ตอนที่ 222 คุณหมอหญิง
มู่จิ้นหนานเดินเข้าไปหาจางฉุ้ยแหลียนอย่างช้า ๆ จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่ใบหน้าของจางฉุ้ยเหลียนด้วยสายตาที่เปล่งประกายวูบไหว
ไม่รู้ว่าทำไมเวลาที่ถูกเขาจ้องมองแบบนี้ จางฉุ้ยเหลียนถึงได้รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างบนร่างกายที่ยังไม่เรียบร้อยอย่างไรอย่างนั้น นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกทำอะไรถูกขึ้นมาทันที
“ผู้ชายคนนี้โคตรมีเสน่ห์เลย!” นี่คือภาพความประทับใจแรกที่มู่จิ้นหนานได้มอบให้กับจางฉุ้ยเหลียน ทันทีที่เห็นความโอหังอวดดี และความสง่างามที่ปรากฏออกมาก็ทำให้เธอรู้ได้ในทันทีเลยว่า เขาจะต้องเป็นคนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดีจากครอบครัว ตระกูลมั่งคั่งรุ่นที่สองอะไรประมาณนั้น จางฉุ้ยเหลียนบ่นพึมพำอยู่ในใจเงียบ ๆ ว่า ในยุคสมัยนี้จะไปมีตระกูลเก่าแก่และร่ำรวยอะไรแบบนั้นที่ไหนกันล่ะ อีกทั้งเธอก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วย
“ผมชื่อมู่จิ้นหนาน เราได้คุยกันทางโทรศัพท์เมื่อวานนี้” มู่จิ้นหนานยื่นมือออกมาข้างหน้าเพื่อเป็นการทักทาย มือข้างนั้นเรียวผอม ผิวขาวเนียน และแยกข้อต่อกระดูกบนมือได้อย่างชัดเจน เมื่อเห็นดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนจึงรีบยื่นมือขวาออกไปจับทักทายอย่างรวดเร็วตามมารยาท ก่อนจะกล่าวแนะนำตัวเองให้กับอีกฝ่ายฟังด้วยน้ำเสียงเกรงใจว่า “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อจางฉุ้ยเหลียน”
มู่จิ้นหนานพยักหน้าเป็นการตอบรับ จากนั้นก็กวาดตามองไปทางฟู่ซินที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอ จางฉุ้ยเหลียนจึงรีบพูดอธิบายออกไปทันทีว่า “เขาเป็นเพื่อนของฉันค่ะ เราเดินทางมาที่นี่ด้วยกัน”
ฟู่ซินยื่นมือออกไปด้วยความเกรงใจและกล่าวแนะนำตัวเอง “สวัสดีครับ ผมชื่อฟู่ซิน”
มู่จิ้นหนานพูดขึ้นด้วยท่าทางเกรงใจว่า “ขอบคุณพวกคุณทั้งสองคนมากนะครับ ที่ช่วยหลานสาวของผมเอาไว้ มู่จิ้นหนานคนนี้ติดหนี้พวกคุณนะครับ”
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ขยายออกมาจากร่างกายของผู้ชายคนนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่า เขาแปลกตรงไหน แต่เธอรู้สึกได้ว่าเขาไม่ใช่คนประเภทเดียวกับเธอ เพราะเห็นได้ชัดเลยว่าเขามีระดับมากกว่าเธอ ซึ่งเธอก็ไม่อยากพึ่งพาสิ่งนี้เพื่อประจบประแจงคนที่มีอิทธิพลด้วย ดังนั้นเธอจึงได้แต่คลี่ยิ้มและพูดออกไปว่า “ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ มันไม่ได้หนักหนาอะไรเลย เพียงแต่ว่าเรานึกไม่ถึงเท่านั้นเองว่า คุณจะมาเร็วขนาดนี้”
เพราะเธอได้คุยโทรศัพท์กับเขาเมื่อเช้า แต่พอถึงช่วงค่ำเขาก็มาถึงโรงแรมแล้ว และการที่จะมาที่นี่ได้เร็วที่สุดแบบนี้ก็คือ การนั่งเครื่องบินมา และเมื่อดูจากคำพูดของหูจิ่นเหมิงแล้วมันก็สามารถพิสูจน์ได้ว่า พวกเขาไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน
เนื่องจากตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว เพราะอย่างนั้นทุกคนจึงไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากมาย มู่จิ้นหนานทำการจองห้องพัก เพื่อที่จะค้างที่นี่ 1 คืน แต่เขาก็ยังมิวายมากล่าวขอบคุณจางฉุ้ยเหลียนอีกครั้ง เขาสั่งให้ลูกน้องของตัวเองไปส่งจางฉุ้ยเหลียนและฟู่ซินข้างบน ส่วนตัวเองก็ลากคอเสื้อของหูจิ้นเหมิงตรงเข้าไปในลิฟต์ราวกับสัตว์เลี้ยงตัวน้อยอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นแผ่นหลังของหูจิ่นเหมิงแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็รู้ได้ในทันทีว่า ตอนนี้เด็กคนนั้นกำลังตกอยู่ในอาการหวาดกลัวจนไม่กล้าแม้จะส่งเสียงใด ๆ ออกมา แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็รู้ว่าตัวเองนั้นทำผิด โดยการที่ออกไปหาคนรักที่รู้จักกันทางจดหมายโดยที่ไม่ได้บอกใครก่อน อีกทั้งยังหนีออกจากบ้านเพื่อต่อต้านผู้ใหญ่อีกต่างหาก เพราะอย่างนั้นหล่อนก็ควรจะถูกลงโทษอย่างหนัก
จางฉุ้ยเหลียนหันไปมองชายฉกรรจ์ด้วยรอยยิ้ม เธอกล่าวขอบคุณพวกเขาด้วยภาษาถิ่น จากนั้นพวกเขาก็เดินนำฟู่ซินและจางฉุ้ยเหลียนเดินไปส่งที่หน้าห้องพัก
หลังจากที่กล่าวย้ำกับพวกเขาเป็นรอบที่สามแล้วว่า พรุ่งนี้เถ้าแก่ของพวกเขาจะมาขอบคุณเธอด้วยตัวเอง นั่นจึงทำให้จางฉุ้ยเหลียนและฟู่ซินรู้สึกลำบากใจขึ้นมาทันที และถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยออกไปเจอโลกภายนอกมากนัก แต่พวกเขาก็รู้ว่าคน ๆ นี้จะต้องเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากอย่างแน่นอน
ฟู่ซินเดินเข้าไปในห้องพักของตัวเองพร้อมกับจางฉุ้ยเหลียน เขาขมวดคิ้ว และพูดออกไปด้วยความสงสัยว่า “ฉันคิดว่าผู้ชายคนนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่อยู่ในแวดวงทางสังคมอย่างไรอย่างนั้น”
แต่จางฉุ้ยเหลียนกลับพูดออกไปอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ถึงเขาจะเป็นคนที่อยู่ในแวดวงทางสังคมแล้วยังไงล่ะ ฉันทำความดีไม่ได้ทำชั่วสักหน่อย และฉันก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า จะมีใครมาแก้แค้นฉัน ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกน่า เพราะหลังจากนี้ต่อไปทุกคนก็ไม่ได้ติดต่อกันแล้ว นายจะไปกลัวอะไร!”
ฟู่ซินพูดไม่ออกว่าทำไมเขาถึงได้มองเห็นจิตใจที่แสนเย็นชาของผู้ชายคนนี้ แต่หลังจากที่เขาได้ครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่ ๆ เขาก็เห็นด้วยกับคำพูดของจางฉุ้ยเหลียน เพราะพวกเขาก็ไม่เคยมีความแค้นต่อกัน ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าผู้ชายคนนั้นจะคิดยังไงกับพวกเขา
