ตอนที่ 221 พบกันครั้งแรก
จางฉุ้ยเหลียนถูกยั่วยุจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เธอขี้เกียจจะมานั่งทะเลาะกับคนที่มีความรู้เพียงแค่ผิวเผินพวกนั้น เพราะอย่างนั้นเธอจึงเดินลงไปชั้นล่าง และตรงไปคืนห้องพักกับพนักงานต้อนรับของโรงแรมทันที จากนั้นก็พาหูจิ่นเหมิงออกไปกินสเต็กเนื้อในร้านอาหารตะวันตกสุดหรูหราที่ด้านนอก
เดิมทีจางฉุ้ยเหลียนอยากจะสร้างวาสนากับเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ เธอจึงตั้งใจว่าเธอจะเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่ให้หล่อน เพื่อให้หล่อนได้พบเจอกับโลกภายนอกโดยที่ไม่ต้องสิ้นเปลืองไมตรีจิตในฐานะคนบ้านเดียวกัน
พอทั้งสองคนเดินออกมาเรื่อย ๆ พวกเธอก็เจอกับร้านอาหารที่ดูดี และมีบรรยากาศที่น่านั่งร้านหนึ่ง เมื่อพวกเธอทั้งสองคนเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะแล้ว พนักงานจึงได้นำเมนูอาหารมาให้กับจางฉุ้ยเหลียน เธอคิดว่าเด็กหญิงตัวน้อยที่เพิ่งเคยทานอาหารตะวันตกเป็นครั้งแรก จะต้องใช้เวลาในการเลือกอาหารนานอย่างแน่นอน
หูจิ่นเหมิงเบิกตากว้าง จากนั้นหล่อนก็หันไปมองที่จางฉุ้ยเหลียน ก่อนจะถามขึ้นด้วยแววตาซุกซนว่า “พี่สาว พี่จะให้หนูสั่งเองจริง ๆ หรือคะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ จากนั้นเธอก็คิดว่าเธอจะสั่งเมนูอาหารตามรูปแบบอาหารตะวันตก แต่ก่อนที่จางฉุ้ยเหลียนจะได้สั่งอาหาร เธอก็หันไปมองที่หูจิ่นเหมิงที่กำลังชี้นิ้วลงบนเมนูอาหารอย่างคล่องแคล่ว “ออเดิร์ฟแรกก็คือ แอ็สการ์โก (หอยทากอบ) ส่วนซุปหนูขอเป็นซุปหอยแล้วกันนะคะ ขนมปัง หนูขอเป็นขนมปังอบขนาดเล็ก!อาหารหลักหนูเอาสเต็กเนื้อที่ดีที่สุด สุก 8 ส่วนกำลังดี สุดท้ายของหวานขอเป็นไอศกรีมค่ะ”
เมื่อสั่งอาหารเสร็จ หล่อนก็ปิดเมนูอาหารลงและมองไปทางจางฉุ้ยเหลียนด้วยรอยยิ้มสดใส จากนั้นก็เอ่ยปากถามขึ้นด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “พี่สาวคะ พี่อยากจะดื่มแชมเปญด้วยไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ จากนั้นก็พูดกับพนักงานเสิร์ฟว่า “ส่วนของฉันเอาแบบหล่อนนะ!”
