ตอนที่ 211 ทะเลาะ
กู้จื้อเฉิงรู้สึกใจเต้นแรง แต่ทันใดนั้นใบหน้าที่ตึงเครียดกลับเปลี่ยนเป็นใบหน้าแห่งความสุขขึ้นมาแทน
ที่แท้เหตุผลที่จางฉุ้ยเหลียนโกรธชีเจียวเจียว ก็เป็นเพราะความหึงหวงนี่เอง เพราะเธอคิดว่าเขาให้ความสำคัญกับสองแม่ลูกตระกูลชีมากกว่าเธอ ไอ้หยา เด็กโง่นี่ ทำไมถึงได้โง่ขนาดนี้นะ
หลังจากที่กู้จื้อเฉิงเดินออกมาจากบ้านของพี่เฉิน เขาก็วิ่งพรวดพราดออกไปอย่างรวดเร็ว และก้าวหนึ่งของเขามันก็เทียบเท่ากับสามก้าวของคนอื่นเลยทีเดียว เขามักจะแสดงสีหน้านิ่งเฉยและจริงจังต่อหน้าสองแม่ลูกตระกูลชีอยู่เสมอ แต่เมื่อเขากลับมาถึงบ้านและได้เจอกับจางฉุ้ยเหลียนที่กำลังอุ้มคังคังพร้อมกับคนแป้งไปด้วย ความโกรธที่ประทุอยู่ภายในจิตใจของเขาก็พลันมลายหายไปจนหมดสิ้น
เขาคลี่ยิ้มพร้อมกับยื่นมือออกไปรับตัวคังคังมากจากเธอ จากนั้นเขาก็พูดออกไปว่า “เธอไม่ต้องรีบร้อนทำอาหารขนาดนั้นหรอก รอให้ฉันกลับมาถึงบ้านก่อน แล้วเธอค่อยทำก็ได้”
จางฉุ้ยเหลียนพูดออกไปโดยที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรว่า “ฉันก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรหรอกนะ พี่พูดอย่างกับว่าลูกของเราก่อกวนฉันทั้งวันอย่างนั้นแหละ ที่ฉันทำอาหารก่อนก็เพราะตอนที่พี่กลับมาถึงบ้าน พี่ก็จะได้กินอาหารร้อน ๆ เลยไง ว่าแต่ทำไมพี่เพิ่งจะกลับมาเอาป่านนี้ล่ะ ? ”
กู้จื้อเฉิงไม่ได้ตอบอะไร นอกจากอุ้มคังคังเดินไปที่ห้องรับแขก เขาเล่าเรื่องที่ทำในวันนี้ให้เธอฟังเหมือนกิจวัตรประจำวัน พลางครุ่นคิดไปด้วยว่าถ้าจางฉุ้ยเหลียนโกรธขึ้นมาเขาจะทำยังไง
จางฉุ้ยเหลียนไม่จำเป็นที่จะต้องคลึงแป้งด้วยมือ ส่วนผสมของแป้งที่เธอทำก็มีแป้งและไข่ไก่ กู้จื้อเฉิงชอบกินก๋วยเตี๋ยว แต่อาหารที่เขาชอบมากที่สุดก็คืออาหารจำพวกแป้ง และทุกครั้งที่เธอทำแผ่นแป้งทอดยัดไส้ เธอก็จะใส่มันฝรั่งหั่นฝอย ถั่วเขียว และปลาแห้งตัวเล็ก ๆ ลงไป ซึ่งกู้จื้อเฉิงสามารถกินคนเดียวได้ถึง 11-12 ชิ้นเลยทีเดียว
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนทอดแผ่นแป้งทั้ง 15 แผ่น และผัดผักอีก 2 จานเสร็จ ซุปไข่ใส่สาหร่ายที่อยู่ในหม้อก็เดือดพอดี เธอยกอาหารทั้งหมดออกมาตั้งที่โต๊ะ จากนั้นก็กลับเข้าไปล้างมือให้สะอาดและเดินออกมากินข้าว
