่คนเต็มตัว พอบอกว่าจะไปก็ไปแบบไม่คิดอะไรอยู่หลายครั้ง ส่วนคนเป็นพ่อก็เอาแต่ทำงาน หวังจะให้เขาดูแลลูกมันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ประกอบกับที่เธอไปเปิดร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ในเมืองสุ่ยหยวนด้วยแล้ว เวลาจางฉุ้ยเหลียนกลับไปก็จำเป็นต้องอุ้มลูกไปทำงานด้วยทุกครั้ง อีกทั้งเธอก็ยังต้องฝากพี่เลี้ยงเด็กเลี้ยงลูกให้อีกด้วย
เมื่อคิดตามแล้วก็อดรู้สึกเจ็บปวดใจไม่น้อย คราวนี้ผู้อาวุโสทั้ง 4 คนจึงพร้อมใจเป็นหนึ่งเดียวกันว่า ให้ทิ้งคังคังไว้ที่นี่ และให้จางฉุ้ยเหลียนกลับไปจัดการงานของตัวเอง
แต่จางฉุ้ยเหลียนไม่อยากจะทำแบบนั้น เพราะเห็นได้ชัดเลยว่าเหตุการณ์ในตอนนี้มันเหมือนกับเหตุการณ์ที่เธอเคยเจอในชาติที่แล้ว จะว่าไปผู้อาวุโสทั้ง 4 คนนี้ต่างก็พากันโอ๋คังคังกันทั้งนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณยายอย่างตงลี่หวาที่แทบจะกลายเป็นทาสให้กับหลานชายตัวน้อยอยู่แล้ว หล่อนพยายามกีดกันลูกสาวของตัวเอง ถึงแม้หล่อนจะบอกว่าการที่หล่อนอยากให้คังคังมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อที่ให้เธอและกู้จื้อเฉิงได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่ความจริงแล้วมันก็เป็นการกีดกันดี ๆ นี่เอง
คังคังเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายมาก ตงลี่หวาชอบเขาเพราะเขาเป็นเด็กที่รู้ความ ถ้าไม่ใช่เพราะจางฉุ้ยเหลียนดูแลเอาใจใส่และเข้มงวดกับเขามากล่ะก็ เขาก็คงจะไม่ป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสแบบนี้หรอก
“พวกแม่ ๆ ไม่มีทางโอ๋เขามากเกินความจำเป็นหรอกนะ เพราะเราต่างก็เข้าใจดี” ตงลี่หวาและอันหลงกลายมาเป็นแนวร่วมกัน อีกทั้งพวกหล่อนทั้งสองคนก็ได้ย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว
ตอนที่ตงลี่หวาซื้อบ้านในปีนั้น บ้านที่อยู่ถัดไปก็มีแพลนที่จะขายอยู่พอดี ผู้เฒ่าทั้งสองได้ราคาที่เหมาะสม อีกทั้งบ้านที่ตงลี่หวาอยู่ในตอนนี้ก็เป็นเงินจากน้ำพักน้ำแรงของจางฉุ้ยเหลียน เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงไม่อาจทนนิ่งเฉยได้ หล่อนจึงได้ทำการซื้อบ้านที่อยู่ถัดไปทันที แค่ทำความสะอาดนิดหน่อยอันหลงก็สามารถย้ายเข้ามาอยู่ได้แล้ว
อันหลงมาช่วยจางฉุ้ยเหลียนดูแลคังคัง หล่อนทำอาหารหลากหลายเมนูให้คังคังกิน และคอยอุ้มคังคังเดินชมสวนดอกไม้ที่อยู่ด้านนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่คังคังไม่สบาย อันหลงก็แทบจะไม่ให้คังคังเดินด้วยตัวเองเลย เพราะอันหลงเอาแต่อุ้มคังคังเอาไว้ตลอด 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว
“พวกแม่ ๆ ยังโอ๋เขาไม่พออีกหรือคะ ? ตอนที่หนูให้นมเขากลางดึก พอเขาร้องไห้ พวกแม่ ๆ ก็ร้องไห้ตามไปด้วย แล้วอีกอย่าง พวกแม่ ๆ ก็ชอบเปิดประตูเข้ามาขอให้หนูป้อนนมให้เขากลางดึก พวกแม่ ๆ ลืมไปแล้วหรือคะ ? ” จางฉุ้ยเหลียนรื้อโต๊ะของตงลี่หวา จากนั้นเธอก็พูดต่อไปอีกว่า “ถ้าเด็กคนนี้ไม่ได้รับความสนใจ เขาจะต้องกลายเป็นอันธพาลในอนาคตอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นทำให้หนูยอมไม่ได้ ยอมไม่ได้อย่างเด็ดขาด”
เมื่อตงลี่หวาเห็นว่าคำพูดของหล่อนนั้นไร้ความหมาย หล่อนจึงรีบขยิบตาส่งสัญญาณไปให้กับอันหลงทันที หลังจากที่บุคคลที่สามได้รับสัญญาณนั้นมาแล้ว สีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า “เธอบอกฉันว่าเธอจะดูแลคังคังเอง ไหนเธอลองบอกมาสิว่าเธอจะดูแลเขายังไง ? เธอจะจ้างพี่เลี้ยงอย่างนั้นหรือ ? แล้วเธอมีเงินมากมายขนาดนั้นเลยหรือ ? หรือเธอจะพาเขาไปทำงานกับเธอด้วย ไปกลับห้างสรรพสินค้าแห่งนั้น แถมอากาศที่นั่นก็ใช่ว่าจะดี ถ้าเกิดเขาป่วยไม่สบายขึ้นมา เธอจะรับผิดชอบไหวไหมล่ะ ? ครั้งนี้เธอบอกว่าจะไปก็ไป ไม่มีการบอกกล่าวใด ๆ ฉันจะคิดบัญชีเก่ากับเธอก็เกรงใจ แต่เธอก็ยังมาบ่นจู้จี้กับฉันอีกอย่างนั้นหรือ!”
อันหลงตัดสินชี้ขาด จะยอมให้ร้านซังกะตายนั้นปิดตัวลงหรือจะยอมทิ้งคังคังไว้ที่นี่ จางฉุ้ยเหลียนไม่สามารถทำอะไรสองอย่างไปพร้อม ๆ กันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ภายใต้ความวิตกกังวลเช่นนี้ยังไง เธอก็ต้องขอความช่วยเหลือจากทหาร
ท่าทางแสนดีของเซี่ยจวินทำให้ตงลี่หวาและอันหลงนั้นทนดูไม่ได้ พวกหล่อนทั้งขยิบตาให้ ทั้งส่งเสียงไอออกมาเพื่อให้เขานั้นยับยั้งชั่งใจบ้าง เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นท่าทางของพวกหล่อนเช่นนั้น เธอก็อดที่จะโกรธและขำในเวลาเดียวกันไม่ได้ เธอรู้สึกว่าทำไมพวกหล่อนถึงได้ทำตัวเหมือนเด็กกันนัก
“ตอนนี้คังคังนับวันก็ยิ่งโตขึ้นเรื่อย ๆ เรารู้ว่าจะต้องทำยังไง เธอสองคนน่าจะไปเต็มที่กับงานไม่น่าจะต้องมาเสียเวลาให้กับการเรียนรู้ของเด็กเลยนะ เธอบอกเองไม่ใช่หรือว่าสถานรับเลี้ยงเด็กที่นั่นไม่ได้สนใจใยดีดูแลเด็กเท่าที่ควร ถึงเวลาก็กิน ถึงเวลาก็เช็ดอุจจาระเปลี่ยนแพมเพิสก็เท่านั้น สอนแต่สิ่งที่เด็กไม่ควรรู้ก่อนวัยตามใจชอบ เธอเอาเงินไปทุ่มให้กับตรงนั้น มันจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ ? ” นี่คือจุดอ่อนของจางฉุ้ยเหลียน เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเธอ อันหลงจึงรีบพูดแทรกและเริ่มล้างสมองในทันที
“เธอรู้ไหม เด็กที่อยู่ในหมู่บ้านของเราคนหนึ่งเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่อายุ 3 ขวบเลยนะ แถมเขายังเล่นได้ดีมากอีกด้วย ครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่ในตึกนั้น และเธอก็เคยเจอพวกเขามาก่อนด้วย” อันหลงครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นก็ยกตัวอย่างขึ้นมาอีกว่า “แล้วก็ยังมีเด็กผู้หญิงที่อาศัยอยู่บนชั้น 7 ในตึกเดียวกับเราอีก 1 คน หล่อนเริ่มเรียนเต้นตั้งแต่อายุ 4 ขวบ อีกทั้งหล่อนก็ยังเรียนวาดภาพและเรียนภาษาอังกฤษอีกด้วย เธอก็เห็นว่าตอนนี้หล่อนเพิ่งขึ้นชั้นประถมเอง ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมประกวดวาดภาพอะไร หล่อนก็สามารถเข้าร่วมได้หมด เด็กคนนั้นช่างพูดช่างจา ซึ่งหาคนแบบนี้ได้ยาก”