หูจิ่นเหมิงหันไปมองที่พนักงานที่กำลังยืนทำหน้านิ่งอยู่ที่เดิม ก่อนจะรีบเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “พี่สาว พี่ลืมจ่ายเงินค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็รีบล้วงมือเข้าไปหยิบเงินออกมาจากกระเป๋า และยื่นมันไปให้กับพนักงานคนนั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็บ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ในใจว่า ไม่รู้ว่าทำแบบนี้จะดูมากเกินไปหน่อยรึเปล่า ให้เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้มาเตือนตัวเอง แถมเธอก็ยังคิดที่จะพาหล่อนไปเปิดโลกกว้างอีกต่างหาก มันน่าขายหน้ามากเลยจริง ๆ มันน่าขายหน้าเป็นอย่างมาก
หูจิ่นเหมิงเมินเฉยต่อสีหน้าลำบากใจของจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นก็พูดออกไปเสียงดังว่า “พี่สาว พี่อย่าว่าหนูที่หนูให้พี่จ่ายค่าอาหารให้หนูเลยนะ หนูทนลำบากมาหลายวันแล้ว เพราะอย่างน้อยนี่มันก็ถือว่า เป็นเรื่องที่โชคดีมากที่หนูได้เจอกับคนดี ๆ แบบพี่ ถ้าไม่ได้กินอาหารดี ๆ สักมื้อ หนูก็คงจะโทษตัวเอง แต่พี่วางใจได้เลยนะ เดี๋ยวถ้าคุณลุงมาถึง หนูจะให้เขาคืนเงินให้พี่ทุกหยวนแน่นอนค่ะ”
จางฉุ้ยเหลียนเห็นว่าฐานะทางบ้านของเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว ถ้านำฐานะของเด็กคนนี้มาเปรียบเทียบกับเธอ อย่างน้อยฐานะของหล่อนก็คงจะสูงกว่าเธอมากถึงสองเท่าเลยทีเดียว เด็กตัวแค่นี้ยังรู้จักการให้ทิป เธอที่มีชีวิตอยู่มาจนอายุ 40 ปียังไม่เคยจะให้ทิปอะไรเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของจางฉุ้ยเหลียน หูจิ่นเหมิงก็หัวเราะเยาะออกมา จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นสูงและพูดออกไปว่า “พี่สาวมีอะไรอยากจะถามหนูใช่ไหมคะ ? พี่อยากรู้เรื่องของหนูรึเปล่า ? หึ หึ หนูรอให้พี่เอ่ยปากถามหนูอยู่นะ”
จางฉุ้ยเหลียนชำเลืองตาไปมองทางพนักงานที่ยกอาหารมาเสิร์ฟ อาจจะเป็นเพราะการให้ทิปก่อนหน้านี้ พนักงานคนนั้นจึงคิดว่าเธอเป็นคนมีเงิน จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้รู้สึกลำบากใจมากมายขนาดนั้น แต่สุดท้ายเธอก็เอ่ยปากพูดออกไปเบา ๆ ว่า “ฉันก็รอให้เธอพูดอยู่นั่นแหละ เพราะฉันกลัวว่าถ้าฉันถามออกไปตรง ๆ มันก็อาจจะไปสะกิดต่อมจนทำให้เธอเสียใจเอาได้น่ะ”
ในที่สุดฤดูใบใหม่ผลิอันสดใจของเด็กหญิงตัวน้อยก็ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันนี้ เพราะหล่อนได้เจอกับคนใจดี ที่สามารถพาหล่อนกลับบ้านได้ อีกทั้งหล่อนยังได้อาบน้ำอุ่น เอนกายนอนหลับอย่างสบายใจ และกินของอร่อย ๆ อีกด้วย ช่างเป็นอะไรที่พิเศษมากจริง ๆ