อีกไม่นานคังคังก็จะอายุครบ 2 ขวบแล้ว ตอนนี้เขาก็กินเก่งมาก นอกจากนมที่เขาได้ดื่มเป็นประจำแล้ว เขาก็ยังชอบกินข้าวมากอีกด้วย อีกทั้งเขาก็ชอบกินอาหารเหมือนพ่อของเขาไม่มีผิด เขาไม่ชอบกินหัวไชเท้าและหัวหอม แต่ชอบกินพวกเนื้อสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ และอาหารหลักที่เขาชอบกินก็คือก๋วยเตี๋ยว และเขาก็ชอบกินมันมากกว่าข้าวและพวกธัญพืชอะไรพวกนั้น เรื่องนี้ทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกหนักใจอยู่ไม่น้อย
บางครั้งเวลาที่เธอป้อนมะเขือยาวนิ่ม ๆ ให้กับคังคัง เขาก็มักจะอมอยู่ในปากทุกครั้ง หลังจากนั้นพอสบโอกาสที่เธอไม่เห็น เขาก็จะคายมันออกมา เพราะอย่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนจึงต้องนำผักเหล่านั้นไปบดให้ละเอียด และผสมลงไปในแป้งเกี๊ยวให้เขาได้กิน
คังคังมักจะเคยชินกับเกี๊ยวน้ำอวบ ๆ สีขาว และเมื่อเขาได้เห็นเกี๊ยวน้ำสีเหลือง สีแดง สีเขียว และสีม่วง เขาก็จะรู้สึกสนใจมันขึ้นมาทันที จางฉุ้ยเหลียนตั้งชื่อให้กับเมนูนี้ว่า เกี๊ยวน้ำเรนโบว์
กู้จื้อเฉิงหยิบแผ่นแป้งออกมากาง 1 แผ่น จากนั้นเขาก็วางมันฝรั่งหั่นฝอย ถั่วเขียว ตามด้วยปลาแห้งตัวเล็กลงไป ก่อนจะม้วนทุกอย่างเข้าด้วยกัน จากนั้นก็จิ้มซอสพริก และยัดมันเข้าไปในปาก เขากินมันอย่างเอร็ดอร่อย จากนั้นก็ดื่มซุปไข่ใส่สาหร่ายที่กำลังร้อน ๆ ตามลงไปอีกครั้ง และนี่ก็เป็นช่วงเวลาที่เขารู้สึกมีความสุขมากที่สุด
จางฉุ้ยเหลียนมองไปยังดวงตากลมโตของคังคัง ที่กำลังจ้องมองแผ่นแป้งที่อยู่ในมือของกู้จื้อเฉิง พร้อมกับยื่นมือเล็ก ๆ นั้นออกไปด้วยความอยากกิน จางฉุ้ยเหลียนจึงคลี่ยิ้มออกมาและพูดออกไปว่า “ลูกยังกินไม่ได้นะ มานี่มา มากินเกี๊ยวน้ำอร่อย ๆ กันดีกว่า แม่ใส่ของอร่อย ๆ ลงไปในซุปไข่ด้วยนะ มากินของอร่อย ๆ ของลูกกันดีกว่า!”
คังคังมองไปทางเกี๊ยวน้ำที่มีขนาดเล็กพอดีกับปากของเขาตรงหน้า จากนั้นก็หันกลับไปมองแผ่นแป้งขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือของผู้เป็นพ่ออีกครั้ง โดยเฉพาะตอนที่กู้จื้อเฉิงอ้าปากกัดมันคำใหญ่ และเคี้ยวมันอย่างเอร็ดอร่อย มุมปากของเขาก็มีน้ำมันไหลเยิ้มออกมา ตามมาด้วยเสียงซดน้ำซุปดัง ซู้ด ! ของเขา คังคังจึงก้มหน้าลงมองถ้วยเล็ก ๆ ของตัวเองอีกครั้งด้วยความรู้สึกว่าเกี๊ยวของเขามันไม่น่าอร่อยอีกต่อไปแล้ว
ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ยอมอ้าปากกินเกี๊ยวที่จางฉุ้ยเหลียนตักป้อนแต่อย่างใด เขาเอาแต่จ้องเขม็งไปทางกู้จื้อเฉิงและตบโต๊ะอย่างเอาแต่ใจ
กู้จื้อเฉิงหันมามองลูกน้อยของตัวเอง จากนั้นก็คลี่ยิ้มจนตาหยีและยื่นแผ่นแป้งนั้นไปให้เขา จางฉุ้ยเหลียนจึงเอ่ยปากร้องห้ามทันที “ไม่ได้ ในนั้นมีพริกนะ!”