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้หวังอยากจะให้ลูกของเธอต้องมาแบกรับอะไรหนักหนาเกินวัยตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ก็ดูจะโง่เกินไปที่ปล่อยให้เด็กเล่นตามวัย สุดท้ายเขาก็ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ? จนกระทั่งขึ้นชั้นประถมศึกษาไปจนถึงชั้นมัธยม เขาก็จะได้แต่มองคนอื่นเต้น ร้องเพลง โชว์ความสามารถของตัวเองกันอย่างเต็มที่ แต่ตัวเองกลับทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง สุดท้ายแล้วพวกคุณก็ไปโทษพ่อกับแม่ว่า พวกเขาขาดความรับผิดชอบอย่างนั้นหรือ ?
เมื่อเห็นสีหน้าของจางฉุ้ยเหลียน ผู้อาวุโสเหล่านั้นก็มองหน้ากัน ช่วยกันโน้มน้าวเธอให้กลับไปจัดการธุรกิจที่สุ่ยหยวนให้เรียบร้อย ไว้อากาศดี ๆ หรือไม่ทั้งสองคนปรึกษาหารือกันลงตัวแล้ว พวกเขาก็ค่อยมารับตัวคังคังไปอยู่ด้วยก็ยังไม่สาย
ลึก ๆ ในใจของจางฉุ้ยเหลียน เธอก็ไม่ยอมอยู่แล้ว เพราะการได้เห็นการเจริญเติบโตของลูกย่อมมีความหมายต่อจิตใจของเธอมากเลยทีเดียว แต่เรื่องที่เกิดขึ้นทางฝั่งนั้นก็ไม่อาจสลัดทิ้งไปได้ จางฉุ้ยเหลียนจึงได้แต่กัดฟันอุ้มคังคังไปให้ผู้เฒ่าทั้งสองคนดูแล และในท้ายที่สุดตัวเองก็ต้องนั่งรถไฟกลับไปสุ่ยหยวนเพียงลำพัง หลังจากที่ลงจากรถไฟแล้ว เธอก็ตรงไปตรวจสอบสถานการณ์ที่ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของเธอทันที
โชคดีที่หลังยุค 70 เป็นต้นมา ทุกอย่างค่อนข้างดำเนินไปแบบเป็นรูปธรรม เธอต้องทำงานอย่างหนัก ไม่มีเวลามาคิดเพ้อเจ้อมากมายขนาดนั้น และถึงแม้ว่าเถ้าแก่เนี้ยจะไม่อยู่ร้าน แต่เงินสดภายในร้านก็ยังไม่ได้ถูกขโมยไปแต่อย่างใด ทันทีที่จางฉุ้ยเหลียนมาถึง เธอก็รีบตรงไปยังบัญชีและเงินสดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถือโอกาสในช่วง 5 นาทีสุดท้ายเข้าไปฝากเงินก่อนที่ประตูธนาคารจะปิดลง
เพราะไม่มีใครในบ้านรู้ว่ากู้จื้อเฉิงจะไปกี่วัน เพราะอย่างนั้นแล้วเตาและบ้านจึงเย็น เธอจึงไม่จำเป็นที่จะต้องกลับไปที่บ้านในตอนนี้ก็ได้ หาโรงแรมพักสักหน่อย อาบน้ำอุ่น ๆ ล้างหน้าล้างตา นอนหลับพักผ่อนให้สบาย
วันที่สองจางฉุ้ยเหลียนได้นำบัญชีภายในร้านมาตรวจสอบอย่างละเอียด โชคดีที่ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้สินค้าที่ถูกขายออกไปก็มีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว จนเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ธุรกิจร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของเธอจึงเริ่มค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างช้า ๆ หรือว่าเธอจะต้องอยู่เฝ้าร้านเพียงคนเดียว ?