ตอนนี้หล่อนไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแล้ว ราวกับปีศาจตัวน้อยที่เพิ่งฟื้นคืนชีพขึ้นมา และพูดเป็นต่อยหอยไม่หยุดอย่างไรอย่างนั้น หล่อนกินอาหารไปพลางพร้อมกับแนะนำประวัติความเป็นมาของตัวเองไปพลาง หล่อนพูดออกไปด้วยใบหน้าที่เริงร่าว่า “พี่รีบชมหนูสิ ชื่นชมที่หนูมีความรู้มากมายขนาดนี้สิ”
เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาทำให้จางฉุ้ยเหลียนถึงกับพูดอะไรไม่ออก เมื่อฟังจบเธอจึงได้แต่กัดฟันกรอดและพูดออกไปว่า “ถ้าเธอเป็นลูกสาวของฉัน ฉันก็คงจะตบปากของเธอไปสักครั้งสองครั้งแล้ว เธออย่าทำตัวเหมือนดั่งสุภาษิตที่ว่า แมลงเม่าบินเข้ากองไฟเลยนะ”
เดิมทีหูจิ่นเหมิงไม่ได้คาดหวังกับคำชื่นชมอยู่แล้ว หล่อนได้แต่เบะปาก จากนั้นก็พูดออกไปอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักว่า “แม่ของหนูตายไปนานแล้ว เว้นเสียแต่ว่าหล่อนจะลุกขึ้นมาจากหลุมศพก็เท่านั้นถึงจะสามารถตบปากหนูได้”
จางฉุ้ยเหลียนนิ่งอึ้งไปทันที จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาตบหน้าผากของตัวเอง ก่อนจะถามออกไปว่า “แล้วพ่อของเธอล่ะ ? ”
หูจิ่นเหมิงแสดงท่าทางเหมือนกับคนที่ไม่รู้จักจางฉุ้ยเหลียนอย่างไรอย่างนั้น ดูเหมือนว่าหล่อนไม่อยากพูดถึงคน ๆ นี้สักเท่าไหร่นัก หล่อนจึงคิดไม่วิตกว่าควรจะบอกจางฉุ้ยเหลียนดีหรือไม่ เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นท่าทางกระวนกระวายใจของหล่อน เธอจึงได้เปลี่ยนหัวข้อในการสนทนาทันทีว่า “ฉันรู้สึกว่าสเต็กนี้อร่อยมากจริง ๆ นะ ไอ้หยา อร่อยกว่าอาหารในร้านอาหารกังหันลมสีแดงในฮาร์บินเสียอีก”
หูจิ่นเหมิงมองไปทางจางฉุ้ยเหลียนด้วยความตกใจ จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “พี่เคยไปกินอาหารที่ร้านอาหารกังหันลมสีแดงด้วยหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ “ใช่แล้วล่ะ ร้านมันตั้งอยู่ในถนนรอบนอกเส้นไหนนะ ? ฉันลืมไปแล้วล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ห่างจากถนนใหญ่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก ฉันคิดว่าอาหารตะวันตกของที่นั่นก็อร่อยเหมือน ๆ กันหมดทุกร้าน แต่ผลลัพธ์มันกลับตรงกันข้าม เพราะยิ่งฉันกิน ฉันก็ยิ่งรู้สึกกลืนยากเข้าไปทุกที ๆ ไอ้หยา ไม่รู้ว่าทำไมเถ้าแก่เจ้าของร้านอาหารพวกนั้น ถึงได้ทำเงินกันเป็นกอบเป็นกำได้มากขนาดนั้นกันนะ”
หูจิ่นเหมิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ตอบกลับไปว่า “เรื่องนี้พี่น่าจะบอกกับเถ้าแก่เจ้าของร้านไปตรง ๆ นะ เพราะว่าเขาไม่น่าจะเคยกินหรอก อื้อ คุณลุงของหนูไม่ชอบกินอาหารตะวันตก ตอนที่ร้านเพิ่งเปิดกิจการร้านใหม่ ๆ หนูกินแล้วก็รู้สึกว่าอร่อยอยู่นะ สงสัยจะเปลี่ยนพ่อครัวคนใหม่……..”