ดูเหมือนว่าคังคังจะไม่เข้าใจว่า แม่ของตัวเองพูดว่าอะไร เขาหันมาร้องเสียงหลงใส่จางฉุ้ยเหลียนด้วยความไม่พอใจในทันที
“ลูกร้องใหญ่แล้ว นิดเดียวคงไม่เป็นไรหรอกน่า” กู้จื้อเฉิงวางแผ่นแป้งม้วนของตัวเองลงไปบนจาน จากนั้นก็หยิบแผ่นแป้งแผ่นใหม่ขึ้นมาแผ่ออก ใส่มันฝรั่งหั่นฝอยและถั่วเขียวลงไป ก่อนจะม้วนมันเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ยื่นมันไปให้กับคังคัง คังคังยื่นมือออกไปรับด้วยความดีใจ จากนั้นก็เอาเข้าปากโดยไม่คิดอะไรทันที อาจจะเป็นเพราะตอนนี้ฟันน้ำนมของเขาขึ้นมาเยอะแล้ว เขาก็เลยชอบกินของที่ต้องใช้ฟันเคี้ยวเยอะ ๆ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่สนใจเกี๊ยวน้ำของตัวเองอีก
จางฉุ้ยเหลียนเห็นว่าเขากินอย่างมีความสุข จึงได้วางถ้วยลงอย่างช้า ๆ แต่ก็ยังมิวายส่งเสียงเตือนคังคังออกไปว่า “ลูกรัก กินน้ำซุปหน่อยดีไหม ? ”
อาจจะเป็นเพราะแป้งม้วนมันแห้งมากเกินไป หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเขากินมันเข้าไปคำใหญ่ คังคังจึงก้มหน้าลงกินซุปอย่างเชื่อฟัง
จางฉุ้ยเหลียนถอยหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นเธอก็กินแป้งม้วนห่อผักของตัวเองอย่างสบายใจ เมื่อกู้จื้อเฉิงเห็นว่าอารมณ์ของจางฉุ้ยเหลียนในตอนนี้ก็ดีไม่น้อย เขาก็เลยเล่าเรื่องที่ได้ยินมาจากบ้านของพี่เฉินให้เธอฟัง เขายิ้มด้วยความตื่นเต้นและพูดขึ้นว่า : “วันนี้ทางค่ายส่งของมาให้เยอะแยะเลย”
จางฉุ้ยเหลียนเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยความแปลกใจ “แล้วทำไมพี่ไม่เอากลับมาด้วยล่ะ ? ”
กู้จื้อเฉิงเม้มปากเป็นเส้นตรง พร้อมกับมองไปทางจางฉุ้ยเหลียนที่กำลังจ้องมองมาทางเขาอยู่ “ฉันเอาของพวกนั้นไปให้บ้านตระกูลชีหมดแล้ว พวกหล่อนสองคนแม่ลูกไม่มีสวัสดิการ ของที่จะใช้เฉลิมฉลองในวันปีใหม่ก็มีน้อยมาก ฉันก็เลยเอาของพวกนั้นไปให้พวกหล่อนหลังเลิกงาน ”
ความจริงแล้วจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้สนใจของพวกนั้นเท่าไหร่นัก เพราะถึงอย่างไรมันก็คงจะไม่พ้นพวกสาลี่แช่แข็ง กล้วย เส้นหมี่ และปลาดาบหนึ่งกล่องหรอก แต่ที่เธอรู้สึกไม่สบายใจก็เพราะ เธอไม่ชอบสองแม่ลูกคู่นี้ต่างหากล่ะ
เมื่อเห็นสีหน้าของจางฉุ้ยเหลียนที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก กู้จื้อเฉิงก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที เขาตักซุปอีกหนึ่งถ้วย และมองไปทางคังคังที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย “ฉันรู้ว่าฉันควรจะบอกเธอก่อน แต่ฉันคิดว่าถ้าฉันกลับมาที่บ้านก่อน แล้วค่อยเอาของพวกนั้นไปให้กับพวกหล่อน มันก็จะเสียเวลากลับไปกลับมา พวกหล่อนสองคนน่าสงสารมาก ผู้หญิงคนหนึ่งต้องเลี้ยงลูกคนเดียวตามลำพัง แต่ครอบครัวของเราก็ยังโชคดี ที่ยังมีฉันที่ยังทำงานหาเงินได้”