ซึ่งมู่จิ้นหนานก็ไม่ได้มีความคิดแบบนั้นต่อทั้งสองคนเช่นเดียวกัน เช้าวันที่สองเขาได้เลี้ยงอาหารมื้อหนึ่งเพื่อเป็นการขอบคุณทั้งสองคน และทิ้งนามบัตรของตัวเองไว้ให้กับพวกเขา เดิมทีเขาตั้งใจจะซื้อตั๋วเครื่องบินให้พวกเขาทั้งสองคนด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้ยินว่าจางฉุ้ยเหลียนซื้อตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว เขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
จางฉุ้ยเหลียนพบว่าหูจิ่นเหมิงดูสงบเสงี่ยมลงไปมาก เมื่อมีคุณลุงของหล่อนอยู่ด้วย หล่อนก็กลายเป็นเสมือนแมวน้อยทันที พยายามเสแสร้งแกล้งทำตัวไร้เดียงสาอย่างเต็มที่ จนบางครั้งหล่อนก็ทำตัวออดอ้อนใส ๆ น่ารักประจบเอาใจให้คุณลุงของหล่อนดีใจ
เห็นได้ชัดเลยว่ามู่จิ้นหนานเป็นคนที่ยุ่งตลอดเวลา หลังจากที่กินข้าวเสร็จเขาก็พาหูจิ่นเหมิงไปจากที่นี่ทันที หูจิ่นเหมิงได้เก็บเบอร์โทรศัพท์ของตระกูลเซี่ยเอาไว้ จากนั้นก็ทำตัวเป็นแมวน้อยของคุณลุงของหล่อนอีกครั้ง ก่อนจะถูกลากคอออกไปจากที่นี่
จางฉุ้ยเหลียนรอฟู่ซิน 1 วันเต็ม ๆ ถึงจะสามารถพาเจิ้งเซียวเฟิงที่ได้รับการสั่งสอนจนอารมณ์ไม่ดีกลับมาถึงเมือง Q ในที่สุด ซึ่งในเวลานี้ตงลี่หวาก็กำลังกระวนกระวายใจไม่น้อย เพราะไม่รู้ว่าคังคังนั้นไปติดอีสุกอีใสมาจากใคร
เขาถูกผู้คนห้อมล้อมเอาไว้ตรงกลาง ในตอนที่เขากำลังถูกหลอกล่อและข่มขู่ ไม่อนุญาตให้เขาเกาตามร่างกายอยู่นั้น เขาก็เหลือบไปเห็นผู้เป็นแม่ยืนอยู่หน้าประตูห้องตรวจพอดี เนื่องจากไม่ได้เจอกับผู้เป็นแม่นานหลายวัน รวมทั้งอาการป่วยที่ทั้งคันทั้งแสบด้วยแล้ว เขาจึงส่งเสียงร้องไห้วอแวออกมาทันที เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นเช่นนั้น เธอจึงรู้สึกตกใจและเจ็บปวดไม่น้อย
เมื่อเห็นเด็กน้อยร้องไห้น้ำตาไหลอาบสองแก้ม เธอก็กลั้นน้ำตาและการตำหนิตัวเองเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป อันหลงอยากจะดุด่าว่ากล่าวเธอ แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว หล่อนก็ได้แต่อดกลั้นเอาไว้
แต่ตงลี่หวาที่ยืนอยู่ด้านหลังของจางฉุ้ยเหลียนกลับพูดตำหนิออกไปว่า “ลูกว่าลูกทำถูกไหม ทำถูกแล้วใช่ไหม หยุดร้องได้แล้ว หลานชายของยายเสียงแหบหมดแล้วนะ”
สองแม่ลูกต่างพากันร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง จากนั้นจางฉุ้ยเหลียนจึงได้ยื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาและถามไถ่อาการป่วยของลูกน้อย เป็นอีสุกอีใสไม่จำเป็นถึงขนาดที่จะต้องพามาโรงพยาบาลแบบนี้ก็ได้ ทำไมพวกเขาจะต้องพากันมาโรงพยาบาลด้วยล่ะ
ที่แท้คังคังก็ไข้ขึ้นสูงนี่เอง ก่อนหน้านี้คนในบ้านได้ทำการถูตัวเด็กน้อยด้วยแอลกอฮอร์เพื่อเป็นการปรับอุณหภูมิในร่างกายให้เขาแล้ว ต่อมาพวกเขาเห็นว่าเด็กน้อยมีอาการไอ พวกเขาจึงเป็นกังวลว่าการเป็นไข้หวัดใหญ่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิแบบนี้ จะทำให้เด็กนั้นเป็นปอดบวม จึงได้นำตัวเขามาส่งโรงพยาบาล