จู่ ๆ จางฉุ้ยเหลียนก็นั่งนิ่งไร้ปฏิกิริยาตอบสนองราวกับรูปปั้นหินทันทีทันใด แถมเธอยังพูดออกไปทั้ง ๆ ที่ยังเคี้ยวสเต็กไว้ในปากว่า “ร้านกังหันลมสีแดงนั่นเป็นของคุณลุงของเธอหรือ ? ”
หูจิ่นเหมิงพยักหน้าเป็นการตอบรับ “อื้อ ใช่ค่ะ เป็นร้านอาหารสไตล์รัสเซีย เพราะทหารเก่าในฮาร์บินมีอยู่เยอะมาก ! และหนูเองก็ชอบกินอาหารสไตล์ฝรั่งเศสด้วย โดยเฉพาะขาแกะย่างมันอร่อยมากเลย”
จางฉุ้ยเหลียนอยากจะยกมือขึ้นมาตบปากของตัวเองให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยจริง ๆ ปากพาซวยขาดการคิดไตร่ตรอง พูดอะไรตามอำเภอใจ ร้านที่ปรากฏขึ้นมาในความทรงจำนี้ เธอไม่รู้จักเถ้าแก่เจ้าของร้านด้วยซ้ำ ปากที่พูดหาเรื่องใส่ตัวแบบนี้ ควรพอแล้วจริง ๆ
หูจิ่นเหมิงโดนเพื่อนที่รู้จักกันทางจดหมายหลอก หลังจากที่เธอมาหาเขาที่นี่ เธอก็พบว่าเขาหลอกลวงเธอ โชคดีที่เขาแค่อยากจะเอาเธอมาขายเท่านั้น เขาจึงไม่ได้ทำอะไรเธอ เพราะอย่างนั้นหูจิ่นเหมิงจึงได้หวาดกลัวกับคนไม่ดีเหล่านั้น
“แล้วเธอไปกับเพื่อนที่รู้จักกันทางจดหมายคนนั้นได้ยังไง ? ” จางฉุ้ยเหลียนไม่เข้าใจ
หูจิ่นเหมิงจึงได้พูดเยาะเย้ยให้กับความโง่เขลาของตัวเองว่า “หลังจากที่เราสองคนติดต่อกันทางจดหมายเป็นระยะเวลา 1 ปีเต็ม หนูก็เลยรู้สึกว่าหนูอยากจะเจอหน้าเขา เขามาหาหนู และพาหนูไปกินของอร่อย ๆ และไปเที่ยวสนุก ๆ ด้วยกัน หนูเลยรู้สึกชอบเขา เราสองคนจึงได้ตัดสินใจคบกัน เขาดีกับหนูมาโดยตลอด สุภาพเรียบร้อยและยังแตกต่างจากลุงของหนูโดยสิ้นเชิง หนูก็เลยไม่คิดว่าเขาจะกลายเป็นคนไม่ดี ”
จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้วแน่น “แล้วคุณลุงของเธอไม่เคยเจอเขาเลยหรือ ? ”
หูจิ่นเหมิงย่นจมูกเล็กน้อย จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “ตอนนั้นคุณลุงของหนูไปต่างประเทศ เขามีธุรกิจมากมายที่ทำร่วมกับพวกเพื่อนทหารเก่าของเขา อีกอย่างตอนนั้นหนูก็โกรธลุงของหนูอยู่ หนูก็แค่อยากขู่ให้คุณลุงกลัวก็เท่านั้น ก็เลยตัดสินใจหนีออกมา ให้ผู้หญิงคนนั้นรู้ว่าเป็นเพราะหล่อน แต่ถึงอย่างนั้นหนูก็ยังเขียนจดหมายทิ้งเอาไว้ให้คุณลุงบอกว่า หนูจะไปดูทะเลสาปน้ำพุที่จี่หนาน”
ผลสุดท้ายกลับนึกไม่ถึงเลยว่า หล่อนจะไม่ได้ไปจี่หนาน แต่กลับถูกคนที่รู้จักกันทางจดหมายพาตัวมาที่นี่ อีกทั้งหล่อนก็ยังไม่รู้จักที่แห่งนี้เลย หลังจากที่หล่อนหนีออกมาได้แล้ว หล่อนก็ไปที่สถานีตำรวจเพื่อที่จะไปแจ้งความ แต่ในตอนที่หล่อนกำลังจะเข้าไปที่สถานีตำรวจ หล่อนก็บังเอิญไปเห็นคนพวกนั้นกำลังป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นเข้าพอดี หล่อนกลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นหนูที่ติดกับงูเหลือม จึงไม่กล้าที่จะเดินออกไปได้แต่หลบซ่อนตัวอยู่อย่างนั้น