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที เธอโพล่งออกไปอย่างอดไม่ได้ว่า “ถ้าจะพูดถึงเรื่องเงิน ผู้กำกับการชีก็ทิ้งเงินไว้ให้พวกหล่อน 30,000 กว่าหยวนเชียวนะ นอกจากบ้านเราแล้ว ยังจะมีบ้านไหนที่มีเงินเก็บถึง 10,000 หยวนบ้างล่ะ ? ”
กู้จื้อเฉิงวางตะเกียบลงไปบนโต๊ะอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ‘ปั่ก ! ’ เสียงของมันดังมากจนคังคังถึงกับเงยหน้าขึ้นมามอง กู้จื้อเฉิงใช้หางตามองไปทางจางฉุ้ยเหลียนด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะพูดออกไปด้วยเสียงต่ำ ๆ ว่า “เธอพูดแบบนี้ได้ยังไง นั่นมันเป็นเงินที่ผู้กำกับการชีต้องแลกมันมาด้วยชีวิตของเขาเลยนะ เธอคิดว่าเงินนั่นมันสำคัญกว่าชีวิตของคนอย่างนั้นหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนได้แต่ก้มหน้าลงโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอไม่อยากสนใจเขา เพราะตอนนี้เธอรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ ตั้งแต่ที่ผู้กำกับการชีจากไป ของใช้ในบ้านของพวกเขาก็มักจะถูกส่งไปให้กับพวกหล่อนตลอดไม่รู้จักจบจักสิ้น
กู้จื้อเฉิงถอนหายใจออกมา จากนั้นก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มอารมณ์มากที่สุดว่า “ฉันรู้นะว่า เธอไม่ค่อยสบายใจเวลาที่ฉันไปดูแลสองแม่ลูกคู่นั้น แต่เธอลองคิดดูสิว่า ถ้าไม่มีพี่ชีตอนนี้ฉันจะยังได้นั่งอยู่ตรงนี้ไหม เราจะได้นั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันได้อย่างสบายใจไหม ? ในสายตาของเธอ พวกหล่อนก็เป็นเพียงหญิงหม้ายและลูกกำพร้าขาดพ่อ เธอก็ทำเกินไป เธออย่าโหดร้ายกับพี่เฉินนักเลยนะ ครอบครัวของเขารู้สึกซาบซึ้งใจกับสิ่งของที่เราหยิบยื่นให้ ฉันคงจะทนมองดูอยู่เฉย ๆ ไม่เข้าไปช่วยไม่ได้หรอก”
“หมายความว่ายังไง ? ” จางฉุ้ยเหลียนเงยหน้าขึ้นมาทันที เพราะเธอไม่เข้าใจความหมายของกู้จื้อเฉิง “อะไรที่เรียกว่าทำเกินไป ? หลายเดือนที่ผ่านมานี้พี่ให้พวกเขาทั้งเงินทั้งข้าวของเครื่องใช้ แล้วพี่ก็ยังจะให้ฉันไปช่วยทบทวนบทเรียนให้กับเด็กคนนั้นอีก แล้วฉันได้พูดอะไรไหมล่ะ ? กู้จื้อเฉิง พี่ช่วยคิดหน่อยได้ไหมว่า คนที่เป็นหนี้บุญคุณผู้กำกับการชีคือพี่ ไม่ใช่ฉัน!”