หลังจากที่ไอหนักมาได้ 2 วัน อาการเจ็บคอของเขาก็เริ่มทุเลาไปลงบ้างแล้ว เขาเริ่มที่จะกินข้าวได้ แต่ไข้ของเขากลับสูงขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับตุ่มอีสุกอีใสที่ผุดขึ้นทั่วทั้งตัว ซึ่งนั่นก็ทำให้คนในบ้านยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นไปอีก ไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับตุ่มอีสุกอีใสยังไง และไม่รู้ว่าจะจัดการกับอาการไข้หวัดนี่ยังไง จึงได้พาเขามาโรงพยาบาล
จางฉุ้ยเหลียนได้เข้าไปในห้องตรวจของหมอแผนกเด็กด้วย ซึ่งคุณหมอแผนกเด็กท่านนั้นก็ยังดูวัยรุ่นและมีรูปร่างหน้าตาที่สะสวยไม่น้อย หล่อนปลอบโยนจางฉุ้ยเหลียนกับอันหลงอย่างอ่อนโยนว่า โรคไข้หวัดใหญ่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด อีกทั้งหล่อนก็ยังให้คำแนะนำวิธีการดูแลหลังจากที่พาเด็กกลับบ้านอย่างละเอียดอีกด้วย
“เราควรแยกเด็กที่เป็นอีสุกอีใสออกจากเด็กคนอื่น ๆ ในช่วงระยะแรก ช่วงนี้เราจะต้องป้อนอาหารอ่อนให้กับเขา ให้เขาดื่มน้ำเยอะ ๆ กินผักผลไม้เยอะ ๆ อย่าให้เด็กเกาบริเวณที่เป็นตุ่มเด็ดขาด เลี่ยงแดดเลี่ยงลมก็พอแล้วค่ะ โดยปกติแล้วมันจะตกสะเก็ดใน 1 สัปดาห์ และจะกลับมาเป็นปกติในอีก 2 สัปดาห์หลังจากนั้น ผู้ปกครองไม่ต้องเป็นกังวลไปนะคะ มันเป็นเรื่องปกติค่ะ”
จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางคุณหมอที่ยังดูเด็กและวัยรุ่นมาก แต่หล่อนกลับสามารถพูดจาได้อย่างฉะฉานชัดถ้อยชัดคำ จากนั้นก็อดที่จะชำเลืองตาไปมองที่ป้ายชื่อบนหน้าอกไม่ได้ ซึ่งบนป้ายชื่อที่ติดอยู่บนหน้าอกนั้นก็เขียนชื่อเอาไว้ว่า ซวี๋หวานถิง
ทันทีที่จางฉุ้ยเหลียนเดินออกมาจากห้องตรวจ เธอก็ได้ยินเสียงของพยาบาลคนหนึ่งกรีดร้องออกมาเสียงดัง มีผู้ปกครองของเด็กคนหนึ่งเดินตามพยาบาลคนนั้นออกมา จากนั้นผู้ปกครองคนนั้นก็ยื่นมือออกไปตบที่หน้าของพยาบาล 2 ครั้ง ผู้ปกครองคนนั้นใช้เหตุผลอ้างว่าลูกของหล่อนได้ถูกฉีดยาไปถึง 3 เข็ม จากนั้นก็ด่าเสีย ๆ หาย ๆ ถึงโรงพยาบาลว่า เอาพยาบาลฝึกหัดมาฉีดยาทำร้ายลูกของตน
จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้วพร้อมกับบ่นพึมพำอยู่ในใจ ทำไมความบาดหมางของหมอและคนไข้ในยุคสมัยนี้มันถึงได้รุนแรงมากขนาดนี้นะ ซวี๋หวานถิงเดินออกมาจากห้องตรวจ จากนั้นหล่อนก็ฝ่าวงล้อมของเหล่าบรรดาผู้คนที่กำลังยืนมุงกันอยู่ออกไปเบา ๆ จากนั้นหล่อนก็สาวเท้าเดินเข้าไปหาของผู้ปกครองที่กำลังตบตีพยาบาลคนนั้นอยู่