หล่อนอยากจะโทรศัพท์ไปหาคนที่บ้าน เพื่อที่จะให้พวกเขามารับตัวหล่อนกลับไป แต่หล่อนก็ไม่มีเงินติดตัวเลยแม้แต่เฟินเดียว แถมหล่อนก็ยังฟังภาษาถิ่นของที่นี่ไม่ออกอีก หล่อนไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากคนที่ไม่รู้จัก โชคดีที่หล่อนได้มาพบกับจางฉุ้ยเหลียนที่ให้เงินและขนมปังกับหล่อนเข้าพอดี ส่งผลให้อันธพาลที่ทำตัวไร้ประโยชน์เดินเตร็ดเตร่ไปมาแถวนั้นเห็นเข้า จึงได้เสนอหน้าเข้ามาเรียกเก็บค่าคุ้มครอง พยายามแย่งเงินในมือของหล่อนไป
หลังจากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ได้โทรแจ้งตำรวจ และยืนยันเรื่องนี้กับตำรวจ ทางตำรวจจึงทำการสืบหาจนรู้ได้ในที่สุดว่า ไอ้พวกอันธพาลที่มันเดินเรียกเก็บค่าคุ้มครองเหล่านั้นเป็นพวกนักต้มตุ๋น ส่วนกลุ่มโจรที่คิดจะล่อลวงหนูน้อยอย่างหล่อนให้มาติดกับในวงล้อมงูเหลือมเหล่านั้นก็ปิดบังอำพรางตัวไว้เช่นเดียวกัน
เพราะกลัวว่าเด็กหญิงตัวน้อยที่วิ่งหนีไปได้จะไปแจ้งตำรวจ พวกโจรเหล่านั้นจึงไปยืนอยู่หน้าสถานีตำรวจและแกล้งทำเป็นรู้จักกัน
จางฉุ้ยเหลียนได้แต่ถอนหายใจให้กับโลกที่แสนสับสนวุ่นวายใบนี้ ถ้าตัวเองไม่มีความทรงจำจากชาติที่แล้วหลงเหลือติดตัวมาด้วยล่ะก็ เธอก็คงจะหลวมตัวไปกับเรื่องพวกนี้ด้วยเช่นกัน
จางฉุ้ยเหลียนกลับเข้ามาในโรงแรมอีกครั้ง แต่ในตอนนั้นเองเธอกลับถูกพนักงานต้อนรับของโรงแรมขวางทางเอาไว้ หล่อนบอกกับจางฉุ้ยเหลียนด้วยสีหน้าลำบากใจว่า ถึงแม้ว่าเธอจะคืนห้องแล้ว แต่เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาที่จะออก คนที่เข้ามาพักพวกนั้นจึงยังไม่ได้เก็บของกลับออกไป เพราะอย่างนั้นทางโรงแรมจึงยังไม่ได้เข้าไปตรวจเช็คของภายในห้องและทำความสะอาด
แต่หลังจากที่คนเหล่านั้นกลับออกไปกันหมดแล้ว ทางโรงแรมกลับพบว่าคนเหล่านั้นได้เอาของใช้ในห้องพักขนกลับไปเป็นจำนวนมาก นอกจากยาสีฟันที่ใช้แล้วทิ้ง ก็ยังมีของจำพวกรองเท้าแตะ ผ้าขนหนู หมอน และจานเขี่ยก้นบุหรี่ต่างถูกขนกลับไปจนหมดไม่มีเหลือ
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกอับอาย อีกทั้งยังรู้สึกโกรธ พนักงานต้อนรับจึงรู้สึกลำบากใจไม่น้อย รีบพูดขึ้นทันทีว่า ของจำพวกยาสีฟันหรือแปรงสีฟันทางโรงแรมจะไม่นับ แต่รองเท้า ผ้าขนหนู หมอน และจานเขี่ยก้นบุหรี่เหล่านั้น เธอจำเป็นที่จะต้องชดใช้