เมื่อกู้จื้อเฉิงได้ยินแบบนั้น เขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที อะไรที่บอกว่าไม่ใช่เธอกันล่ะ ? แล้วเธอกับเขาไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันรึไง แล้วการที่เขาเป็นหนี้บุญคุณผู้กำกับการชี ก็ไม่ใช่เรื่องของเธออย่างนั้นสิ ?
“เธอหมายความว่ายังไง ? ถ้าเธอไม่อยากช่วย งั้นเธอก็บอกฉันมาตรง ๆ พูดออกมาเลยสิ มันหมายความว่ายังไง ? ” คำพูดของกู้จื้อเฉิงทำให้จางฉุ้ยเหลียนถึงกับขนลุกซู่ขึ้นมาทันที เธอเหนื่อยจนพูดไม่ออก แม้แต่แรงที่จะเอาใจก็แทบจะไม่มี
“ฉันหมายความว่าอย่างนั้นหรือ ฉันไม่เต็มใจอย่างนั้นหรือ ถ้าฉันไม่เต็มใจที่จะอยู่กับพี่ แล้วฉันจะยอมช่วยทบทวนบทเรียนให้กับหล่อนจนถึงเที่ยงคืนทุกวันทำไม หลังจากที่ฉันกล่อมลูกเข้านอนแล้ว ฉันก็ต้องมานั่งเขียนต้นฉบับอีก ? ฉันต้องพยายามสร้างพลังให้กับตัวเอง แต่ฉันก็ยังต้องมาหาข้าวหาน้ำให้ลูกของคนอื่นกินอีก เรื่องนี้ฉันผิดรึไง ? ”
จางฉุ้ยเหลียนเบิกตากว้างด้วยโมโห เมื่อเห็นดังนั้น กู้จื้อเฉิงจึงแสดงสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรมออกมา ดูท่าทางจางฉุ้ยเหลียนจะไม่ชอบสองแม่ลูกคู่นี้มากจริง ๆ ส่วนเด็กน้อยที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกง่ายก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกนี้ของพ่อกับแม่
กู้จื้อเฉิงรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาในทันที เวลาที่พวกเขาทั้งสองคนมีอะไรในใจกลับไม่ยอมพูดมันออกมา เขาก็แค่อยากจะช่วยเด็กที่กำพร้าพ่อก็เท่านั้น แล้วอีกอย่าง พวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้ขาดแคลนของพวกนี้ด้วย
“ถ้าเธอเหนื่อย เธอก็ไม่ต้องเขียนแล้วก็ได้นะ ดึกดื่นค่อนคืนเธอจะมานั่งเขียนอะไรอีก ? ” กู้จื้อเฉิงยังไม่ยอมพูดมันออกไป เขาจึงทำได้เพียงแค่เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาไปเรื่องที่จางฉุ้ยเหลียนแทบไม่ได้พักผ่อนแทน
จางฉุ้ยเหลียนโกธรเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที “เขียนอะไรอีกอย่างนั้นหรือ ? ทำไมล่ะ เดี๋ยวนี้ฉันทำงานที่ฉันชอบไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ ? หรือว่าฉันทำงานที่ฉันชอบในบ้านหลังนี้ไม่ได้อีกแล้ว ? ถ้าฉันไม่เขียนต้นฉบับ แล้วค่าใช้จ่ายมากมายภายในบ้าน เราจะเอาเงินจากไหนมาจ่ายล่ะ ? พี่เล่นมีน้ำใจประเคนเอาเบี้ยเลี้ยงของตัวเองให้กับคนอื่น แล้วอย่างนี้ฉันจะเอาเวลาว่างตอนไหนมาพักผ่อนกัน ? ”