จากนั้นหล่อนก็ถลึงตาใส่ผู้ปกครอง และพูดออกไปว่า “พยาบาลในแผนกเด็กของโรงพยาบาลเราต่างก็เป็นบุคลากรที่มีความสามารถที่สุดและมีประสบการณ์มากที่สุด เราไม่ได้ให้พยาบาลที่เพิ่งจบใหม่มาทำการฝึกฝนฝีมือเด็ดขาด เมื่อเกิดเรื่องขึ้นมาแบบนี้ คุณไม่ถามให้มันชัดเจนก่อน แต่กลับลงไม้ลงมือทำร้ายคนอื่นแบบนี้ มันไม่เกินไปหน่อยหรือคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้ปกครองจึงได้ด่าทอกลับไปด้วยความโกรธว่า “เกิดเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ ก็เห็น ๆ อยู่ว่าหล่อนตั้งใจ ความสามารถไม่มากพอ เจาะน้ำเกลือให้เด็กตั้ง 3-4 เข็ม เด็กก็เพิ่งจะอายุแค่ 6 เดือนเอง จะไปอดทนอดกลั้นได้ยังไง ? ” เมื่อพูดจบหล่อนก็ตบไปบนหน้าของพยาบาลคนนั้นอีกครั้ง “น่าไม่อาย ฉันจะตบแกให้ตายไปข้างหนึ่งเลย”
ไม่ทันที่ซวี๋หวานถิงจะได้สอบถามพยาบาลคนนั้นให้ชัดเจนก่อน น้ำตาแห่งความไม่เป็นธรรมของพยาบาลคนนั้นก็ได้เอ่อล้นออกมาเสียแล้ว “หลอดเลือดของเด็กคนนั้นเล็ก อีกทั้งยังละเอียดมาก เข็มแรกดิฉันแทงไม่สำเร็จจึงแทงเข้าหนัง ทางผู้ปกครองไม่ดูแลเด็กให้ดีมันจึงปูดบวมขึ้น หล่อนก็เลยมาเรียกดิฉัน ดิฉันจึงได้เปลี่ยนมืออีกข้างให้เด็ก ซึ่งมือข้างนั้นก็เพิ่งจะบวมไปได้ไม่นาน ผู้ปกครองก็โวยวายและไม่ยอมให้ตรวจ จึงให้หัวหน้าพยาบาลไปทำแทน”
เห็นได้ชัดว่าผู้ปกครองคนนั้นไม่ยอม และจะเอาเรื่องพยาบาลให้ได้ เมื่อซวี๋หวานถิงเห็นผู้ปกครองด่าทออกมาอย่างไม่มีมารยาท หล่อนจึงได้เดินเข้าไปและพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า “หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะคะ ทำร้ายคนอื่น ขอโทษสักคำก็ไม่มี ตัวเองไม่ดูแลเอง ยังจะมากล่าวโทษพยาบาลอีกหรือคะ ? ”
ผู้ปกครองคนนั้นถ่มน้ำลายออกมา และพูดออกไปว่า “หาว่าฉันไม่สนใจดูแลไม่ดีอย่างนั้นหรือ พยาบาลอย่างพวกเธอกินอะไรเป็นอาหารกัน ห๊ะ ? เด็กตัวเล็ก ๆ แค่นี้ก็ดูแลกันไม่ได้ เด็กบ้านไหนเขายอมให้แทงเข็มเยอะมากขนาดนี้กัน ? แล้วอีกอย่าง นี่มันกี่วันเข้าไปแล้วอาการของเด็กก็ยังไม่ดีขึ้นเลย หมออย่างพวกคุณมันไร้ความสามารถ”
ซวี๋หวานถิงมองไปทางพยาบาลคนนั้น จากนั้นหล่อนก็ถามออกไปว่า “เด็กคนนั้นป่วยเป็นอะไร ชื่อว่าอะไร ? แล้วฉันเป็นคนตรวจหรือ ? ”
พยาบาลคนนั้นจึงได้พูดจาอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ออกมา เพราะอย่างนั้นสีหน้าของซวี๋หวานถิงจึงเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที จากนั้นหล่อนก็หันไปถามผู้ปกครองของเด็กคนนั้นว่า “ฉันพูดถึงเด็กคนไหนล่ะ เมื่อกี้ตอนที่ฉันพูดกับผู้ปกครองในห้องตรวจ คุณไม่ได้อยู่ด้วยหรือ ? ”
ผู้ปกครองคนนั้นส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ จากนั้นหล่อนก็ตอบกับไปว่า “ไม่ พ่อแม่ของฉันเป็นคนเข้าไปฟังผลตรวจ ทำไมหรือ ? ” เห็นได้ชัดว่าเป็นคุณยายหรือไม่ก็คุณย่าของเด็กที่เข้าไปนั่งฟังผลตรวจ ซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอาการที่เด็กเป็นเลย