จางฉุ้ยเหลียนที่กลับมาถึงบ้านทางฝั่งทิศตะวันตกของตัวเองไม่ได้สร้างความสนใจให้กับทุกคนมากเท่าไหร่นัก เพราะเธอไม่ได้พบปะกับคนที่รู้จักกัน หลังจากที่กลับมาถึงบ้าน เธอก็ทำการจุดเตา เก็บกวาดบ้านที่กินเวลาไปกว่าครึ่งค่อนวัน หลังจากที่เธอกินอาหารมื้อค่ำเรียบร้อยแล้ว เธอก็ไปทำความสะอาดห้องสมุด ในขณะที่เธอกำลังทำความสะอาดอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีคนมาตะโกนร้องเรียกอยู่หน้าบ้าน และเสียงนั้นก็น่าจะเป็นเสียงของป้าหยูและพรรคพวกของหล่อน
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนเดินออกไปเปิดประตูป้าหยู ซูหยาซิ่ว และฟ่านจินเฟิ่งก็เดินเข้ามาในบ้านตระกูลกู้ เมื่อเห็นจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้พาลูกกลับมาด้วย พวกหล่อนก็อดที่จะเอ่ยปากถามขึ้นมาไม่ได้ หลังจากที่คุยกันได้สักพักใหญ่ ๆ จางฉุ้ยเหลียนก็ถือโอกาสสอบถามพวกหล่อน
“เธอรีบร้อนไปแบบนั้น เราก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ป้าหยูโพล่งออกไป จากนั้นก็ยิ้มแย้มแจ่มใสเลียนแบบจางฉุ้ยเหลียน “โชคดีที่มีคนในครอบครัวไปรับเธอนะ ไม่อย่างนั้นคงจะไม่รู้ว่ามันวุ่นวายมากแค่ไหน”
เพราะเรื่องที่หลี่หยู่หวาติดสินบนแก่เจ้าหน้าที่ได้ถูกเปิดเผย สวี๋ต้าหย่งสามีของหล่อนจึงหน้าเสียไม่น้อยเลยทีเดียว หลี่หยู่หวาเห็นว่าทุกอย่างมันกำลังจะแย่ลง หล่อนจึงหวังที่จะได้ทำงานที่ร้านของจางฉุ้ยเหลียน
แต่งานในตำแหน่งนี้พี่เฉินเองก็จ้องอยากจะได้เช่นเดียวกัน จึงได้เกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมา พี่เฉินจึงตัดสินใจที่จะจมเรือเพื่อดึงให้หลี่หยู่หวานั้นเสียหน้า ด้วยการโพล่งเรื่องที่หลี่หยู่หวาเคยทำออกมาทั้งหมด
ข่าวลือนี้ได้แพร่กระจายออกไปจนต้องโดนตรวจสอบ ก่อนหน้านั้นกู้จื้อเฉิงได้สืบหาความจริงอย่างไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก จนกระทั่งมีคนมาเบี่ยงเบนความสนใจของเขา จนทำให้เขาตระหนักได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
หลี่หยู่หวาใช้ผลประโยชน์จากคนอื่นมาช่วยปกปิดเรื่องที่หล่อนไปรายงานความผิดของกู้จื้อเฉิง แถมหล่อนยังเป็นผู้ริเริ่มปล่อยข่าวลือของจางฉุ้ยเหลียนออกไปทั่วทั้งกรมทหารอีกด้วย ถึงขนาดตั้งใจทำให้เกิดเสียงฮือฮาในกลุ่มคน เรื่องราวและข่าวลือที่เกิดขึ้นติดต่อกันนั้นมันก็ได้โยงไปถึงครอบครัวของคนอื่น เพียงเพื่อตำแหน่งของสามีของตัวเองเท่านั้น