หลังจากที่สอบถามราคาเรียบร้อยแล้ว จางฉุ้ยเหลียนจึงได้ทำการจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายไป จากนั้นก็แบกหน้าที่อับอายของตัวเองขึ้นไปชั้นบน เรื่องแบบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในยุคสมัยนี้เท่านั้น เพราะหลังจากนี้อีก 20 ปี ยังไง ๆ ก็ยังมีคนทำแบบนี้อยู่ จางฉุ้ยเหลียนได้แต่พูดปลอบใจตัวเอง เรื่องพวกนี้ก็เคยเป็นข่าวใหญ่เช่นกันที่ว่า นักท่องเที่ยวสันดานต่ำบางคนที่เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ พวกเขามักจะขนของเหล่านี้กลับมาบ้านด้วยเช่นกัน
คิดไปคิดมา เธอจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาฟู่ซิน และได้รู้ว่าเขากำลังไปส่งคนเหล่านั้นที่สถานีรถไฟ เขาจึงได้ยื่นโทรศัพท์ไปให้กับจางกว่างฝู ทันทีที่จางกว่างฝูรับสาย เธอก็ได้โพล่งด่าออกไปด้วยความโกรธทันที อีกทั้งยังพูดข่มขู่ออกไปอีกว่า ทางโรงแรมจะไปแจ้งความจับ เพื่อห้ามไม่ให้เขากลับไปที่บ้านได้อีก
จางกว่างฝูไม่ใช่คนโง่ เขาตั้งใจเอาของเหล่านั้นกลับมาเพื่อให้ลูกสาวของตนชดใช้ และเขาก็รู้ว่าถ้าทำเช่นนี้จะทำให้ลูกสาวของตนเสียหน้าเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
“ห้องราคาแพงขนาดนั้น หยิบของมานิด ๆ หน่อย ๆ ความจริงแล้วพวกเขาก็ไม่ควรจะมาถือโทษโกรธกันขนาดนี้เลยนะ แล้วอีกอย่าง การที่เราได้เดินทางมาที่นี่ในครั้งนี้ เราก็ไม่ได้ซื้ออะไรกลับบ้านไปให้แม่ของแกเลยด้วย!”
เรื่องนี้ต้องโทษจางฉุ้ยเหลียนที่ไม่ยอมซื้อของฝากให้กับพวกเขา แต่เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นพ่อ เธอจึงได้พูดตอกกลับไปด้วยความเกลียดชังว่า “พ่อไม่รู้หรือว่าพ่อมาทำอะไรที่นี่ ? ” หลังจากที่พูดจบ เธอก็วางสายทันที จากนั้นก็นั่งนวดขมับของตัวเองอยู่คนเดียว
จางฉุ้ยเหลียนโกรธจนปวดหัว เธอรู้สึกเสียหน้าและรู้สึกว่าพ่อของตัวเองทำให้ญาติพี่น้องทางฝั่งตระกูลเช่าต้องเสียหน้าไปด้วย เมื่อเห็นท่าทางของเธอ หูจิ่นเหมิงจึงได้ตบไปบนไหล่ของเธอเบา ๆ และพูดออกไปว่า “พี่อย่าโกรธไปเลยค่ะ ถ้าได้กลับไปที่บ้านแล้ว หนูจะให้พี่ระบายความโกรธเต็มที่เลย”
หล่อนดูออกว่า ครอบครัวของพี่สาวของคนนี้น่าเบื่อหน่ายมากขนาดไหน ตอนที่กินข้าวด้วยกันก็ส่งเสียงเคี้ยวอาหารดัง ‘จ๊วบจั๊บ ๆ ’ ใครจะเป็นยังไงก็ไม่สนใจ อีกทั้งยังโง่เขลา ทำปากขมุบขมิบโดยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยสักอย่าง สมควรแล้วที่จะโดนคนอื่นหลอก
หูจิ่นเหมิงมองโลกในแง่ร้ายเป็นอย่างมาก และด้วยความที่ติดหนี้น้ำใจพี่สาวคนนี้ ดังนั้นหล่อนจึงหอบเอาความแค้นเหล่านั้นมาแบกไว้เอง