ซวี๋หวานถิงขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมาในทันที “เด็กอายุ 6 เดือน แต่ไม่รู้จักป้อนไข่แดงเพื่อบำรุงร่างกาย เด็กตัวเล็ก ๆ ถึงได้ขาดสารอาหาร ทำไมผู้ปกครองถึงไม่ดูแลเอาใจใส่ล่ะคะ ? อีกอย่าง ในโรงพยาบาลแห่งนี้ก็มีอากาศที่ค่อนข้างร้อนมาก แถมยังอบอ้าวไปทั้งสามชั้น เด็กเหงื่อออกเปียกชุ่มไปทั่วทั้งตัว คอเสื้อก็เปียกไปหมด คุณไม่เห็นเลยหรือคะ? ดั่งคำโบราณที่ว่า 2 เดือนเงยศีรษะ 4 เดือนพลิกตัว 6 เดือนนั่งได้ 7 เดือนกลิ้งได้ 8 เดือนคลานได้ 9 เดือนพยุงตัวเองได้ แล้วจะวิ่งมาโรงพยาบาลทำไม ? ”
ผู้ปกครองปากร้ายคนนั้นนิ่งอึ้งในทันที แต่หล่อนก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเคารพหมอแต่อย่างใด ตรงกันข้ามหล่อนยังทำหน้างุนงง และเจ็บปวดไม่รู้จะทำยังไงต่อไปอีกด้วย จากนั้นหล่อนก็ได้เอ่ยปากถามซวี๋หวานถิงออกไปด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมว่า “ใช่ ฉันไม่ได้ให้หล่อนกิน ลูกของฉันคลอดก่อนกำหนด 3 เดือน ตามหลักเหตุผลแล้ว ตอนนี้ลูกของฉันเพิ่งจะอายุครบ 3 เดือนเอง ไม่ต้องกินหรอก”
ซวี๋หวานถิงหมดคำพูดขึ้นมาในทันที หรือหล่อนคิดว่าเด็กคลอดก่อนกำหนด 3 เดือน ทำไมจะต้องเลี้ยงดูอย่างเด็กที่คลอดตามกำหนดปกติอย่างนั้นหรือ ? หล่อนสมองฝ่อรึเปล่า ที่แท้ปัญหาก็อยู่ที่ผู้ปกครองนี่เอง เพราะอย่างนั้นซวี๋หวานถิงจึงได้พูดกำชับกลับไปด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่า “จะคลอดก่อนกำหนดหรือจะคลอดตามปกติก็ไม่เกี่ยวกันทั้งนั้น ตั้งแต่วินาทีแรกที่คลอดเด็กออกมา จะกี่เดือนก็นับตามเดือนที่เด็กคลอด”
เมื่อพูดจบหล่อนก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องตรวจทันที เพราะหล่อนยังต้องตรวจคนไข้รายต่อไป
ส่วนพยาบาลคนนั้นก็ได้หายตัวไปแล้ว เรื่องแบบนี้คงเกิดขึ้นบ่อยจนชินกันไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนกเด็ก และพยาบาลที่ได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้ก็มีอยู่เยอะมากเช่นกัน
ผู้ปกครองที่ด่ากราดเสียงดังเมื่อสักครู่ได้วิ่งหนีออกไปจากตรงนี้อย่างรวดเร็ว หล่อนไม่อยากให้ความเอาใจใส่แบบผิด ๆ ของหล่อนทำให้ลูกของหล่อนเรียนรู้ช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กที่คลอดก่อนกำหนด นั่นยิ่งต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ จะให้เด็กขาดสารอาหารไม่ได้อย่างเด็ดขาด
จางฉุ้ยเหลียนถอนหายใจออกมา โชคดีที่ตัวเองนั้นไม่ได้ปล่อยปะละเลยคังคัง ไม่เลี้ยงเขาให้เคยชินกับการเอาแต่ใจ ต่อมาโรงพยาบาลแห่งนี้ก็รับคนไข้ลดน้อยลง เพราะเชื้อโรคที่แพร่กระจายอยู่เป็นจำนวนมาก
ตอนที่จางฉุ้ยเหลียนเดินกลับมาที่หน้าห้องตรวจ เธอก็มิวายหันไปมองคุณหมอซวี๋หวานถิงที่เดินออกมาอีกครั้ง เธอได้ยินเสียงโวยวายอย่างไร้เหตุผลของผู้ปกครองคนหนึ่ง จึงอดที่จะส่ายหน้าไม่ได้ เธอรู้สึกดีที่คุณหมอตัวเล็ก ๆ แบบนี้คอยสนับสนุนพยาบาลอยู่เบื้องหลัง ถ้าพบเจอกับเรื่องที่ยากลำบาก ก็จงดุด่าตัวเองและผลักดันตัวเองให้ขึ้นมาเป็นผู้นำให้ได้ ซึ่งถ้าทำได้งานเหล่านี้ก็จะดูเล็กลงไปเลย
MANGA DISCUSSION