ถึงแม้ว่ากลอุบายและวิธีการของหล่อนจะไม่ได้ถูกเปิดเผยออกไปตรง ๆ แต่เรื่องของหล่อนก็ถือว่าเป็นข่าวที่ดังกระฉ่อนติดอันดับหนึ่งในกรมทหารเลยก็ว่าได้ สวี๋ต้าหย่งอับอายจนแทบอยากเอาหน้ามุดแผ่นดินหนี หลังจากที่สองสามีภรรยาเกิดการทะเลาะกันขึ้นแล้ว เขาก็ได้เขียนหนังสือยื่นฟ้องด้วยตัวเอง เพื่อขอโยกย้าย แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องบนติดสินเรื่องนี้อย่างไร
“อ้อ ที่แท้ตอนที่ฉันไม่อยู่มันก็เกิดเรื่องราวมากมายเหล่านี้ขึ้นนี่เอง แต่นึกไม่ถึงเลยนะว่าพี่เฉินที่รู้ไปหมดซะทุกเรื่องแบบนั้น กลับพูดไม่ออกต่อหน้าเราซะอย่างนั้น” จางฉุ้ยเหลียนรู้อยู่แก่ใจดี แต่เธอกลับตั้งใจแกล้งทำเป็นทอดถอนหายใจออกมา
“ถ้าไม่ใช่แล้วยังไงล่ะ แต่ใคร ๆ เขาก็พูดกันแบบนี้ทั้งนั้น แล้วอีกอย่าง ผู้บัญชาการกู้ก็ปฏิบัติกับพวกหล่อนทั้งสองคนดีซะขนาดนั้นไม่ใช่หรือ ? แถมยังเอาของที่ได้รับจากกรมทหารไปให้พวกหล่อนถึงที่บ้านอีก อีกทั้งเขาก็ไม่ได้ทำเอาหน้าเพื่อหน้าที่การงานของเขาสักหน่อย กี่ครั้งแล้วที่เขาต้องวิ่งไปช่วยดูแลชีวิตให้กับหล่อน ? ” ฟ่านจินเฟิ่งหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เพราะรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับจางฉุ้ยเหลียนเลยสักนิด
“เด็กคนนั้น มองแวบแรกก็รู้แล้วว่าเป็นเด็กไม่ดี แม้แต่แม่ของหล่อนเองก็ยังพูดสั่งสอนหล่อนไม่ได้ ถ้ารู้สึกขัดหูขัดตาไม่ได้ดั่งใจ หล่อนก็จะกล่าวหาคนอื่นก่อนเสมอว่าคนอื่นนั้นรังแกหล่อน”
เมื่อฟ่านจินเฟิ่งพูดจบ หล่อนก็มองไปทางซูหยาซิ่วและพูดออกไปพร้อมกับเบิกตากว้างว่า “ไอ้หยา จริงสิ เธอรู้ไหมว่าเมื่อสองวันก่อน พี่เฉินไปขอเปลี่ยนงานกับหัวหน้าด้วยนะ หล่อนบอกว่าอยากไปทำงานเป็นพนักงานคิดเงินที่หน่วยบริการ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าหัวหน้าจะยินยอมให้หล่อนไปทำงานที่นั่นไหม”
จางฉุ้ยเหลียนเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกใจ “ทำไมหล่อนถึงอยากจะไปทำงานที่หน่วยบริการล่ะ ? หน่วยบริการต้องการคนอย่างนั้นหรือ ? ”
ซูหยาซิ่วรู้ลึกลำบากใจเล็กน้อย “ที่หน่วยบริการไม่ได้ขาดแคลนคนหรอก แต่เป็นเพราะหล่อนป่าวประกาศออกไปว่า เธอต้องการขยายสาขาและต้องการรับสมัครผู้จัดการ หล่อนก็เลยอยากจะเรียนรู้การขายสินค้าก่อน ไอ้หยา คนอื่นต่างก็พากันมาถามฉันว่ามันเป็นเรื่องจริงรึเปล่า แต่ฉันก็บอกกับพวกเขาไปว่าฉันไม่รู้ ”
ป้าหยูจึงพูดเสริมออกไปว่า “เพราะเรื่องนั้นผู้บัญชาการกู้จึงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก และเขาก็คิดว่าหล่อนไม่ได้เห็นเขาเป็นเพื่อน เพราะอย่างนั้นจึงไม่จำเป็นที่เขาจะต้องไปช่วยอะไรหล่อนอีก ต่อมาหล่อนก็ไปหาผู้บัญชากู้อีกครั้ง ผู้บัญชากู้จึงบอกหล่อนออกไปว่า ตอนนี้ครอบครัวของเขากำลังยุ่งมาก ไม่มีกระจิตกระใจมานั่งคิดเรื่องเปิดร้านใหม่หรอก อีกอย่างเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเธอจะกลับมาเมื่อไหร่”