ฟู่ซินกลับมาถึงโรงแรมในตอนเย็น และตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่า คนพวกนั้นทำอะไรกับจางฉุ้ยเหลียนเอาไว้บ้าง ด้วยความที่จนปัญญาเพราะเรื่องทุกอย่างมันก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว อีกทั้งเขาก็ยังรู้อย่างชัดแจ้งมากอีกด้วยว่า ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับจางฉุ้ยเหลียน เขาก็คงจะไม่ได้กวนน้ำโคลนให้ขุ่นอีกครั้งแบบนี้หรอก
จางฉุ้ยเหลียนและหูจิ่นเหมิงถือโอกาสแวะกินของอร่อย ๆ แถวกวางตุ้งด้วย ซึ่งนั่นมันก็ทำให้สภาพจิตใจของจางฉุ้ยเหลียนฟื้นตัวขึ้นมาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากที่กลับเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของโรงแรม ก็กินเวลาไปกว่า 22.00 น. กว่า ๆ แล้ว หูจิ่นเหมิงวิ่งกระโดดโลดเต้นเข้าไปในห้องโถงของโรงแรมด้วยความดีใจ จนกระทั่งเห็นผู้ชายตัวสูงใหญ่สวมเสื้อโค้ชสีดำยาวถึงเข่าคนหนึ่งยืนรออยู่หน้าเคาน์เตอร์แผนกต้อนรับ แต่ด้วยความที่เขากำลังก้มหน้าก้มตาอยู่ ก็เลยทำให้เห็นหน้าของเขาไม่ชัดเท่าไหร่นัก
หล่อนจึงได้ตะโกนร้องเรียกออกไปเสียงดังด้วยความดีใจทันทีว่า “คุณลุง!”
ผู้ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตาของเขาฉายแววตาเย็นเยียบออกมาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ใบหน้าที่แสนเย็นชาได้แสดงออกมาถึงความเหนื่อยล้า เมื่อเห็นหูจิ่นหมิงไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ เขาจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“คุณลุงคะ คุณลุงมารับหนูด้วยตัวเองเลยหรือเนี่ย ไอ้หยา ๆ ทำหนูคาดไม่ถึงเลยนะคะ” หูจิ่นเหมิงไม่ได้เดินไปตรงหน้าของผู้ชายคนนั้น เพราะหล่อนถูกสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธนั้นข่มขู่จนต้องหยุดก้าวเท้าอย่างฉับพลัน
เมื่อคิดได้ว่าตัวเองนั้นได้หนีออกจากบ้านมาก่อนหน้านี้ หล่อนก็เริ่มร้องไห้โฮออกมาทันที “ฮือ ฮือ ฮือ คุณลุงคะ หนูกลัวมากเลย หนูคิดว่าตัวเองจะไม่ได้กลับมาเจอหน้าคุณลุงอีกแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่จิ้นหนานจึงได้ตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำว่า “พูดดี ๆ ”
นั่นจึงทำให้หูจิ่นเหมิงที่กำลังใช้วิธีตบตาคนถึงกับตัวสั่นขึ้นมาในทันที ไม่เพียงแต่จะไม่กล้าร้องไห้ออกมาแล้วเท่านั้น อีกทั้งหล่อนก็ยังยืนไม่ติดอีกด้วย
จางฉุ้ยเหลียนเดินเข้าไปหาพวกเขาทั้งสองคน จากนั้นเธอก็ยื่นมือออกไปตบไหล่ของหูจิ่นเหมิงเบา ๆ ก่อนจะจ้องเขม็งไปทางมู่จิ้นหนาน “คุณคือ ? ”
MANGA DISCUSSION