กู้จื้อเฉิงถึงกับหายใจติดขัดเลยทีเดียว นี่เป็นเรื่องที่เขาเก็บเอาไว้ในใจมาโดยตลอดและไม่ยอมพูดมันออกไป เขาต้องโดนเพื่อนของเขาไม่รู้ตั้งกี่คนนินทาลับหลังว่า เขาเป็นผู้ชายที่เกาะชายกระโปรงผู้หญิง เพราะการที่เขาได้แต่งงานกับภรรยาที่มีประวัติการเรียนที่ดีกว่าเขา และดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเขา และเธอก็ยังสามารถหาเงินใช้เองได้อีก นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว
“เธอ!” กู้จื้อเฉิงพูดไม่ออก ได้แต่เมินหน้าหนีไปทางอื่นด้วยความโกรธโดยไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ ออกมาอีก
จางฉุ้ยเหลียนก็โกรธสุด ๆ เหมือนกัน ในเมื่อวันนี้กู้จื้อเฉิงไม่เกรงใจเธอแล้ว งั้นเธอก็จะพูดเรื่องที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมที่อัดอั้นอยู่ในใจของเธอออกมาให้หมด เพื่อลดความหมาป่าหางโตใจใหญ่ของเขาลงบ้าง ไม่อย่างนั้นเขาก็จะคิดว่าตัวเองนั้นมีคนคอยช่วยสนับสนุนอยู่ข้างหลังตลอด โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า ลับหลังเขา พี่เฉินพูดอะไรถึงเขาบ้าง
หลังจากที่ได้ยินเรื่องในอดีตของพี่เฉินจากปากของคนอื่นแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็เกิดความรู้สึกไม่ชอบพวกหล่อนขึ้นมาทันที ต่อมาก็มีคนมาบอกเธอว่า พี่เฉินเคยบ่นกระปอดกระแปดในขณะที่เล่นอยู่ในวงไพ่ว่า “ให้ฉันมาทำงานกวาดถนน คงได้มีแต่คนรังเกียจฉันตายเลย” “ไม่ใช่ฉันไม่อยากทำหรอกนะ ฉันก็แค่กลัวว่าคนอื่นจะพูดนินทาฉันลับหลังก็เท่านั้น ” “บอกว่างานดี แต่ทำไมไม่ไปทำเองล่ะ จะมาส่งเสริมคนอื่นให้ไปทำงานนี้อีกทำไม” “ให้ของดีอะไรกันล่ะ ก็แค่ของเหลือที่ไม่ใช้แล้วทั้งนั้น และถึงจะเอาของดีมาให้ฉัน ฉันก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี”
ไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านี้เป็นความจริงหรือว่าเรื่องโกหก เพราะถึงอย่างไรจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้ยินมากับหูของตัวเอง แต่เพราะคำบ่นของชีเจียวเจียวก่อนหน้านั้น จางฉุ้ยเหลียนจึงเชื่อข่าวลือที่ได้ยินมาเหล่านี้ 70 – 80 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว
“พี่ลองคิดดูแล้วกันนะว่า เงินเดือนใน 1 เดือนของพี่ มันสามารถเอาไปทำอะไรได้บ้าง ? เรื่องอื่นไม่ต้องไปพูดถึง แค่นับจากตอนที่ผู้กำกับการชีจากไป จนกระทั่งก่อนถึงวันปีใหม่ พี่ใช้เงินในบ้านไปเท่าไหร่แล้ว เดี๋ยวฉันจะคิดให้พี่เอง เราสองคนซื้อถ่ายหินทั้งหมด 4 ตันเป็นเงินเท่าไหร่ ผักผลไม้ ข้าวสาร เป็นเงินอีกเท่าไหร่” จางฉุ้ยเหลียนใช้นิ้วช่วยคำนวณให้กับกู้จื้อเฉิง เพื่อให้เขารู้ว่าเขาสามารถช่วยคนอื่นได้ถึงระดับไหน
แต่กู้จื้อเฉิงกลับปิดหูไม่ยอมฟัง ในขณะที่จางฉุ้ยเหลียนก็กำลังอวดรายได้ของตัวเองให้เขาฟัง
MANGA DISCUSSION