แต่พี่เฉินกลับไม่เชื่อ หล่อนคิดว่าการที่จางฉุ้ยเหลียนกลับไปที่บ้านแม่ในครั้งนี้ เธอจะต้องเอาเงินไปเก็บที่บ้านอย่างแน่นอน หล่อนจึงได้แต่กังวลจนเนื้อเต้นและไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไปดี เพราะหล่อนกลัวว่าจางฉุ้ยเหลียนจะไม่เปิดร้านอย่างที่หล่อนได้ป่าวประกาศออกไป
“งั้นตอนนี้หล่อนก็ไม่ได้ไปทำงานแล้วอย่างนั้นหรือ ? ” จางฉุ้ยเหลียนถามออกไปด้วยความสงสัย เพราะเธอไม่เห็นว่าวันนี้หล่อนจะมาทำความสะอาดในกรมทหาร
“หล่อนไม่ได้มาทำหลายวันแล้วล่ะ หล่อนบอกว่าทำความสะอาดแล้วปวดโน่นปวดนี่ ไม่รู้ว่าพูดให้ใครฟัง บางทีอาจจะบ่นให้ผู้บัญชาการกู้ฟังก็ได้” ป้าหยูเบะปาก “เงินเดือนแต่ละเดือนก็ไม่ใช่น้อย ๆ แต่หล่อนก็ยังทิ้งงานไปดื้อ ๆ แบบนี้อีก แถมยังบ่นปวดแขน แต่ตอนที่เล่นไพ่ด้วยกัน ฉันก็ไม่ยักจะเห็นว่าหล่อนจะมีทีท่าว่าจะปวดแขนเลยสักนิด”
จางฉุ้ยเหลียนถึงกับต้องยกมือขึ้นมานวดขมับเลยทีเดียว “เหล่ากู้ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ให้ฉันฟังเลย ฉันยังคิดอยู่เลยว่าฉันกลับมาคราวนี้ก็ตั้งใจจะไปเยี่ยมพี่เฉินสักหน่อย”
“เธอพอเลย ตอนนี้หล่อนกลายเป็นคนที่น่ารำคาญสุด ๆ เพราะหลังจากที่ผู้บัญชาการกู้และพวกเราไม่ได้สนใจอะไรหล่อนแล้ว หล่อนก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้พร่ำเพ้อแต่ว่าตัวเองนั้นไม่มีเงินส่งลูกเรียนหนังสือ เธอว่าถ้าหล่อนดี ใครล่ะจะไม่สนใจหล่อน ? แต่เรื่องที่หล่อนทำนั้น ใครบ้างล่ะจะไม่เจ็บใจ!”
ซูหยาซิ่วแบะปาก จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “ถ้าหล่อนไปทำงานที่หน่วยบริการ แล้วยังเป็นแบบนั้นอยู่อีก สภาพจิตใจแบบนั้นจะเป็นผลดีต่องานได้ยังไง เอาเปรียบเจ้าของแบบนั้น ใครล่ะจะกล้าใช้หล่อน ? ”
ฟ่านจินเฟิ่งอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “ใช่แล้ว หล่อนขโมยของกลับมาบ้านทุกวัน พอถูกจับได้ก็ร้องห่มร้องไห้ และเอาแต่อ้างว่าฉันเป็นแม่หม้ายเลี้ยงลูกคนเดียว ชีวิตช่างแสนลำบากยากเย็น ของในร้านก็มีตั้งเยอะตั้งแยะแบ่งให้ฉันนิด ๆ หน่อย ๆ มันจะเป็นอะไรไป”
เมื่อทุกคนนึกถึงคำพูดที่หล่อนมักจะใช้เสมอว่าฉันอยากจน ฉันเสียเปรียบ ฉันต่ำต้อยเหล่านั้นของหล่อน พวกเธอก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ ป่าไม้ย่อมมีนก แต่น่าเสียดายแทนผู้กำกับการชี เขาไม่น่าด่วนจากไปซะก่อนเลย อดเห็นเรื่องที่น่าขบขันเหล่านี้ซะได้
MANGA DISCUSSION